Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

VMware อัปเดตพอร์ตโฟลิโอ Sovereign SaaS ช่วยผู้ให้บริการจัดการข้อมูลภายใต้ข้อกำหนด (Data Sovereignty) และ Workload ได้ดียิ่งขึ้น

VMware, Inc. (NYSE: VMW) ประกาศเปิดตัว VMware Tanzu บน sovereign cloud, VMware Aria Operations Compliance pack สำหรับ sovereign clouds และโซลูชันสำหรับสภาพแวดล้อมในการทำงานแบบเปิดรูปแบบใหม่ รองรับผู้ให้บริการ VMware Sovereign Cloud ที่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว เป็นจำนวนถึง 25 รายทั่วโลก ด้วยนวัตกรรมของ Sovereign SaaS ใหม่เหล่านี้ จะช่วยให้พันธมิตรสามารถส่งมอบการบริการที่เทียบเท่ากับการให้บริการที่มีอยู่บนพลับบลิกคลาวด์ และยังเพิ่มความมั่นใจว่า ข้อมูลจะได้รับการคุ้มครองและสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนด ตามความต้องการของพื้นที่ ภายใต้อาณาเขตของประเทศต่างๆ นั้นได้ดียิ่งขึ้น ด้วย Sovereign SaaS ผู้ให้บริการ VMware Sovereign Cloud สามารถสร้างโซลูชันที่มีความแตกต่างขั้นสูง เพื่อจัดการกับปริมาณงานรูปแบบใหม่ ลดความซับซ้อนของการดำเนินงานด้วยการตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งยังเสริมการสร้างรายได้จากข้อมูลโดยมีความเสี่ยงต่ำ

VMware Sovereign Cloud Framework และส่วนประกอบต่างๆ ที่มีความเกี่ยวข้องได้มารวมกันเป็น VMware Sovereign Cloud Initiative ที่ความสอดคล้องกับ Gaia-X และ การจัดการข้อมูลภายใต้ข้อกำหนด (Data Sovereignty) กฏระเบียบของการจัดการข้อมูลภายใต้ข้อกำหนด (Data Sovereignty) ระดับโลก ทำให้การส่งมอบ sovereign clouds เป็นไปได้ง่ายยิ่งขึ้น ผู้ให้บริการ VMware Sovereign Cloud รายใหม่ เช่น Advanced Wireless Network Co., Ltd., Fundaments B.V., Hitachi, Ltd., Macquarie Government, National Information Center, NCS PTE Ltd., PT Aplikanusa Lintsarta, Tata Communications Limited และ Credence กดเพื่อฟังสิ่งที่พันธมิตรเหล่านี้กล่าวถึงความสำคัญของ sovereign cloud

VMware กำลังสร้างพอร์ตโฟลิโอสำหรับ Sovereign SaaS เพื่อตอบโจทย์ให้กับลูกค้า พันธมิตรสามารถส่งมอบ Sovereign SaaS พื้นฐานโดยใช้ซอฟต์แวร์ VMware ที่ทำงานในศูนย์ข้อมูลบน sovereign cloud ของตน โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตสาธารณะ ข้อมูลทั้งหมดเป็นข้อมูลที่อยู่ในถิ่นฐานของข้อมูลเองและมีเฉพาะบน sovereign region ที่กำหนดเท่านั้น ผู้ที่อยู่นอกเหนือจากนี้จะไม่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลใดๆ ได้เลย และองค์กรสามารถมั่นใจได้เลยว่าจะไม่มีข้อมูลหรือข้อมูลเมตาใดออกจากประเทศหรือผู้ให้บริการอย่างแน่นอน

Rajeev Bhardwaj รองประธานฝ่ายโซลูชันแพลตฟอร์มผู้ให้บริการคลาวด์ของ VMware กล่าวว่า “หากไม่มี Cloud Sovereignty ก็จะไม่สามารถมี Data Sovereignty ได้เลย และข้อกำหนดต่างๆ ไม่จำเป็นต้องมาเสี่ยงกับนวัตกรรมคลาวด์ เรากำลังสร้างแผนปฏิบัติการใหม่ด้วยการนำบริการ SaaS เข้าสู่สภาพแวดล้อมที่มีความปลอดภัยสูงสุด ซึ่งจะช่วยให้ผู้ให้บริการ VMware Sovereign Cloud สามารถช่วยลูกค้าให้สามารถสร้างสรรค์นวัตกรรมและขับเคลื่อนดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน ในขณะที่ยังสามารถลดความเสี่ยงในการปลดล็อกการสร้างมูลค่าจากข้อมูลที่มี”

 

VMware Tanzu บน Sovereign Cloud

ลูกค้าที่ต้องเผชิญกับกฎระเบียบที่เข้มงวดล้วนตระหนักดีถึงความจำเป็นในเชิงกลยุทธ์ในการปรับปรุงแอปพลิเคชันให้มีความทันสมัยเพื่อยกระดับในการมีส่วนร่วมของลูกค้า ด้วยการรักษาความปลอดภัย เพิ่มประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นContainers และ Kubernetes นำเสนอหนทางสู่ความทันสมัย ด้วย VMware Tanzu บน sovereign cloud องค์กรสามารถสร้าง ประมวลผล จัดการ และรักษาความปลอดภัยให้กับแอปพลิเคชันที่มีความทันสมัยได้อย่างสม่ำเสมอ บนโครงสร้าง sovereign cloud ด้วย Kubernetes ที่ถูกติดตั้งมาพร้อมกัน พอร์ตโฟลิโอของ Tanzu ช่วยลดความยุ่งยากในการดำเนินการบนแพลตฟอร์ม และช่วยให้นักพัฒนาสามารถปฎิบัติงานได้รวดเร็วขึ้นและสามารถเข้าถึงทรัพยากรที่เหมาะสมสำหรับการสร้างแอปพลิเคชันที่ดีที่สุด  Sovereign-ready Tanzu ที่ถูกส่งมอบโดยพันธมิตรพื้นฐานจากศูนย์ข้อมูล sovereign cloud ที่มีอยู่ โดยไม่มีการเชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเตอร์เน็ตโดยสิ้นเชิง VMware Tanzu บน sovereign cloud ประกอบด้วย:

Tanzu Kubernetes Grid: Kubernetes runtime ที่พร้อมใช้งานในระดับองค์กรของ VMware ที่ออกแบบมาให้ลูกค้าสามารถทำการติดตั้งได้ง่าย สามารถดำเนินการหลายคลัสเตอร์แบบอัตโนมัติ พร้อมด้วยบริการแพลตฟอร์มแบบบูรณาการ เครื่องมือที่พื้นฐานของ Carvel ได้จัดเตรียมเครื่องมืออเนกประสงค์ที่มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งช่วยในการสร้างแอปพลิเคชัน การกำหนดค่า และการจัดเตรียมขึ้นใช้งานกับ Kubernetes สำหรับ sovereign clouds, Tanzu Kubernetes Grid ได้ทำการรวมเอาชุดรหัสข้อมูลแบบเปิด อาทิเช่น Fluent Bit, Prometheus, Grafana และ Contour ที่ให้ความสามารถในการตรวจสอบและการเข้าถึง องค์กรสามารถสังเกตและปรับเปลี่ยนได้ตามแนวโน้มของชุดรหัสข้อมูลแบบเปิด การติดตามและบันทึกข้อมูล ที่แสดงให้เห็นถึงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นบนคลัสเตอร์ของ Kubernetes และเพิ่มความมั่นใจว่าการรับส่งข้อมูลนั้นได้รับอนุญาตและมีความปลอดภัย 

Tanzu Application Platform: Sovereign-ready Tanzu Application Platform ได้จัดเตรียมเครื่องมือและการบริการที่จำเป็นสำหรับทีมนักพัฒนาในการเปลี่ยนรหัสข้อมูลให้เป็นแอปพลิเคชันได้อย่างรวดเร็วและมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น Tanzu Application Platform ได้ทำการเพิ่มการติดตั้งในรูปแบบ air-gapped เพื่อเพิ่มความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนดในสภาพแวดล้อม sovereign cloud ประสิทธิภาพในการทำงานของนักพัฒนาจะได้รับการปรับปรุงด้วยการเพิ่มการลงทะเบียนข้อมูลจำเพาะแบบ Dynamic API โดยใช้ปลั๊กอินของ Backstage API เพื่อทำให้การเผยแพร่ ใช้งาน และการทำงานร่วมกันบน API ในการพัฒนาซอฟต์แวร์เป็นไปโดยอัตโนมัติและมีความปลอดภัย แดชบอร์ดการตรวจสอบช่องโหว่จากศูนย์กลางรูปแบบใหม่ จะช่วยทีมแอปพลิเคชันในการตรวจสอบความปลอดภัยในขั้นตอนการเตรียมขึ้นใช้งานระบบ และช่วยรักษาความปลอดภัยของแอปพลิเคชันในระหว่างการขึ้นใช้งานระบบ,  Tanzu Application Platform ได้เพิ่มการรองรับการทำงานของ Red Hat OpenShift, Jenkins และ Carbon เพื่อขยายขอบเขตของสภาพแวดล้อมในการทำงานร่วมกัน

Tanzu Mission Control: Sovereign-ready Tanzu Mission Control ได้จัดเตรียมคลัสเตอร์พื้นฐานตามนโยบายแบบอัตโนมัติ พร้อมด้วยการจัดการในวงกว้างเพื่อเพิ่มมุมมองที่ดีขึ้น รวมถึงการควบคุมและการรักษาความปลอดภัยสำหรับผู้ปฏิบัติงาน รวมถึงความสม่ำเสมอและความเร็วสำหรับ DevOps ที่มากขึ้น พร้อมกับมอบความยืดหยุ่นและความเป็นอิสระสำหรับนักพัฒนา Tanzu Mission Control จะช่วยให้พันธมิตร sovereign cloud ได้รับประโยชน์จากมุมมองของ Kubernetes เต็มรูปแบบในขณะที่ยังคงควบคุมการเชื่อมต่อโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายของตัวเอง ได้อย่างเต็มที่ การจัดการคลัสเตอร์ของ Kubernetes ที่ง่ายขึ้นจากการควบคุมเพียงระนาบเดียว จะช่วยขจัดการทำงานที่ยุ่งยากและลดเวลาในการดำเนินการให้เกิดความคล่องตัว VMware กำลังทำการพัฒนาเพื่อเพิ่มการรองรับการขึ้นใช้งานระบบส่วนตัวของ Tanzu Mission Control บนสภาพแวดล้อม sovereign cloud คุณสมบัติเหล่านี้ถูกรวมไว้บนรุ่นเบต้าแล้วในวันนี้

VMware Data Solutions: VMware Data Solutions (ชื่อเดิมคือ Tanzu Data Services) รองรับการจัดการข้อมูลที่มีความสอดคล้องและได้รับการยินยอม ลูกค้าสามารถเข้าถึงอินเทอร์เฟซด้วยการจัดการดำเนินการด้วยตัวเองและ API สำหรับการจัดการวงรอบในการทำงานของบริการต่างๆ ทำให้สามารถปรับแต่งอินสแตนซ์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับแอปพลิเคชันของตน VMware RabbitMQ เป็นตัวแทนที่มีความคล่องตัวและง่ายต่อการปรับใช้ สนับสนุนโปรโตคอลการส่งข้อความแบบหลายรายการ และสามารถปรับใช้ในการกำหนดค่าแบบกระจายและแบบรวมศูนย์ เพื่อให้ตรงตามข้อกำหนดและความพร้อมในการใช้งานในระดับสูง ฐานข้อมูล SQL แบบโอเพ่นซอร์สของ VMware (Postgres & MySQL) เป็นบริการฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ที่สามารถปรับใช้ตามต้องการ ช่วยประหยัดต้นทุนและมีความยืดหยุ่นตามขนาดที่ต้องการ ที่มาพร้อมกับการดูแลระบบแบบอัตโนมัติ

VMware Data Solutions ถูกรวมเข้ากับ VMware Cloud Director ทำให้การดำเนินการและการปรับใช้กับสภาพแวดล้อม sovereign cloud ง่ายยิ่งขึ้น VMware RabbitMQ พร้อมให้ใช้งานแล้ว และ VMware SQL อยู่ในระหว่างขั้นตอนการตรวจสอบและพร้อมให้ใช้งานในเร็วๆนี้

VMware Aria Operations สำหรับ Sovereign Clouds

VMware Aria Operations Compliance Pack สำหรับ Sovereign Cloud เพิ่มความสามารถในการตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อกำหนด การรายงาน การแก้ไข และการทำงานอัตโนมัติอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยให้พันธมิตรสามารถปฏิบัติตามเกณฑ์มาตรฐานทั้งด้านกฎระเบียบและแนวทางของ VMware Sovereign Cloud, Sovereign-ready Aria Operations มาพร้อมกับความสามารถที่ครอบคลุมทั้งความพร้อมในการใช้งาน ประสิทธิภาพ การจัดการความจุ การจัดการต้นทุน และการปฏิบัติตามข้อกำหนดสำหรับโครงสร้างพื้นฐานหรือแอปพลิเคชัน VMware Aria Operations Compliance packs ประกอบไปด้วยชุดการทำงานตามข้อกำหนดที่พร้อมใช้งานทันที การตรวจสอบการกำหนดค่า และการรายงานตามการควบคุมของ Sovereign controls 20 จุด เช่น การจัดการส่วนย่อยของ ข้อมูลระหว่างที่พักไว้และการเข้ารหัสระหว่างการส่ง รวมถึงการปฏิบัติตามข้อกำหนด ISO 27000 การผสานรวมอย่างสมบูรณ์กับ VMware Cloud Director และแดชบอร์ดแบบรวมเป็นหนึ่งเดียวพร้อมมอบวิธีการที่จะแสดงให้เห็นถึงการปฏิบัติตามข้อกำหนดแบบอัตโนมัติและมีประสิทธิภาพบนโครงสร้าง sovereign cloud แบบสมบูรณ์ VMware ได้ประกาศความพร้อมใช้งานเริ่มต้นสำหรับ VMware Aria Operations Compliance pack สำหรับ sovereign cloud

Open Ecosystem Solutions สำหรับ Sovereign Clouds

ด้วยการทำงานรวมกันกับพันธมิตรบนสภาพแวดล้อมแบบเปิด VMware พร้อมนำเสนอการให้บริการเพิ่มเติมจากพันธมิตรอื่นๆเช่น Cloudian, Veeam และ Fortanix สำหรับ Object Storage, การป้องกันแรนซัมแวร์, การสำรองข้อมูล/การกู้คืน และการจัดการคีย์ ซึ่งบริการเหล่านี้ได้ถูกผสานรวมเข้ากับ VMware Cloud Director สำหรับหลายผู้รับบริการที่มาพร้อมกับประสบการณ์ในการใช้งานที่ราบรื่น VMware ยังคงสร้างสภาพแวดล้อมแบบเปิดนี้ต่อไปด้วยการเปิดตัวบริการพันธมิตรใหม่ดังต่อไปนี้:

การบริหารความเสี่ยงและการปฏิบัติตามข้อกำหนด: VMware ได้ร่วมมือกับ Caveonix เพื่อมอบแพลตฟอร์มในการรักษาความปลอดภัย การปฏิบัติตามข้อกำหนด และการกำกับดูแลที่ครบวงจรภายใน sovereign domain ในการบริหารข้อมูลภายใต้ข้อกำหนด (Data Sovereignty) เพื่อให้ตรงกับความต้องการของ sovereign cloud แพลตฟอร์มดังกล่าวจะตรวจสอบและประเมินความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนดของสภาพแวดล้อมของ VMware อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้แน่ใจว่ามีการรายงานและทำการแก้ไขปัญหาในทันที ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการปกป้องทรัพย์สินข้อมูลทั้งหมดที่จัดเก็บไว้ใน sovereign cloudได้เป็นอย่างดี

Data Lakehouse as a Service: VMware Tanzu Greenplum เป็นแพลตฟอร์มคลังข้อมูลการประมวลผลแบบขนานขนาดใหญ่ (MPP) ที่ได้รวมเอา Cloudian HyperStore S3-compatible object storage เพื่อทำการส่งมอบสถาปัตยกรรม data lakehouse แบบเดียวกันที่มีอยู่ในพับบลิกคลาวด์ไปยัง sovereign clouds, นี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนในรูปแบบใหม่ และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการสร้างและปรับใช้โมเดลในการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงสำหรับแอปพลิเคชันระดับองค์กรที่มีความซับซ้อน ลูกค้าสามารถเปลี่ยนแปลงจำนวนของโหนดคอมพิวท์ที่ประมวลผล Greenplum หรือโหนดสตอเรจที่ทำงานบน HyperStore ได้อย่างยืดหยุ่น เป็นอิสระตามความต้องการ ช่วยให้ลูกค้ามีความยืดหยุ่นและประหยัดยิ่งขึ้นในสภาพแวดล้อมแบบ sovereign cloud

Thierry Souche ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ OVHcloud กล่าวว่า “เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ OVHcloud ได้ร่วมพัฒนากับ VMware พันธมิตรที่แข็งแกร่ง ด้วยจุดแข็งทั่วไปของเราในด้าน Hosted Private cloud ซึ่งในขณะนี้เรายอมรับขั้นตอนใหม่ด้วยการปรับใช้ sovereign-ready Tanzu  ในโหมดที่ถูกแยกออกมาอย่างน่าเชื่อถือโดยสมบูรณ์ซึ่งช่วยปกป้องข้อมูลตลอดวงรอบของการใช้งาน จากความมุ่งมั่นที่ไม่เหมือนใครในบรรดาผู้ให้บริการเทคโนโลยีคลาวด์ชั้นนำของโลก เรามีความภูมิใจที่ได้ปรับใช้โซลูชันที่ดีที่สุด ซึ่งจะช่วยตอบสนองความต้องการเนทีฟแอปพลิเคชันบนคลาวด์และแพลตฟอร์มต่างๆที่ต้องการด้วยโซลูชันที่ล้ำสมัย ข้อมูลภายใต้ข้อกำหนด (Data Sovereignty) ไม่เคยมีความสำคัญสำหรับผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านไอทีในยุโรปมาก่อน และเรายินดีที่จะขยายพอร์ตโฟลิโอของเราต่อไปเพื่อช่วยให้พวกเขาสามารถใช้ศักยภาพสูงสุดของระบบคลาวด์ที่มีความน่าเชื่อถือได้อย่างเต็มที่”

Alberto Valero หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีและการเติบโตของ Tietoevry Connect กล่าวว่า “ขณะนี้เราได้ทำการสร้างความสามารถพื้นฐานบน sovereign cloud บนเครือข่ายศูนย์ข้อมูล Nordic สำหรับลูกค้าของเรา และกำลังนำลูกค้าที่มีอยู่ รวมถึงลูกค้าใหม่ไปยังโซลูชันที่ทันสมัยใหม่นี้ เราเห็นว่าขั้นตอนต่อไปที่เหมาะสมสำหรับเราในการช่วยเหลือลูกค้าของเราสำหรับการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระบบดิจิทัลคือการจัดหา Tanzu Application Portfolio ให้พวกเขา ด้วย Tanzu Application Platform ลูกค้าจะได้รับชุดเครื่องมือที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ด้วยการสนับสนุนจากบริการระดับมืออาชีพของเรา จะช่วยปรับปรุงความสามารถในการเพิ่มสภาพแวดล้อมที่ถูกขับเคลื่อนด้วยข้อมูลอย่างมีนัยสำคัญ เรารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับความเป็นไปได้เหล่านี้ในการขับเคลื่อนการสร้างมูลค่าให้ข้อมูลบนบริบทของข้อกำหนดทางด้านดิจิทัล (digital sovereign context)”

Sovereign Clouds และ Delicate Dance สำหรับ Data Monetization กับ Data Sovereignty1

ในการวิจัยใหม่ที่ดำเนินการโดย Vanson Bourne ที่ได้รับมอบหมายจาก VMware เผยให้เห็นว่าในอีก 2 ปีข้างหน้า 96% ของบริษัททั้งหมดที่ถูกสำรวจเชื่อว่าข้อมูลจะกลายเป็นแหล่งรายได้ และ 50% เชื่อว่าข้อมูลจะเป็นแหล่งรายได้สำคัญ ในขณะที่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจทวีความรุนแรงมากขึ้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ผู้นำในองค์กรธุรกิจจำนวนมากให้ความสำคัญกับข้อมูลของตนในฐานะแหล่งรายได้ที่ไม่ได้ใช้งาน แต่ในขณะเดียวกันก็มีประเด็นใหญ่ที่น่าสนใจคือ: ผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าข้อมูลภายใต้ข้อกำหนด (Data Sovereignty) เป็นหนึ่งในความท้าทายหลักที่องค์กรต้องเผชิญ โดย 95% ยอมรับว่าเป็นปัญหา องค์กรที่ไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านข้อมูลภายใต้ข้อกำหนด (Data Sovereignty) มักจะต้องจ่ายค่าปรับหลายร้อยล้านดอลลาร์และก่อเกิดความเสียหายแก่ชื่อเสียงของแบรนด์เพราะต้องเสียเวลาเจรจาประนีประนอมเกี่ยวกับข้อมูล ปัจจุบัน กว่า 100 ประเทศมีกฎหมายของตนเองว่าควรจัดการและจัดเก็บข้อมูลอย่างไรภายในเขตอำนาจการปกครอง และกฎระเบียบเหล่านี้ส่วนใหญ่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อย่างไรก็ดีผู้ให้บริการ VMware Sovereign Cloud พร้อมนำเสนอเส้นทางที่ปลอดภัยยิ่งขึ้นแก่ลูกค้าในการลดความเสี่ยงในการสร้างรายได้จากข้อมูล อ่านรายงานฉบับเต็มได้ที่นี่

เกี่ยวกับงาน VMware Explore 

VMware Explore เป็นวิวัฒนาการในการจัดการประชุมระดับแนวหน้าของ VMworld โดยการจัดการประชุมในครั้งนี้ได้ทำการเปลี่ยนแปลงอุตสาหรรมไปในรูปแบบของ ทุกสิ่งเกิดขึ้นบนมัลติคลาวด์ ในปีนี้ได้นำเสนอโซลูชันชั้นนำสำหรับอุตสาหกรรมและการประชุมทางเทคนิค พร้อมด้วยกว่า 90% ของระบบนิเวศแบบคลาวด์จากพาร์ทเนอร์ชั้นนำ รวมถึงตลาดมัลติคลาวด์ ISVs ที่กำลังรุ่งเรือง เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ VMware Explore โปรดไปที่: www.vmware.com/explore.html

เกี่ยวกับ VMware

VMware เป็นผู้ให้บริการชั้นนำทางด้านมัลติคลาวด์สำหรับแอปพลิเคชันทั้งหมด เพื่อสร้างนวัตกรรมดิจิทัลด้วยการควบคุมระดับองค์กร ในฐานะที่เป็นรากฐานที่มีความน่าเชื่อถือเพื่อเร่งความเร็วในการสร้างนวัตกรรม ซอฟต์แวร์ของ VMware จะช่วยให้ธุรกิจมีความยืดหยุ่นและมอบทางเลือกสำหรับการสร้างอนาคต VMware มีสำนักงานใหญ่ในเมืองพาโลอัลโต รัฐแคลิฟอร์เนีย มุ่งมั่นที่จะสร้างอนาคตที่ดีกว่าภายในปี 2030 สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่ www.vmware.com/company


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

VMware เปิดตัวเทคโนโลยีล่าสุดยกระดับ Multi-Cloud ผ่านกลยุทธ์ Cloud Smart เพิ่มความสามารถในการกำกับดูแลข้อมูลและอุดช่องโหว่ทางไซเบอร์

VMware ประกาศข้อเสนอของพอร์ตโฟลิโอที่ได้รับการปรับปรุง รูปแบบใหม่รวมถึงขยายสภาพแวดล้อมในการทำงาน 

VMware, Inc. (NYSE: VMW) ประกาศเปิดตัวนวัตกรรม ข้อเสนอใหม่ในการให้บริการ และการเพิ่มพันธมิตรเพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถปรับสู่เส้นทางของมัลติคลาวด์ได้อย่างเหมาะสม

นายรากู รากูราม ซีอีโอของ VMware กล่าวว่า “VMware และพันธมิตรยังคงนำเสนอนวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อช่วยให้ลูกค้าได้รับประโยชน์จากการใช้งาน cloud-smart ลูกค้าล้วนตระหนักดีว่า การทำงานในสภาพแวดล้อมแบบมัลติคลาวด์ทำให้พวกเขามีทางเลือกระหว่างคลาวด์ทั้งแบบที่มีข้อกำหนดและแบบสากลในการเรียกใช้งานแอปพลิเคชันของพวกเขา VMware สามารถช่วยลูกค้าในทุกขั้นตอนของการเปลี่ยนกับความซับซ้อนของมัลติคลาวด์ให้เป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขัน องค์กรต่างๆ ให้ความสำคัญกับดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการเร่งความเร็วในการพัฒนานวัตกรรม เราเข้าใจถึงความท้าทายที่พวกเขาเผชิญทั้งทางด้านต้นทุน ความปลอดภัยทางไซเบอร์ และการใช้พลังงาน เรา ผู้ที่ยืนอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมือนใคร พร้อมที่จะช่วยองค์กรต่างๆจัดการกับความท้าทายทั้งหลายเหล่านี้ผ่านนวัตกรรมและพันธมิตรที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ”

เมื่อองค์กรต่าง ๆ เริ่มเข้ามาใช้งานมัลติคลาวด์ เขาจะต้องเผชิญหน้ากับความซับซ้อนในการทำงาน ความท้าทายด้านความปลอดภัย และทักษะที่ยังไม่เพียงพอในการใช้งาน (1) แม้ว่าจะมีความท้าทายต่างๆ เหล่านี้ องค์กรต่างๆ ก็ยังคงเร่งความเร็วในการใช้งาน มัลติคลาวด์ (2) เมื่อมีการทำงานร่วมกันของพันธมิตร VMware ช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถนำแนวทาง “Cloud Smart” มาใช้ได้สำเร็จ โดยมีความยืดหยุ่นและมีทางเลือกสำหรับคลาวด์ที่หลากหลาย องค์กรแบบ Cloud-smart จะได้รับประโยชน์จากการใช้งานมัลติคลาวด์ สังเกตได้จากความสามารถในการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นและผลลัพธ์ในระดับบนสุด ตัวอย่างจากผลการวิจัยของ Vanson Bourne ที่ได้รับมอบหมายจาก VMware พบว่า 97% ขององค์กรแบบ Cloud-smart ที่ตอบแบบสอบถามกล่าวว่า แนวทางในการใช้มัลติคลาวด์สามารถช่วยกระตุ้นการเติบโตของรายได้ให้ดีขึ้น และ 96% กล่าวว่าสามารถช่วยเพิ่มผลกำไรได้ (3) การเรียนรู้เหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของการให้บริการ VMware Cross-Cloud ซึ่งช่วยให้ลูกค้าได้รับประโยชน์จากการเข้าถึง Cloud-smart โดยช่วยให้พวกเขาเลือกคลาวด์ที่เหมาะสมสำหรับแอปพลิเคชันที่ต้องการใช้งาน

เพิ่มความเร็วในการทรานส์ฟอร์มไปสู่คลาวด์รวมไปถึง Edge

ที่งาน VMware Explore Europe, VMware ได้ประกาศเปิดตัวโซลูชันล่าสุดที่มุ่งเน้นในการช่วยเหลือลูกค้าในการประมวลผล ปรับขนาด และการรักษาความปลอดภัยในการทำงานระดับองค์กรทั้งบนคลาวด์ภายในและพับบลิคคลาวด์ รวมไปถึง Edge ให้ดียิ่งขึ้น ไฮไลท์ต่างๆ ประกอบด้วย:

  • ด้วยพันธมิตรกว่า 25 รายทั่วโลก ขณะนี้ VMware Sovereign Cloud นำเสนอ VMware Tanzu บน sovereign cloud ชุดการทำงาน VMware Aria Operations Compliance สำหรับ sovereign clouds และโซลูชันสำหรับสภาพแวดล้อมในการทำงานรูปแบบใหม่ ด้วยนวัตกรรมเหล่านี้จะช่วยให้พันธมิตรสามารถนำเสนอบริการที่เทียบเท่ากับการบริการที่พบในพับบลิคคลาวด์ ในขณะเดียวกันยังช่วยให้มั่นใจได้ว่าข้อมูลจะปลอดภัยได้รับการคุ้มครอง เป็นไปตามข้อกำหนด และยังคงถูกเก็บรักษาไว้ภายในประเทศที่ข้อมูลนั้นตั้งอยู่
  • โซลูชัน SD-WAN รุ่นใหม่ของ VMware ที่ประกอบด้วย SD-WAN Client จะช่วยให้องค์กรสามารถส่งมอบแอปพลิเคชัน ข้อมูล และการบริการได้อย่างปลอดภัย มีความน่าเชื่อถือ และมีความเหมาะสมที่สุด ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ไม่ว่าจะเป็นไซด์งาน สาขา หรือที่บ้าน ผ่านอุปกรณ์ต่างๆ บนเครื่องข่ายใดๆ ก็ได้
  • VMware Carbon Black XDR รูปแบบใหม่ จะช่วยยกระดับการรักษาความปลอดภัยในแนวราบโดยขยายมุมมองเครือข่ายของ VMware ในการทำการตรวจจับและส่งต่อไปยัง VMware Carbon Black Enterprise EDR ซึ่งช่วยปรับปรุงการตรวจจับและป้องกันภัยคุกคามได้อย่างทั่วถึงทั้งอุปกรณ์ปลายทางและเครือข่ายอย่างมีประสิทธิภาพ
  • VMware HCX+ รูปแบบใหม่และการปรับปรุงการให้บริการของ VMware NSX ALB PULSE Cloud สามารถช่วยให้องค์กรใช้งานคลาวด์ได้อย่างเหมาะสม

สร้าง และ ใช้งาน Cloud Native Platform 

นอกจากนี้ VMware ได้ประกาศความก้าวหน้าของ VMware Tanzu cloud native app portfolio และแพลตฟอร์มในการจัดการ VMware Aria cloud โดยทำการรวมกันเพื่อมอบแนวทางในการเข้าสู่ Cloud-smart สำหรับการพัฒนาเนทีฟคลาวด์แอปพลิเคชัน และการส่งมอบ รวมถึงการจัดการที่สนับสนุนลูกค้าในทุกขั้นตอนของการดำเนินการบน Kubernetes และบนคลาวด์ต่างๆ ไฮไลท์ต่างๆ ประกอบไปด้วย:

  • การเปิดตัวรุ่นเบต้าของ VMware Image Builder ที่จะช่วยสร้างความปลอดภัยแบบอัตโนมัติ ความน่าเชื่อถือ และการบำรุงรักษาซอฟท์แวร์ต่างๆ ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสอดคล้องกับมาตรฐานการปฏิบัติตามข้อบังคับขององค์กร
  • ความพร้อมใช้งานที่ไม่มีค่าใช้จ่ายบนข้อเสนอของ VMware Aria Hub รูปแบบใหม่ที่ถูกขับเคลื่อนโดย VMware Aria Graph

เพิ่มพลังให้กับการทำงานแบบผสมผสาน

ทีมไอทียังคงรับมือกับความท้าทายบนสภาพแวดล้อมของการทำงานแบบผสมผสานที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากพนักงานใช้อุปกรณ์หลากหลายขึ้น มีการเข้าถึงแอปพลิเคชันบนคลาวด์มากขึ้น และมีการทำงานจากสถานที่ต่างๆ มากกว่าที่เคยเป็นมา ในวันนี้ VMware ได้ประกาศเปิดตัวความสามารถใหม่ของแพลตฟอร์ม Anywhere Workspace โดยจะสามารถช่ายลดภาระของทีมไอทีในการจัดการ พร้อมด้วยการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานด้วยระบบอัตโนมัติ การอัปเดตต่างๆประกอบด้วย:

  • VMware กำลังขยายขอบเขตของการทำงาน ของโซลูชัน DEX เพื่อรองรับ Digital Employee Experience Management (DEEM) สำหรับอุปกรณ์ Windows ที่มีการจัดการโดยผู้ให้บริการภายนอก
  • ส่วนขยายของ Workspace ONE Freestyle Orchestrator สำหรับการเปิดใช้งานระบบอัตโนมัตินอกเหนือจากขั้นตอนการทำงานแบบ device-based task-specific workflows ภายใน Workspace ONE ไปยัง ขั้นตอนการทำงานแบบ context-driven ticketing workflows ที่ครอบคลุมการทำงานของระบบไอทีของผู้ให้บริการภายนอก
  • Horizon Cloud บน Microsoft Azure ได้บรรลุโครงการ Federal Risk and Authorization Management Program (FedRAMP) High Authorization ผ่าน Joint Authorization Board (JAB) และได้รับ Authority to Operate (ATO) ในหน่วยงานพลเรือน

 

การให้บริการ VMware Cross-Cloud™ ช่วยนำลูกค้าสู่ยุค Multi-Cloud

ในงาน VMware Explore Europe VMware ได้ทำการเปิดตัวข้อเสนอที่ได้รับการปรับปรุงในการให้บริการ VMware Cross-Cloud เพื่อช่วยให้ลูกค้าเข้าสู่ยุคมัลติคลาวด์จาก Cloud Chaos ไปยัง Cloud Smart

โดยการให้บริการ VMware Cross-Cloud นี้เป็นพอร์ตโฟลิโอของการให้บริการคลาวด์ในการพัฒนา การดำเนินงาน การเข้าถึง และการรักษาความปลอดภัยสำหรับแอปพลิเคชันต่างๆที่เรียบง่ายและไม่เหมือนใครบนอุปกรณ์ต่างๆ แกนหลักของการให้บริการ VMware Cross-Cloud ประกอบด้วย 1) App Platform, 2) Cloud Management, 3) Cloud & Edge Infrastructure, 4) Security & Networking, และ 5) Anywhere Workspace.

เกี่ยวกับงาน VMware Explore 

VMware Explore เป็นวิวัฒนาการในการจัดการประชุมระดับแนวหน้าของ VMworld โดยการจัดการประชุมในครั้งนี้ได้ทำการเปลี่ยนแปลงอุตสาหรรมไปในรูปแบบของ ทุกสิ่งเกิดขึ้นบนมัลติคลาวด์ ในปีนี้ได้นำเสนอโซลูชันชั้นนำสำหรับอุตสาหกรรมและการประชุมทางเทคนิค พร้อมด้วยกว่า 90% ของระบบนิเวศแบบคลาวด์จากพาร์ทเนอร์ชั้นนำ รวมถึงตลาดมัลติคลาวด์ ISVs ที่กำลังรุ่งเรือง เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ VMware Explore โปรดไปที่: www.vmware.com/explore.html

เกี่ยวกับ VMware

VMware เป็นผู้ให้บริการชั้นนำทางด้านมัลติคลาวด์สำหรับแอปพลิเคชันทั้งหมด เพื่อสร้างนวัตกรรมดิจิทัลด้วยการควบคุมระดับองค์กร ในฐานะที่เป็นรากฐานที่มีความน่าเชื่อถือเพื่อเร่งความเร็วในการสร้างนวัตกรรม ซอฟต์แวร์ของ VMware จะช่วยให้ธุรกิจมีความยืดหยุ่นและมอบทางเลือกสำหรับการสร้างอนาคต VMware มีสำนักงานใหญ่ในเมืองพาโลอัลโต รัฐแคลิฟอร์เนีย มุ่งมั่นที่จะสร้างอนาคตที่ดีกว่าภายในปี 2030 สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดไปที่ www.vmware.com/company


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

VMware แนะ 8 กลยุทธ์ เสริมความยืดหยุ่นและความคล่องตัวให้กับหน่วยงานสาธารณสุขในประเทศไทย

องค์กรด้านสาธารณสุขทั่วโลกต่างเป็นด่านหน้าที่กำลังต่อสู้กับโควิด-19 ที่กำลังระบาดอยู่ ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงคุณค่าของเทคโนโลยีดิจิทัลที่เข้ามาช่วยจัดการสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วและน่าทึ่ง ในฐานะด่านหน้าทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก พวกเขามุ่งมั่นที่จะทำให้ระบบสาธารณสุขมีความยืดหยุ่น และให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีในระดับองค์กรรูปแบบใหม่ ๆ ที่กำลังเกิดขึ้น

การประสบความสำเร็จในช่วงเวลาที่ไม่แน่นอนในอนาคต องค์กรด้านสาธารณสุขในประเทศไทยมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง “พร้อมสำหรับอนาคต” หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีความยืดหยุ่นที่สามารถรองรับการดูแลผู้ป่วยได้อย่างเต็มที่จากทุกที่ โดยการวางรากฐานระบบดิจิทัลที่มีความน่าเชื่อถือจึงเป็นสิ่งสำคัญ ช่วยให้องค์กรด้านสาธารณสุขของไทยสามารถใช้นวัตกรรมใหม่ๆ, สร้างความยืดหยุ่น และมอบประสบการณ์การดูแลสุขภาพในรูปแบบดิจิทัลที่จะช่วยสร้างความพึงพอใจให้แก่ผู้รับบริการ

นี่คือภาพรวมกลยุทธ์เชิงลึก 8 ประเด็น ที่แสดงให้เห็นว่า การระบาดของไวรัสครั้งนี้ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในภาคสาธารณสุขของประเทศไทยได้อย่างไร

กลยุทธ์เชิงลึก #1: โควิด-19 ได้ทำลายอุปสรรคที่สั่งสมมานานหลายทศวรรษสู่การเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล

โควิด-19 เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเร่งการพัฒนาแผนงานทางเทคโนโลยีรองรับอนาคต จากการศึกษาของ Digital Frontiers 3.0 จาก VMware พบว่าผู้บริโภคชาวไทยไว้วางใจในเทคโนโลยีแห่งอนาคต ไม่ว่าจะเป็นระบบปัญญาประดิษฐ์ (70%), 5G (81%) และระบบการจดจำใบหน้า (74%)

องค์กรไอทีที่เกี่ยวข้องกับงานด้านสาธารณสุข ตระหนักถึงข้อดีของรากฐานทางดิจิทัลที่แข็งแรงที่สามารถสนับสนุนการทำงานบน คลาวด์, แอปพลิเคชัน และอุปกรณ์ที่หลากหลาย ช่วยให้ตอบสนองการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ทำให้แน่ใจว่าจะมีความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจและมีความหยืดหยุ่น การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วด้านเทคโนโลยีดิจิทัลนี้ เป็นหัวใจสำคัญในการช่วยเหลือและดูแลผู้ป่วยที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นจนล้นโรงพยาบาลให้มีสุขภาพดีและปลอดภัย

กลยุทธ์เชิงลึก #2: การบริโภคและความต้องการของผู้ป่วยเป็นสิ่งสร้างความแตกต่างทางธุรกิจรูปแบบใหม่

จากการสำรวจล่าสุดของ Forrester ในกลุ่ม CIOs และ SVPs ทางด้านสาธารณสุขทั่วโลก พบว่า องค์กรทางด้านสาธารสุขมากกว่าครึ่งหนึ่ง (51%) เพิ่มการลงทุนเกี่ยวกับความต้องการของผู้ป่วย โดย 64% ของผู้ตอบแบบสอบถามจากการศึกษาของ VMware’s Digital Frontiers 3.0 กล่าวว่า พวกเขาจะเปลี่ยนไปใช้บริการในสถานบริการใหม่ที่มีคุณภาพเทียบเท่ากัน หากการจัดการทางด้านดิจิทัลของสถานบริการที่ใช้บริการอยู่ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ดังนั้นองค์กรทางด้านสาธารณสุขในประเทศไทย จึงจำเป็นต้องนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้งาน เช่น ระบบแอปพลิเคชันที่ทันสมัย รวมถึงระบบคลาวด์ เพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมและนำเสนอแนวทางการบริการดูแลสุขภาพรูปแบบใหม่ให้แก่ผู้ป่วย

กลยุทธ์เชิงลึก #3: การให้บริการดิจิทัลรูปแบบใหม่สร้างความเสี่ยงทางไซเบอร์มากยิ่งขึ้น

บริการใหม่ ๆ ผ่านระบบดิจิทัลกำลังเพิ่มความเสี่ยงทางไซเบอร์ จากการสำรวจของ VMware’s Digital Frontiers 3.0 พบว่า ผู้บริโภคชาวไทย 45% ให้ความสำคัญต่อความปลอดภัยของการบริการผ่านดิจิทัลเป็นปัจจัยสำคัญที่สุด ดังนั้นองค์กรทางด้านสาธารณสุขจึงจำเป็นต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่า องค์กรมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มแข็งแบบ zero-trust, มีนโยบายและการควบคุมสิทธิ์อย่างน้อยต้องครอบคลุมทั้ง on-premises, บนคลาวด์ ไปจนถึงอุปกรณ์ปลายทาง

กลยุทธ์เชิงลึก #4: Telehealth และความสามารถในการกระจายการทำงาน เปลี่ยนจาก ”สิ่งที่ควรมี”กลายเป็น”สิ่งที่ต้องมี”

ด้วยความแตกต่างจากอุตสาหกรรมอื่นๆ งานทางด้านสาธารณสุขเป็นสิ่งที่ต้องลงมือปฎิบัติ ในสภาพแวดล้อมของการทำงานแบบกระจายตัว รวมถึงเครื่องมือและแพลตฟอร์มที่ใช้ในการทำงานร่วมกัน ตัวอย่างเช่น Digital workspace ที่รวมการจัดการอุปกรณ์ และการระบุตัวตน กลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ให้บริการด้านการดูแลผู้ป่วย รวมถึงแนวทางในการบริการ telehealth, และเป็นเจ้าภาพให้กับพนักงานผู้ต้องปฏิบัติหน้าที่ในรูปแบบใหม่ ซึ่งไอทีสามารถช่วยให้ผู้ดูแลผู้ป่วยสามารถดูแลผู้ป่วย พร้อมทั้งแลกเปลี่ยนข้อมูลได้แบบเรียลไทม์และเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถเลือกใช้งานตามแพลตฟอร์มที่ต้องการได้

กลยุทธ์เชิงลึก #5: การลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการปฏิรูปกำลังเพิ่มมากขึ้น – โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจด้านสาธารณสุขมีมากกว่าอุตสาหกรรมประเภทอื่น

จากการศึกษาของ VMware-MIT Executive Study พบว่า ผู้ให้ดูแลทางด้านสุขภาพที่ตอบแบบสอบถามเกือบทั้งหมด (98%) กล่าวว่าพวกเขาหวังว่าจะสามารถผ่านพ้นช่วงวิกฤตนี้ไปได้ ด้วยการลงทุนในการปรับปรุงเทคโนโลยีที่มีให้สามารถรองรับการปฏิรูปสู่ดิจิทัล ในขณะที่ผู้บริหารองค์กรทางด้านสาธารณสุขและคณะกรรมการบริษัทตระหนักถึงคุณค่าในการลงทุนทางด้านไอทีสำหรับการสาธารณสุข ที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลผู้ป่วย รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพของผู้ให้การดูแล, และประสบการณ์การทำงานของเจ้าหน้าที่ในองค์กร โดยธุรกิจในอุตสาหกรรมนี้จะได้รับประโยชน์จากการวางแผนเชิงรุกและการเปิดรับเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในองค์กร อันจะช่วยสร้างโอกาสใหม่ ๆ จากนวัตกรรมดิจิทัลอีกด้วย

กลยุทธ์เชิงลึก #6: เทคโนโลยีเพื่อสุขภาพ (HIT) ที่ยืดหยุ่น คือ กุญแจสู่ความสำเร็จทางดิจิทัล – การทำงานแบบอัตโนมัติและมัลติ-คลาวด์ คือ อนาคต

เมื่อมีคำถามเกี่ยวกับความยืดหยุ่น มากกว่าครึ่ง (58%) ขององค์กรทางด้านสาธารณสุขที่ตอบการสำรวจจากแบบสำรวจเดียวกันของ VMware-MIT กล่าวว่าประสิทธิภาพของโครงสร้างพื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จ

โครงสร้างพื้นฐานทางด้านไอทีของงานสาธารณสุขแบบอัตโนมัติรวมถึงรูปแบบของการดำเนินงาน ถูกยกให้เป็นความคิดริเริ่มอันดับต้นๆ เนื่องจากองค์กรทางด้านสาธารณสุขมองหาช่องทางการป้องกันสุขภาพ และเพื่อความปลอดภัยของผู้ให้บริการดูแลผู้ป่วย โดยการส่งเสริมการให้มีการบริการดูแลสุขภาพทางไกล รวมถึงสนับสนุนการทำงานแบบที่พนักงานไม่จำเป็นต้องสัมผัสผู้ป่วยผ่านการทำงานแบบ work-from-home

กลยุทธ์เชิงลึก #7: การเติบโตของคลาวด์ที่เพิ่มขึ้น – การประยุกต์ใช้เพื่อสร้างสมดุลทางสาธารณสุข

ไม่มีข้อกังขาในคุณประโยชน์ในการใช้งานคลาวด์อีกต่อไป เพียงประยุกต์ใช้ unified digital foundation จะช่วยให้องค์กรทางด้านสาธารณสุขสามารถลดความซับซ้อนในการปรับใช้ระบบคลาวด์โดยขยายไปสู่มัลติ-คลาวด์ได้อย่างราบรื่นโดยไม่ต้องปรับทักษะ, ปรับโครงสร้างแอปพลิเคชัน หรือปรับแต่งเครื่องมือใหม่ สิ่งเหล่านี้ช่วยปรับปรุงการมีส่วนร่วมของผู้ป่วย รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพของผู้ดูแลและเจ้าหน้าที่ อย่างไรก็ตาม การรักษาธรรมาภิบาลและการปฏิบัติตามกฎระเบียบยังคงเป็นความท้าทายอันดับต้น ๆ ในการปฏิบัติงาน

กลยุทธ์เชิงลึก #8: การฟื้นตัวจากวิกฤติ เทียบไม่ได้กับการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

ในขณะที่องค์กรทางด้านสาธารณสุขระบุว่าพวกเขามีแผนสร้างความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจก่อนเกิดการระบาดใหญ่ ผู้บริหารในกลุ่มสาธารณสุข 3 ใน 10 คนที่ร่วมทำแบบสำรวจของ VMware-MIT รู้สึกว่าแผนของพวกเขามีประสิทธิภาพน้อยลงเมื่อต้องพยายามรับมือกับสถานการณ์การแพร่ระบาด สิ่งนี้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่องค์กรต้องมีความพร้อมรับต่ออนาคตเพื่อบูรณาการความต่อเนื่องทางธุรกิจ พร้อมด้วยแผนการฟื้นฟูองค์กรจากวิกฤติเข้าไว้ในการดำเนินงานทั้งหมด เพื่อตอบสนองต่อวิกฤตที่อาจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และปรับให้เข้ากับสภาพความเป็นจริงใหม่ และเร่งสร้างนวัตกรรม

วิกฤตการณ์ COVID-19 เป็นบททดสอบล่าสุด – ที่รุนแรงที่สุด – เป็นการทดสอบความสามารถขององค์กรด้านสาธารณสุขในการตอบสนองและการประสบความสำเร็จในช่วงเวลาที่เลวร้าย พร้อมทั้งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของความคล่องตัวและความยืดหยุ่นของระบบสาธารณสุข รวมถึงการใช้งานสถาปัตยกรรมเทคโนโลยีที่เหมาะสม การให้อำนาจแก่ผู้ป่วยและผู้ปฏิบัติหน้าที่ดูแล การมีแนวทางการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ครอบคลุม เมื่อมองไปในอนาคต, สิ่งเหล่านี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยพัฒนาให้ระบบสาธารณสุขก้าวไปสู่โลกแห่งดิจิทัลได้รวดเร็วยิ่งขึ้น


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

VMware ช่วยดูแลรากฐานความปลอดภัยให้กับโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และรองรับการทำงานจากทุกที่

ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, 14 มิถุนายน 2564 – องค์กรชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการตอบสนองในปรับเปลี่ยน และพยายามที่จะปรับตัวเป็นรูปแบบดิจิทัลให้รวดเร็วขึ้น เพื่อเข้าสู่สภาพแวดล้อมในการทำงานจากภายนอกองค์กรในช่วงปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามในการปรับตัวเป็นแบบดิจิทัลอย่างรวดเร็วนี้ ทำให้เกิดช่องทางในการคุกคามทางด้านข้อมูลเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย และผู้โจมตีก็อาศัยช่องโหวเหล่านี้เป็นโอกาสนี้ในการคุกคามข้อมูลขององค์กร และเพื่อป้องกับภัยคุกคามที่จะเกิดขึ้น บริษัท วีเอ็มแวร์ จำกัด (NYSE: VMW) ได้ประกาศนวัตกรรมเพื่อรักษาความปลอดภัยในรูปแบบการทำงานจากที่ใดก็ได้ สำหรับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของโลก

ในขณะที่เศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังอยู่ในสภาวะฟื้นตัว และมีการขยายตัวไปยังพื้นที่ใหม่ๆ การรักษาความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องให้ความสำคัญในลำดับต้น ๆ โดยกลุ่มผู้บริโภคในภูมิภาคส่วนใหญ่ (58%) ให้ความสำคัญกับการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลในระดับสูง เมื่อเขาเหล่านั้นมีการติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลทางธุรกิจ องค์การต่าง ๆ จึงจำเป็นที่จะต้องทบทวนกลยุทธ์ในการรักษาความปลอดภัยเพื่อให้ข้อมูลสำคัญของลูกค้ายังคงปลอดภัย ท่ามกลางสภาพแวดล้อมในการทำงานที่มีการเข้าถึงข้อมูลจากภายนอกที่เพิ่มขึ้น

ซานเจย์ เค. เดชมุค รองประธานและกรรมการผู้จัดการ VMware ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี กล่าวว่า “การโจมตีทางไซเบอร์และการละเมิดถือเป็นความท้าทายที่เกิดขึ้นมายาวนานกับองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มีการปฏิบัติงานที่แตกต่างกันในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในขณะเดียวกันรูปแบบความซับซ้อนในการโจมตียังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และผู้คุกคามมองหาช่องทางใหม่ ๆ ในการหาประโยชน์เหล่านี้ ทำให้องค์กรจำเป็นต้องมีแนวทางใหม่ที่เรียบง่าย รวดเร็ว และชาญฉลาด มีความยืดหยุ่นที่จะช่วยให้การทำงานจากที่ใดก็ได้ของพนักงานมีเสถียรภาพ และปลอดภัยจากการคุกคามดังกล่าว การเปลี่ยนแปลงสถานที่การทำงานแบบองค์รวมที่ได้รวบรวมเอา ความรวดเร็ว การรักษาความปลอดภัย และความสามารถในการเข้าถึงข้อมูล อันมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับการทำงานจากภายนอกองค์กรในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อีกทั้งยังจะช่วยให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกิดการปรับตัวและก้าวสู่ระบบดิจิทัลในอนาคตได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย”

แฟรงค์ ดิกสัน รองประธานโครงการ Security & Trust ที่ IDC กล่าวว่า “ในระหว่างการเร่งย้ายขึ้นระบบคลาวด์ การนำเครื่องมือใหม่ ๆ เข้ามาใช้งาน รวมถึงการขาดความร่วมมือกันระว่างทีมรักษาความปลอดภัยกับทีม DevOps ล้วนนำพาเราเข้าสู่ยุคแห่งความยุ่งยากซับซ้อนอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน ซึ่งความซับซ้อนนั้น นับเป็นศัตรูของความปลอดภัยและความยืดหยุ่นโดยปริยาย ในขณะที่องค์กรต่าง ๆ ยังคงถูกโจมตี เพราะเรายังไม่ได้ให้ความสำคัญกับระบบความปลอดภัยเป็นอันดับแรกในการเริ่มเปลี่ยนแปลงโครงสร้างแบบดิจิทัล VMware มองหาวิธีที่เรียบง่าย มาพร้อมระบบป้องกันภัยคุกคามที่ทำงานเร็วขึ้นฉลาดยิ่งขึ้นให้กับทีมรักษาความปลอดภัย”

โดยความก้าวหน้าเหล่านี้รวมถึง:

  • การรักษาความปลอดภัย Zero-Trust ที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อน เพื่อให้สามารถจัดการและควบคุมโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลได้ดียิ่งขึ้น: ด้วยการเชื่อมต่อนี้ ได้รวมเอาศูนย์ควบคุมการทำงานที่มีความสำคัญ อุปกรณ์ เวิร์กโหลด และเครือข่ายเข้าไว้ด้วยกัน ด้วยข้อมูลที่จำเป็นจากทุกแหล่งข้อมูลสำหรับกลยุทธ์ Zero-Trust อันชาญฉลาดที่มีความเรียบง่าย และรวดเร็วกว่า
  • การรักษาความปลอดภัยสำหรับการทำงานจากทุกที่ ที่ดีขึ้นกว่าเดิม โดยไม่กระทบต่อรูปแบบของการทำงาน: VMware Anywhere Workspace ได้รวมเอา  VMware Workspace ONE, VMware SASE, และ VMware Carbon Black Cloud เข้าไว้ด้วยกันเพื่อช่วยให้องค์กรสามารถจัดรูปแบบของการทำงานของพนักงานในองค์กรแบบ multi-modal รักษาความปลอดภัยให้กับการทำงานที่ไร้พรมแดนได้ดียิ่งขึ้น และทำให้พื้นที่ในการทำงานเป็นแบบอัตโนมัติในสภาพแวดล้อมการทำงานรูปแบบใหม่ในปัจจุบัน
  • ช่วยรักษาความปลอดภัยให้กับ Data Center ได้รวดเร็วและชาญฉลาดยิ่งขึ้น: ด้วย VMware NSX Service-defined Firewall ทีมรักษาความปลอดภัยสามารถป้องกันการรับส่งข้อมูลทั้งแบบเสมือน แบบกายภาพ แบบ containerized และ แบบคลาวด์เวิร์กโหลด จากการคุกคามภายในได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยหลีกเลี่ยงความเสียหายของระบบเครือข่ายที่เกิดจากภัยคุกคามได้อีกด้วย
  • ช่วยการรักษาความปลอดภัยของแอปพลิเคชันสมัยใหม่ และคลาวด์เวิร์กโหลดได้ดียิ่งขึ้น สำหรับพื้นที่ในทำงานแบบไดนามิกที่มีความยืดหยุ่น: โซลูชัน  VMware Modern Apps Connectivity พร้อมนำเสนอกลุ่มของแอปพลิเคชันแบบบูรณาการที่ช่วยให้ผู้ปฏิบัติงานสามารถจัดการเส้นทางการรับส่งข้อมูลบนแอปพลิเคชันแบบ end-to-end ได้จากส่วนกลางที่มีความความยืดหยุ่น ด้วยนโยบายความปลอดภัยผ่านสภาพแวดล้อมการทำงานแบบ multi-site และ แบบคลาวด์

ทำให้การทำงานร่วมกันบนพื้นที่การทำงานแบบไฮบริดเป็นเรื่องง่ายและมีความปลอดภัย

หลังจากเปิดตัว VMware Anywhere Workspace เมื่อเดือนที่แล้ว VMware กำลังเสริมมุมมองเพื่อรองรับการทำงานในอนาคต ด้วยการทำงานร่วมกับ Zoom Video Communications, Inc. ด้วยการนำข้อดีของโซลูชันของนวัตกรรมใหม่สามอย่างรวมไว้ด้วยกัน ได้แก่ – VMware Workspace ONE, VMware Carbon Black และ VMware SASE Platform โซลูชัน VMware Anywhere Workspace จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานจากที่ใดก็ได้ในปัจจุบัน ช่วยลดข้อขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นระหว่างระบบไอทีและพนักงานในองค์กร สร้างการปฏิบัติงานให้ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น พร้อมด้วยระบบความปลอดภัยที่ดีขึ้น

ด้วยความร่วมมือกันในครั้งนี้ VMware กำลังทำงานร่วมกับ Zoom เพื่อเปิดการใช้งานร่วมกันระหว่าง VMware Anywhere Workspace และ Zoom collaboration platform เพื่อเพิ่มศักยภาพของแอปพลิเคชันและเครือข่ายให้สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความปลอดภัย เหมาะสำหรับสภาพแวดล้อมในการทำงานแบบไฮบริดมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

  • เพิ่มมุมมองในการจัดการและแก้ไขปัญหา: ด้วยการเข้าถึงข้อมูลในเชิงลึกของระบบเครือข่ายและอุปกรณ์ที่รองรับของผู้ใช้งาน Zoom VMware Anywhere Workspace จะช่วยให้ไอที สามารถตรวจสอบและแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
  • ปรับการทำงานที่เหมาะสม: สร้างประสบการณ์ที่ดีให้พนักงานด้วยการรองรับการทำงานแบบ multi-modal บนสภาพแวดล้อมแบบไฮบริด มีการทำงานร่วมกันระหว่าง  VMware Anywhere Workspace และ Zoom ที่ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถปฏิบัติงานได้อย่างเต็มที่ และมีประสิทธิภาพ บนอุปกรณ์ สถานที่ และเครือข่ายใด ๆ ก็ได้ 
  • เพิ่มความปลอดภัยในการใช้งาน: VMware Anywhere Workspace ช่วยเพิ่มการรักษาความปลอดภัยที่กว้างขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับองค์กรที่ใช้ Zoom จากหลากหลายพื้นที่

เกี่ยวกับวีเอ็มแวร์

วีเอ็มแวร์เป็นผู้นำระดับโลกด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่มีความซับซ้อน บริการคลาวด์, เน็ตเวิร์กกิ้ง, ระบบซีเคียวริตี้และดิจิทัลเวิร์คเพลสของวีเอ็มแวร์พร้อมมอบรากฐานดิจิทัลแบบไดนามิกและมีประสิทธิภาพให้กับลูกค้าทั่วโลก ภายใต้ความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์มากมาย โดยสำนักงานใหญ่วีเอ็มแวร์ตั้งอยู่ที่เมืองพาโล อัลโต รัฐแคลิฟอร์เนีย วีเอ็มแวร์ยังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นพลังสนับสนุนที่ดี จากแนวโน้มและผลกระทบการจัดการนวัตกรรมเชิงพื้นที่ในระดับโลก สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่ https://www.vmware.com/company


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

วีเอ็มแวร์ คลาวด์ เร่งขับเคลื่อน App Modernization ด้วยบริการมัลติคลาวด์แบบโมดูลาร์

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – 5 เมษายน 2564 – ตลอดช่วงระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา วีเอ็มแวร์ได้ทำหน้าที่ขับเคลื่อนแอปพลิเคชันทางธุรกิจที่สำคัญในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก โดยองค์กรกว่า 300,000 แห่งได้สร้างและใช้งานเวิร์กโหลดกว่า 85 ล้านชุดบนแพลตฟอร์มของวีเอ็มแวร์ และนักพัฒนากว่า 5 ล้านคนสร้างแอปโดยอาศัยเทคโนโลยีของวีเอ็มแวร์ และวันนี้ บริษัท วีเอ็มแวร์ (NYSE: VMW) ได้เปิดตัวแพลตฟอร์ม VMware Cloud เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีมัลติคลาวด์ และนำเสนอโมเดิร์นแอปพลิเคชันภายในเวลาอันรวดเร็ว เพื่อก้าวทันกับความเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ

VMware Cloud เป็นแพลตฟอร์มมัลติคลาวด์แบบกระจาย (Distributed) อันจะช่วยให้การทำ application modernization ขององค์กรสามารถทำได้เร็วขึ้น โดยครอบคลุมทั้งในส่วนของดาต้าเซ็นเตอร์ ส่วน Edge ของเครือข่าย และระบบคลาวด์ใด ๆ ก็ตาม  VMware Cloud เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของนักพัฒนา โดยช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างและติดตั้งใช้งานแอปพลิเคชันบนระบบคลาวด์ทุกประเภท ซึ่งสร้างข้อได้เปรียบให้กับทั้งนักพัฒนาและฝ่ายไอทีไม่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งเหมือนแต่ก่อน แพลตฟอร์มนี้ช่วยให้ฝ่ายไอทีสามารถปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานและการดำเนินงานให้ทันสมัย โดยมีความเสี่ยงน้อยกว่าและประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า พร้อมทั้งเปิดตัวแพลตฟอร์ม VMware Cloud กับบริการใหม่ๆ ที่จะมอบประสบการณ์แบบครบวงจรให้แก่ลูกค้า โดยบริการใหม่ที่ว่านี้ได้แก่:

  • VMware Cloud Universal: บริการสมัครใช้งานที่ยืดหยุ่น เพิ่มความสะดวกในการซื้อและใช้บริการโครงสร้างพื้นฐานและการจัดการระบบมัลติคลาวด์ของวีเอ็มแวร์
  • VMware Cloud Console: ระบบการทำงานแบบ single monitoring ที่สะดวกต่อการตรวจสอบและจัดการโครงสร้างพื้นฐาน VMware Cloud อย่างครบวงจร ไม่ว่าจะติดตั้งอยู่ที่ใดก็ตาม
  • VMware App Navigator: บริการใหม่สำหรับการประเมินและจัดลำดับความสำคัญของการปรับเปลี่ยนแอป โดยครอบคลุมทุกแง่มุมของแอปพลิเคชัน ขึ้นอยู่กับความสำคัญของแต่ละแอป

นายรากู รากูราม ประธานเจ้าหน้าที่ด้านปฏิบัติการ ฝ่ายผลิตภัณฑ์และบริการคลาวด์ของวีเอ็มแวร์ กล่าวว่า  “เราอยู่ในช่วงจุดเปลี่ยนที่สำคัญสำหรับการพัฒนาระบบคลาวด์และโมเดิร์นแอปพลิเคชัน   ในปัจจุบันสถาปัตยกรรมมีลักษณะเป็นมัลติคลาวด์แบบกระจายเพิ่มมากขึ้น ขณะที่จำนวนของโมเดิร์นแอปพลิเคชันกำลังจะแซงหน้าแอปแบบเดิมในไม่ช้า  ด้วยเหตุนี้ความท้าทายที่ผู้บริหารฝ่ายสารสนเทศ (CIO) ต้องเผชิญก็คือ การนำนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยไม่ก่อให้เกิดความยุ่งยากซับซ้อนและเพิ่มความเสี่ยง VMware Cloud เป็นโซลูชันคลาวด์เพียงหนึ่งเดียวในปัจจุบันที่ลูกค้าสามารถใช้งานได้ในดาต้าเซ็นเตอร์และบนระบบคลาวด์ทุกประเภท อันช่วยเพิ่มความสะดวกรวดเร็วและความปลอดภัยในการเปลี่ยนย้ายไปสู่โมเดิร์นแอปพลิเคชัน  และด้วยบริการ VMware Cloud Universal ลูกค้าเพียงทำการซื้อครั้งเดียว ก็สามารถติดตั้งใช้งานแอปได้ในทุกสภาพแวดล้อม และสามารถโยกย้ายได้อย่างง่ายดายเมื่อความต้องการทางธุรกิจหรือความต้องการใช้งานเปลี่ยนไป”

บริการมัลติคลาวด์แบบโมดูลาร์สำหรับทุกแอปพลิเคชันในทุก ๆ ที่
โครงการริเริ่มทางด้านแอปพลิเคชันช่วยปรับปรุงผลลัพธ์ทางธุรกิจ ยกระดับประสบการณ์ที่สำหรับของลูกค้า นำเสนอบริการดิจิทัลที่แปลกใหม่ และรองรับการทำงานของบุคลากรจากทุกที่ทุกเวลา  ผลการศึกษาของวีเอ็มแวร์ชี้ว่า 90% ของโครงการริเริ่มทางด้านแอปมุ่งเน้นเรื่องการปรับปรุงแอปให้ทันสมัย(1) และ 80% ขององค์กรในปัจจุบันมีการติดตั้งใช้งานแอปพลิเคชันในรูปแบบที่กระจาย โดยครอบคลุมทั้งดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบคลาวด์ และส่วนขอบของเครือข่าย(2)

VMware Cloud เป็นแพลตฟอร์มสำหรับทั้งระบบที่ติดตั้งภายในองค์กรและระบบคลาวด์ โดยมีการรักษาความปลอดภัยและการดำเนินการอย่างครบวงจร รองรับทั้งแอปพลิเคชันแบบเก่าและโมเดิร์นแอปพลิเคชัน เชื่อมต่อกับบริการคลาวด์แบบเนทีฟทั้งหมด และตอบสนองความต้องการของนักพัฒนาและบุคลากรฝ่ายไอทีได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์  ด้วยแพลตฟอร์ม VMware Cloud ลูกค้าจะได้รับความสะดวกจากรูปแบบการใช้งานคลาวด์หนึ่งเดียวซึ่งรองรับความต้องการด้านมัลติคลาวด์ได้อย่างพร้อมสรรพ และสามารถโยกย้ายระบบได้อย่างยืดหยุ่น จึงช่วยลดความเสี่ยงและแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการใช้ระบบคลาวด์เพียงระบบเดียว  ลูกค้าที่ใช้ VMware Cloud จะได้รับประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมในหลายๆ ด้าน เช่น เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของนักพัฒนาได้ด้วย VMware Tanzu Application Service ถึง 80%(3) เพิ่มการใช้งานซอฟต์แวร์ในระบบจริงได้ถึง 82% (3) ลดค่าใช้จ่ายต้นทุนการดำเนินงานได้ 59% (4) และเพิ่มความรวดเร็วในการโยกย้ายระบบคลาวด์ได้ราว 46% (5)

VMware Cloud ช่วยให้ลูกค้าสามารถปรับใช้แอปบน VMware Cloud Foundation ที่รันอยู่บนระบบของ Amazon Web Services (AWS), Azure, Google Cloud, IBM Cloud และ Oracle Cloud หรือบน VMware Cloud ที่รันอยู่บนระบบของ Dell EMC รวมไปถึงพาร์ทเนอร์ VMware Cloud Verified อีกหลายร้อยราย  นอกจากนี้ยังมี VMware Marketplace ซึ่งช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงโซลูชันที่ผ่านการรับรองหลายพันโซลูชันจากนักพัฒนาโอเพ่นซอร์สและบริษัทอื่นๆ และลูกค้าที่ใช้บริการ VMware Cloud จะสามารถปรับใช้และจัดการระบบคลาวด์สาธารณะแบบเนทีฟ และช่วยให้นักพัฒนาสามารถเข้าถึงบริการคลาวด์แบบเนทีฟทั้งหมด

ใช้งานง่าย ประหยัดค่าใช้จ่าย ปรับปรุงแอปให้ทันสมัยได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
ด้วยบริการใหม่ VMware Cloud Universal ลูกค้าจะได้รับความยืดหยุ่นและความสะดวกในการโยกย้ายเพิ่มมากขึ้นสำหรับการปรับใช้ระบบคลาวด์ตามจังหวะเวลาที่เหมาะสม และจะได้รับประโยชน์จากระบบปฏิบัติการแบบ Single operating ครอบคลุมทุกระบบคลาวด์  บริการ VMware Cloud Universal เหมาะสำหรับลูกค้าที่ต้องการใช้สถาปัตยกรรมไฮบริดคลาวด์ โดยมีกรอบเวลาการโยกย้ายระบบคลาวด์ที่แตกต่างหลากหลายหรือครอบคลุมระยะเวลาที่นานกว่า หรือมีความต้องการด้าน Cloud Bursting เพื่อรองรับแทรฟฟิกที่สูงขึ้นอย่างกะทันหัน หรือต้องการโมเดล OPEX สำหรับโครงสร้างพื้นฐานที่ติดตั้งภายในองค์กร  ด้วยบริการ VMware Cloud Universal ลูกค้าจะสามารถซื้อเครดิตสำหรับโครงสร้างพื้นฐานมัลติคลาวด์และระบบการจัดการของวีเอ็มแวร์ และใช้เครดิตดังกล่าวกับระบบ VMware Cloud Foundation ที่ติดตั้งในองค์กร, VMware Cloud บน AWS, หรือ VMware Cloud on Dell EMC  ประโยชน์ที่จะได้รับจาก VMware Cloud Universal มีดังนี้:

ความยืดหยุ่นและทางเลือกที่หลากหลาย: ซื้อครั้งเดียวและสามารถปรับใช้บริการที่เกี่ยวข้องได้ทุกเมื่อตลอดระยะเวลาของสัญญา

การแปลงเครดิต: ลูกค้าสามารถแปลงเครดิตที่ไม่ได้ใช้สำหรับ Cloud Foundation ที่ติดตั้งในองค์กร และนำไปใช้กับ VMware Cloud on AWS หรือ VMware Cloud on Dell EMC ได้ทุกเมื่อตลอดระยะเวลาของสัญญา  การแปลงเครดิตดังกล่าวสามารถทำได้โดยใช้ไลเซนส์ใหม่ของ VMware Cloud Foundation Subscription

ประโยชน์ของการเร่งการทำงานระบบคลาวด์ (CAB): ช่วยให้ลูกค้าเปลี่ยนไปใช้มัลติคลาวด์ได้อย่างยืดหยุ่นโดยใช้ไลเซ่นถาวร VMware ของเดิมที่เคยลงทุนไว้ โดยเลือกใช้เครดิต VMware Cloud Universal

Kubernetes แบบติดตั้งในตัว: VMware Tanzu Standard Edition สำหรับการติดตั้งและใช้งานKubernetes บนมัลติคลาวด์อย่างง่ายดาย

การจัดการและใช้งานมัลติคลาวด์: VMware vRealize Cloud Universal สำหรับการจัดการมัลติคลาวด์โดยใช้ SaaS

VMware Success 360: ออกแบบเป็นพิเศษเพื่อช่วยให้ลูกค้าบรรลุเป้าหมายอย่างรวดเร็วและได้รับประโยชน์อย่างต่อเนื่อง โดยบริการ Success 360 ประกอบด้วยการวางแผนความสำเร็จ การให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปรับใช้อย่างต่อเนื่อง การฝึกอบรมเวิร์คช็อปด้านการออกแบบ และการให้บริการสนับสนุนเชิงรุกโดยทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญโดยเฉพาะ

VMware Cloud Console ทำหน้าที่รองรับบริการใหม่นี้ โดยช่วยให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบและควบคุมโครงสร้างพื้นฐาน VMware Cloud ทั้งหมดได้อย่างครบถ้วน ครอบคลุมทั้งระบบที่ติดตั้งในองค์กร ระบบคลาวด์ และสภาพแวดล้อมแบบ Edge. โดย Cloud Console เป็นพอร์ทัลแบบครบวงจรที่จะช่วยให้ลูกค้าสามารถจัดสรร จัดการ และปรับแต่งทรัพยากร VMware Cloud ทั้งหมดได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ บนพอร์ทัล Cloud Console ลูกค้าจะสามารถแลกเครดิต กำหนดค่าการใช้บริการ VMware Cloud Universal ที่เกี่ยวข้อง และติดต่อฝ่ายบริการซัพพอร์ตของวีเอ็มแวร์

ริการใหม่ VMware App Navigator ช่วยให้องค์กรจัดลำดับความสำคัญของโครงการปรับปรุงแอปให้ทันสมัย App Navigator สร้างความคล่องตัวในการวิเคราะห์ผลของแอปพลิเคชัน บริการนี้ได้นำประโยชน์จาก automated tooling และการทำงานแบบ hands-on มาใช้เพื่อลดความเสี่ยงและเร่งความเร็วในการทำ app migration และ modernization นอกจากนี้ในระหว่างการใช้งานลูกค้ายังสามารถทำงานร่วมกับผู้ปฏิบัติงานของ VMware เพื่อสร้าง app portfolio ให้เป็นรูปเป็นร่าง, กำหนดกลยุทธ์ในการทำ modernization และทำงานบนสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันสำหรับแอปต่าง ๆ ตามเป้าหมายทางธุรกิจและไอทีและวาง roadmap เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามประสงค์ ทั้งหมดนี้จะช่วยให้ลูกค้าตอบโจทย์ความต้องการทางธุรกิจได้รวดเร็วขึ้น ไม่ว่าใครก็สามารถใช้บริการ App Navigator ได้ เพราะบริการนี้มาพร้อมเครื่องมือและเทคโนโลยีที่ช่วยในการแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง อันช่วยลดความความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้

แมท การ์แมน รองประธานฝ่ายขายและการตลาดของ AWS กล่าวว่า “AWS เป็นพาร์ทเนอร์ด้านบริการพับลิคคลาวด์ที่ดีเยี่ยมของวีเอ็มแวร์สำหรับเวิร์กโหลดที่ใช้ vSphere และ VMware Cloud on AWS เป็นบริการที่แนะนำจาก AWS สำหรับเวิร์กโหลดบน vSphere บริษัททั้งสองได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางทั่วโลกในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ลูกค้าพึงพอใจกับการปรับใช้สภาพแวดล้อมไฮบริดบนแพลตฟอร์มวีเอ็มแวร์ที่ใช้งานได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ครอบคลุมทั้งระบบดาต้าเซ็นเตอร์ภายในองค์กรและ VMware Cloud on AWS ด้วยการประกาศนี้ลูกค้าสามารถใช้ VMware Universal Credits เดียวกันกับการปรับใช้ VMware Cloud on AWS และระบบวีเอ็มแวร์ที่ติดตั้งในองค์กร”

อาร์เธอร์ ลูอิส ประธานฝ่ายบริหารจัดการโซลูชั่นและพอร์ตฟอลิโอของเดลล์ เทคโนโลยี โกลบอล อินฟราสตรัคเจอร์ โซลูชัน กรุ๊ป กล่าวว่า “ความมุ่งมั่นของเดลล์ เทคโนโลยีและวีเอ็มแวร์ภายใต้ความร่วมมือคือการขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานด้านไอที VMware Cloud on Dell EMC เป็นแพลตฟอร์มคลาวด์ที่มีการจัดการอย่างสมบูรณ์ ปลอดภัย และปรับขนาดได้ซึ่งช่วยสร้างโครงสร้างพื้นฐานภายในองค์กรสำหรับส่งมอบเป็นบริการ สำหรับลูกค้าที่ต้องการจัดการโครงสร้างพื้นฐานไพรเวทคลาวด์ โดยเราขอเสนอกลุ่มโซลูชันที่ผสานรวม VMware Cloud Foundation ขณะที่ VMware Cloud Universal ช่วยทำให้ตัวเลือกง่ายขึ้นและช่วยให้ลูกค้าสามารถลงทุนในโซลูชันไฮบริดคลาวด์และมัลติคลาวด์โดยยังคงความยืดหยุ่นในการปรับใช้ได้ด้วย”

การวางจำหน่าย
VMware Cloud Universal เปิดให้บริการแล้วในวันนี้สำหรับทุกประเทศและภูมิภาคที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ  บริการดังกล่าวคาดว่าจะพร้อมใช้งานในญี่ปุ่นในช่วงครึ่งหลังของปีงบประมาณ 2565  บริการ VMware Cloud Foundation Subscription สามารถใช้ได้ผ่านทาง VMware Cloud Universal เท่านั้น และการแปลง VMware Cloud Foundation Subscription เป็น VMware Cloud on AWS คาดว่าจะพร้อมใช้งานในช่วงไตรมาสแรกของปีงบประมาณ 2565 และ VMware Cloud on Dell EMC คาดว่าจะพร้อมใช้งานในครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2565 ขณะที่ VMware Cloud Console และ VMware App Navigator พร้อมให้บริการแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่:
อ่านบล็อกเปิดตัว VMware Cloud ของ Raghu Raghuram ซีโอโอ ฝ่ายผลิตภัณฑ์และบริการคลาวด์ของวีเอ็มแวร์

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ VMware Cloud Universal

Keep up with VMware Cloud online

ติดตาม VMware Cloud ที่ TwitterLinkedInFacebook, และ YouTube 

1-VMware FY22 Q1 Executive Pulse, January 2021, N=456
2-VMware FY22 H1 Benchmark: Cloud and Applications, March 2021, N=1184
3-Forrester Consulting Total Economic Impact™ Study Commissioned by VMware, “The Total Economic Impact of VMware Tanzu Application Service (formerly Pivotal Platform)”, December 2019
4-Forrester Consulting Total Economic Impact™ Study Commissioned by VMware, “The Total Economic Impact™ of VMware Cloud On AWS”, August 2019
5- IDC White Paper, sponsored by VMware, “The Business Value of Running Applications on VMware Cloud on AWS,” #US46919520, October 2020


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

คลาวด์ เอชเอ็ม (Cloud HM) ได้รับการรับรอง VMware Cloud Verified ประกาศความพร้อมสนับสนุนการใช้งานคลาวด์ทุกรูปแบบ รองรับการทำธุรกิจยุคหลัง New Normal

นายเบญจ เบญจรงคกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่าย Business Strategy & Transformation บริษัท ยูไนเต็ด อินฟอร์เมชั่น ไฮเวย์ จำกัด (ซ้าย) นายณพัชร อัมพุช กรรมการผู้จัดการ บริษัท คลาวด์ เอชเอ็ม จำกัด (กลาง) และนายเอกภาวิน สุขอนันต์ ผู้จัดการประจำวีเอ็มแวร์ ประเทศไทย (ขวา)

กรุงเทพฯ ประเทศไทย วันที่ 20 มกราคม 2564 – บริษัท คลาวด์ เอชเอ็ม จำกัด (Cloud HM) ผู้ให้บริการคลาวด์ชั้นนำสำหรับองค์กรในประเทศไทยประกาศเป็นผู้ให้บริการที่ผ่านการรับรอง VMware Cloud Verified

เครื่องหมายรับรอง Cloud Verified ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ มั่นใจได้ว่าผู้ให้บริการคลาวด์รายนั้นๆ จะสามารถนำเสนอบริการ SDDC as a Service พร้อมกับการันตีการมีโครงสร้างพื้นฐาน รองรับการทำงานบนแอปพลิเคชันระดับองค์กรทั้งแบบดั้งเดิมและแบบคอนเทนเนอร์ที่มีประสิทธิภาพและครบวงจรมากที่สุด โดยพาร์ทเนอร์ที่ได้รับ VMware Cloud Verified จะช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ลูกค้าของพวกเขาสามารถใช้งานโซลูชันดิจิทัลต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรองรับการทำงานร่วมกันทั้งแอปพลิเคชันระดับองค์กรแบบดั้งเดิมหรือแบบคอนเทนเนอร์ด้วยเทคโนโลยีคลาวด์ล่าสุดของ VMware

นายณพัชร อัมพุช กรรมการผู้จัดการ บริษัท คลาวด์ เอชเอ็ม จำกัด กล่าวว่า “การได้รับ VMware Cloud Verified ถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของ Cloud HM หนึ่งในผู้ให้บริการสองรายในประเทศไทยที่ได้รับการรับรอง สิ่งนี้ยืนยันความมุ่งมั่นของเราที่จะมอบบริการคลาวด์ประสิทธิภาพสูงและปลอดภัยแก่ลูกค้า สอดคล้องกับมาตรฐานบริการคลาวด์ของแพลตฟอร์มชั้นนำในอุตสาหกรรม ลูกค้าจึงมั่นใจได้ว่าแอปพลิเคชันที่พวกเขาใช้หรือให้บริการแก่ลูกค้าทำงานอยู่บนคลาวด์มีความเสถียรและปลอดภัยสูงซึ่งดูแลและจัดการโดยทีมผู้เชี่ยวชาญของ VMware”

โดยในปี พ.ศ. 2564 Cloud HM มีแผนจะเปิดตัวบริการเพิ่มเติมร่วมกับ VMware เพื่อรองรับการใช้งานปัญญาประดิษฐ์ (AI) และแมชชีนเลิร์นนิ่ง (ML) ที่กำลังเติบโตในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจสมัยใหม่ตามที่ Gartner คาดการณ์ไว้ในรายงานแนวโน้มเทคโนโลยี บริการใหม่ที่ Cloud HM จะเปิดตัว ได้แก่ K8S as a Service และ VMware Marketplace on vCloud Director แพลตฟอร์มเหล่านี้เป็นบริการที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับใช้แอปพลิเคชันของตนเองบนเครื่องคอมพิวเตอร์เสมือน (virtual machine) ได้อย่างรวดเร็ว ทำให้สามารถสร้างแอปพลิเคชันที่มีประสิทธิภาพและเสถียรภาพสูงด้วยขั้นตอนที่สะดวกยิ่งขึ้น

นายเอกภาวิน สุขอนันต์ ผู้จัดการประจำวีเอ็มแวร์ ประเทศไทย กล่าวว่า “พาร์ทเนอร์ VMware Cloud Verified จะช่วยยกระดับองค์กรธุรกิจในประเทศไทยด้วยการนำเสนอเทคโนโลยีคลาวด์ที่มีประสิทธิภาพสูงของวีเอ็มแวร์ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด พร้อมทั้งมั่นใจได้ว่าพวกเขาจะได้รับประสบการณ์ใช้งานคลาวด์ที่คล่องตัวและมีระบบคลาวด์คอมพิวติ้งที่เชื่อถือได้ซึ่งผ่านการรับรอง Cloud Verified จากวีเอ็มแวร์ เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้สนับสนุน Cloud HM ให้ช่วยองค์กรต่าง ๆ ได้รับประสบการณ์ใช้งานคลาวด์ที่ง่ายและมีความยืดหยุ่น”

ในขณะที่องค์กรต่าง ๆ ของไทยเร่งการสร้างดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันให้เกิดขึ้น รวมทั้งเริ่มคิดค้นบริการและรูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ ให้สอดรับกับสภาวะเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยดิจิทัลและคลาวด์คือหนึ่งโซลูชันที่สนับสนุนรูปแบบธุรกิจดังกล่าว โดย Cloud HM คือตัวอย่างผู้ให้บริการที่นำเสนอบริการโมเดิร์นแอปพลิเคชันเพื่อรองรับความต้องการของตลาด

ขณะนี้วีเอ็มแวร์มีเครือข่ายผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์มากกว่า 4,300 รายที่พร้อมให้บริการองค์กรธุรกิจมากกว่า 120 ประเทศทั่วโลก นอกจากนี้ยังให้บริการผ่านความเชี่ยวชาญที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้บริการและอุตสาหกรรมในแต่ละประเทศ และช่วยให้ลูกค้าสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดที่มีความซับซ้อนได้สะดวกยิ่งขึ้น

ศึกษาเงื่อนไขผ่านการรับรองการเป็นพาร์ทเนอร์ Cloud Verified ได้ที่: https://www.vmware.com/partners/service-provider/vmware-cloud-verified-logo.html

 

เกี่ยวกับวีเอ็มแวร์

วีเอ็มแวร์เป็นผู้นำระดับโลกด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่มีความซับซ้อน บริการคลาวด์, เน็ตเวิร์กกิ้ง, ระบบซีเคียวริตี้และดิจิทัลเวิร์คเพลสของวีเอ็มแวร์พร้อมมอบรากฐานดิจิทัลแบบไดนามิกและมีประสิทธิภาพให้กับลูกค้าทั่วโลก ภายใต้ความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์มากมาย โดยสำนักงานใหญ่วีเอ็มแวร์ตั้งอยู่ที่เมืองพาโล อัลโต รัฐแคลิฟอร์เนีย วีเอ็มแวร์ยังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นพลังสนับสนุนที่ดี จากแนวโน้มและผลกระทบการจัดการนวัตกรรมเชิงพื้นที่ในระดับโลก สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่ https://www.vmware.com/company

VMware, VMware Cloud, VMware Cloud Verified และ VMware Cloud Provider เป็นเครื่องหมายทางการค้าของวีเอ็มแวร์ อิงค์ ประเทศสหรัฐฯ และในประเทศอื่น ๆ ที่เปิดให้บริการ

เกี่ยวกับ บริษัท คลาวด์ เอชเอ็ม จำกัด (Cloud HM)

Cloud HM เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้าน Multi-Cloud Services ที่ให้บริการ Cloud ภายในประเทศไทย โดยมี Infrastructure เป็นของตัวเอง บน Data Center มาตรฐาน Tier 4 รวมถึงสามารถออกแบบ และจัดทำ Solution ของ AWS และ Azure ที่เป็น Global Cloud ได้ นอกจากนี้ยังมีการให้บริการด้านอื่น เช่น สำรองข้อมูล สำรองระบบ และบริการเสริมอื่น ๆ บนระบบ Infrastructure ที่มีประสิทธิภาพและเสถียรสภาพสูง ภายใต้ Concept “Your Cloud Expert”


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

วีเอ็มแวร์คาดการณ์ 5 เทรนด์เทคโนโลยีที่องค์กรต้องรู้เพื่อรับมือปีแห่งสถานการณ์ที่ยากจะคาดเดา

บทความโดย นายเอกภาวิน สุขอนันต์ ผู้จัดการวีเอ็มแวร์ประจำประเทศไทย

แน่นอนว่าทุก ๆ ปี แต่ละองค์กรจะต้องมีแผนการทำธุรกิจ ซึ่งในปี 2563 ที่ผ่านมา แต่แผนที่วางไว้กลับไม่สามารถนำมาใช้ได้ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะเดียวกันองค์กรต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ประกาศใช้แผนรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างรวดเร็วและพักแผนงานใหม่ ๆ ไว้ก่อน ซึ่งบางคนอาจคิดว่าปีที่ผ่านมาไม่ได้เป็นปีที่จะเห็นได้เทคโนโลยีเกิดใหม่ด้วยซ้ำ แต่แท้จริงแล้วเรากลับได้เห็นองค์กรต่าง ๆ รับมือความท้าทายที่เกิดขึ้นด้วยการปรับใช้โซลูชันหลากหลาย

ข้อมูลต่อไปนี้ ส่วนหนึ่งได้มาจากการสังเกตการณ์ในปี 2563 และการคาดการณ์ทิศทางของเทคโนโลยีระดับองค์กร 5 เทรนด์ในปี 2564

1. เทคโนโลยี Edge กลายเป็นหน้าด่านสำหรับนวัตกรรมใหม่

สิ่งอัศจรรย์ที่กำลังเกิดขึ้นจากเทคโนโลยี Edge ซึ่งได้ปรากฏให้เราเห็นอย่างชัดเจนในปี 2563 ที่ผ่านมา ตัวอย่างหนึ่งคือการที่ United Overseas Bank (UOB) ซึ่งเป็นธนาคารชั้นนำในเอเชียก้าวขึ้นเป็นหนึ่งในองค์กรที่เร็วที่สุดในอาเซียน สามารถติดตั้งเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยให้กับเวอร์ชวลเดสก์ท็อป (secure virtual desktop) สำหรับทีมนักพัฒนาไอที 3,000 คน โดยดำเนินการเสร็จในเวลาเพียง 21 วัน จากปกติที่ต้องใช้เวลาถึงสามเดือน

หลายองค์กรในภูมิภาคนี้กำลังลงทุนในเทคโนโลยี Edge ที่มีอยู่แล้ว เพื่อรับมือและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และในปีหน้าเราจะยังคงเห็นการลงทุนที่ให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี Edge อย่างต่อเนื่อง

ความน่าเชื่อถือและประสิทธิภาพของเครือข่ายส่งผลโดยตรงต่อประสบการณ์ของพนักงานและลูกค้า ด้วยเหตุนี้จึงนำไปสู่การเปิดตัว SD-WAN ที่ขยายขอบเขตในเทคโนโลยี Edge ให้กว้างขึ้นไปถึงระดับโฮมออฟฟิศ ด้วย SaaS-delivered solutions (รวมถึงฮาร์ดแวร์) อย่างง่าย จะช่วยปรับปรุงความปลอดภัยและประสบการณ์ของผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้นในทุกที่ที่พนักงานเลือกทำงาน และนี่จะเป็นจุดเริ่มต้นเทรนด์ด้วยโซลูชั่นเหล่านี้เป็นบรรทัดฐาน

นอกจากนี้ ผมคาดหวังว่าองค์กรต่าง ๆ จะนำโซลูชัน Secure Access Service Edge (SASE) มาใช้มากขึ้น เนื่องจากในอนาคตเราจะพึ่งพาแอปพลิเคชันและบริการผ่านโครงสร้างพื้นฐานอันเนื่องมาจากการทำงานของซอฟต์แวร์ การ deployed และการจัดการเพื่ออัปเดตซอฟต์แวร์ เพื่อพัฒนากระบวนการจัดซื้อแบบเดิม องค์กรต่าง ๆ จะสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพและความปลอดภัยได้มากยิ่งขึ้นอีกด้วย

เทคโนโลยี Edge กำลังถูกเพิ่มความชาญฉลาดให้มากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความสามารถในการเรียนรู้ ตอบสนองและสามารถปรับใช้ให้เหมาะสมได้อย่างเรียลไทม์ นอกจากนี้เรายังเห็นโอกาสใหม่ ๆ ในการรวมโครงสร้างพื้นฐานเข้าด้วยกัน, ลดจำนวน appliances เฉพาะที่ต้องใช้เพื่อตอบสนองความต้องการด้านเทคโนโลยี ซึ่งถือเป็นการพัฒนาที่น่าตื่นเต้นเนื่องจากเป็นการเปิดประตูสู่โซลูชันอันคุ้มค่าที่นับว่าเป็นการปรับปรุงให้ดีขึ้นไปโดยอัตโนมัติ, ทั้งด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพในขณะเดียวกันก็ลดต้นทุนไปในคราวเดียวกัน

2. การกระจายอำนาจของ Machine Learning

เราเริ่มเห็นการนำ Federated Machine Learning (FML) มาใช้งานในกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ในทุกอุตสาหกรรม องค์กรต่าง ๆ กำลังคิดค้นกระบวนการที่จะทำให้องค์กรสามารถนำข้อมูลมาขับเคลื่อนการตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้นไปพร้อมกับการใช้ประโยชน์จากการตามรอยต้นแบบเทคโนโลยีที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลาย

ด้วยความสามารถในการประมวลผลได้ทุกที่ การเรียนรู้แบบรวมศูนย์ (Federated Learning) ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สามารถสอนโมเดล ML โดยใช้ชุดข้อมูลที่พวกเขามี โปรเจกโอเพนซอร์ส เช่น FATE และ Kubeflow กำลังได้รับความสนใจ ผมคาดว่าการเกิดขึ้นของแอปพลิเคชันที่ใช้งานง่ายบนแพลตฟอร์มเหล่านี้จะช่วยเร่งให้เกิดการนำไปใช้

จากการนำ ML มาใช้อย่างต่อเนื่องในภูมิภาคนี้ เป็นตัวเร่งให้เกิดการขับเคลื่อนโซลูชันแบบครบวงจรที่ต้องการสร้างขึ้นเพื่อตอบโจทย์ “ผู้ใช้งานทุกคน” องค์กรเหล่านี้จะได้รับประโยชน์จากการใช้ ML โดยไม่ต้องลงทุนสูงสร้างทีมวิทยาการข้อมูล (data science teams) – อันเป็นเรื่องยากที่ท้าทายขององค์กร เนื่องจากปัจจุบันยังขาดแคลนในส่วนของนักวิทยาการข้อมูล

3. แรงหนุนต่ออายุโครงการ Workplace 2.0

จากการแพร่ระบาดของโควิดทำให้เกิดแรงผลักดันมากมายเกี่ยวกับ Workplace 2.0 ขึ้นอีกครั้ง

AR และ VR กำลังได้รับความสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำมาใช้ฝีกอบรมพนักงาน การนำ AR มาใช้ในการนำทาง (เช่น นำมาใช้ค้นหาที่ตั้งสาขาในองค์กร) และในการประชุมออนไลน์ ถึงแม้จะยังต้องการการผลักดันให้เกิดการยอมรับและมีการนำหลักการนี้ไปประยุกต้ใช้มากขึ้น ในปี 2564 เราจะเห็นได้ว่ามีการนำ AR และ VR มาใช้มากขึ้นอันเนื่องมาจากความก้าวหน้าในเทคโนโลยีระดับองค์กรที่มุ่งเน้นในเรื่องของความปลอดภัย, ประสบการณ์ของผู้ใช้งาน และโซลูชันต่าง ๆ เพื่อการบริหารจัดการอุปกรณ์

ช่องว่างที่ใหญ่ที่สุดสำหรับ VR ในความคิดของผมคือ ไม่มี Microsoft PowerPoint ที่รองรับการใช้งาน VR กล่าวอีกนัยหนึ่งในอนาคต หากผมสามารถทำคอนเทนท์ 3 มิติได้อย่างรวดเร็วที่สามารถใช้ใน VR ได้ วันนี้ยังไม่มีเครื่องมือที่ช่วยในการสร้างคอนเทนท์ 3 มิติที่สมบูรณ์ได้ทุกมิติอย่างรวดเร็วที่ใช้ประโยชน์จากภาพพาโนรามา 360 องศา ผ่าน VR ผมหวังว่านี่จะเป็นจุดที่นักพัฒนาเทคโนโลยี AR และ VR จะมุ่งเน้นต่อไปในอนาคต

4. วิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องของความปลอดภัยที่แท้จริงและการปกป้องข้อมูล

ตามรายงานเกี่ยวกับภัยคุกคามทั่วโลกของวีเอ็มแวร์ คาร์บอนแบล็ค (VMware Carbon Black’s Global Threat Report) ฉบับประจำปี 2563 เผยให้เห็นว่า ความถี่ในการโจมตีทางไซเบอร์สูงมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดย 76% ของผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยของ APJ ต้องเผชิญกับปริมาณการโจมตีที่เพิ่มขึ้น

ในปี 2564 การให้ความสำคัญในการลงทุนด้านเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยเป็นอันดับแรก ๆ จะกลับมาอีกครั้ง เหตุจากทั้งแรนซัมแวร์และการรักษาความปลอดภัยในระดับ edge เข้ามาอยู่ในความสนใจมากขึ้น จากการประสบการณ์ที่ผ่านมาที่การโจมตีของแรนซัมแวร์ไม่ได้จำกัดเป้าหมายอยู่แค่ฐานข้อมูลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการสำรองข้อมูลและระบบแบ็กอัพอีกด้วย แม้กระทั่งระบบการกู้คืนก็ยังถูกโจมตีอีกด้วย

เราจำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีปกป้องระบบและข้อมูล และกลับมาทบทวนตั้งแต่ต้นว่าการสำรองและกู้คืนระบบมีขอบเขตครอบคลุมถึงอะไรบ้าง โซลูชันเดิม ๆ ที่มีการนำเสนอการป้องกันแบบ static และการกู้คืนจะกลับมาอาจเผชิญกับความชะงักงันอีกครั้งเหมือนในปีที่ผ่านมาก

เมื่อพิจารณาถึงเทคโนโลยี Edge ประกอบกับจำนวนเทคโนโลยีที่ต้องตัดสินใจมีเพิ่มมากขึ้นตามสายงานธุรกิจ – บางครั้งอยู่ในระดับท้องถิ่นและยังไม่มีระบบไอทีเป็นศูนย์กลาง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ได้สร้างความท้าทายมานานแล้ว เพราะมีการนำสมาร์ทดีไวซ์และอุปกรณ์ต่อเชื่อมมาใช้งานกับ edge อย่างรวดเร็วจนกระบวนการทางไอทีแบบตั้งเดิมไม่สามารถตามได้ทัน ในขณะที่เราพยายามปรับใช้โซลูชันให้สอดคล้องกัน แต่เราก็จำเป็นต้องยอมรับความเป็นจริงที่ว่าความต้องการและความคล่องตัวของธุรกิจอาจขัดแย้งกันได้

ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องพิจารณาเทคโนโลยีที่เปิดกว้างที่สามารถเชื่อมต่อกับ Edge เทคโนโลยี และมีการบังคับใช้นโยบายความปลอดภัยที่สามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับระบบที่มีได้ แทนที่จะโต้เถียงเพื่อสิทธิ์การควบคุม หัวหน้าระบบรักษาความปลอดภัยควรจะยอมกับถึงระดับของความสับสนวุ่นวายที่มี และหันมาคิดริเริ่มสิ่งใหม่ ๆ โดยมีการรับมือกับความวุ่นวายที่อาจะเกิดขึ้นแทนที่จะเข้าควบคุมแบบเบ็ดเสร็จ

5. ประยุกต์เทคโนโลยีใหม่ เพื่อจัดการความท้าทายเดิมๆ

ในปี 2564 นี้ สิ่งที่เราเคยมองว่าเป็นเรื่องเก่าจะกลายเป็นเรื่องใหม่อีกครั้ง ลองพิจารณาในอีกมุมจะเห็นว่าเทคโนโลยีใหม่ ๆ สามารถมาช่วยแก้ปัญหาเก่า ได้อย่างไรบ้าง

ตัวอย่างเช่น, ในการประมวลผลแบบยั่งยืนมีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพในดาต้าเซ็นเตอร์แบบดั้งเดิม โดยปัจจุบันนี้ VMware มีโครงการ xLabs เพื่อช่วยลูกค้าเพิ่มประสิทธิภาพระบบควบคุมลมเย็นและลมร้อนของห้องดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งก่อนหน้านี้มีผลการศึกษาที่เผยให้เห็นถึงการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพโดยผ่านแพลตฟอร์มการบริหารระบบการจัดการความร้อนของดาต้าเซ็นเตอร์

โดยในไม่ช้านี้ ML อาจเข้ามาช่วยปรับปรุงความสามารถในการเข้าถึง และในทางกลับกันจะช่วยลดต้นทุนในการพัฒนาซอฟต์แวร์อีกด้วย

ในปี 2563 ที่ผ่านมาเป็นปีแห่งความก้าวหน้าที่มุ่งมั่น ความท้าทายที่คาดไม่ถึงสอนให้เราวางแผนและออกแบบเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลง และเราต้องมีความยืดหยุ่นในการปรับตัวให้เข้ากับวิธีการใช้ชีวิตและการทำงานใหม่ ๆ มากยิ่งขึ้น

ในปี 2564 นี้ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะนำพาสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาไม่ว่าชีวิตในรูปแบบใหม่จะเป็นเช่นไร และผมรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เห็นว่าความก้าวหน้าของเทคโนโลยีจะนำพาวิถีแบบใหม่มาให้เราในรูปแบบใด


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

วีเอ็มแวร์นำเสนอระบบ Intrinsic Security ความปลอดภัยที่รวมอยู่ภายในสำหรับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เพื่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

วีเอ็มแวร์ ผู้นำด้านการสร้างสรรค์นวัตกรรมสำหรับซอฟต์แวร์ระดับองค์กร เปิดเผยถึงการพัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยที่แท้จริงที่รวมอยู่ภายใน (Intrinsic Security) ซึ่งจะช่วยให้องค์กรต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถปกป้องธุรกิจให้ปลอดภัยในโลกวิถีใหม่ โดยครอบคลุมบุคลากรที่ทำงานจากที่บ้านและนอกสถานที่ รวมไปถึงระบบคลาวด์ภายในองค์กรและระบบคลาวด์สาธารณะ โซลูชั่นซีเคียวริตี้ดังกล่าวจะยกระดับการรักษาความปลอดภัยสำหรับระบบคลาวด์สาธารณะและระบบคลาวด์ภายในองค์กร รวมถึงส่วนปฏิบัติงานด้านการรักษาความปลอดภัย และบุคลากรที่กระจัดกระจายอยู่ตามที่ต่าง ๆ ช่วยให้ผู้บริหารฝ่ายรักษาความปลอดภัยสารสนเทศ (Chief Information Security Officer – CISO) สามารถจัดการและคุ้มครองดูแลการเข้าถึงแอพต่าง ๆ บนระบบคลาวด์ซึ่งส่งผ่านไปยังอุปกรณ์ทุกประเภทได้อย่างชาญฉลาด ควบคู่ไปกับการสร้างธุรกิจที่ยืดหยุ่น พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนในอนาคต

รายงานเกี่ยวกับภัยคุกคามทั่วโลกของวีเอ็มแวร์ คาร์บอนแบล็ค (VMware Carbon Black’s Global Threat Report1) ชี้ว่า สถานการณ์ภัยคุกคามทางไซเบอร์ทั่วโลกมีความเคลื่อนไหวมากขึ้นสืบเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดย 91% ของบุคลากรฝ่ายรักษาความปลอดภัยทั่วโลกที่ตอบแบบสอบถามระบุว่าตนเองได้พบเห็นแนวโน้มการโจมตีทางไซเบอร์โดยรวมที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเป็นผลมาจากการที่พนักงานทำงานจากที่บ้านกันมากขึ้น นอกจากนี้ ผู้ตอบแบบสอบถามทั่วโลก 32% พบว่ามีปัญหาช่องว่างที่สำคัญอย่างมากสำหรับความสามารถขององค์กรในการตรวจสอบภัยคุกคามด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ขณะที่กว่าหนึ่งในสี่ (28%) ของผู้ตอบแบบสอบถามรู้สึกว่ามีปัญหาช่องว่างที่สำคัญหรือร้ายแรงในแง่ของการรองรับการทำงานจากที่บ้าน ในสภาพแวดล้อมธุรกิจแบบใหม่ที่มีการกระจัดกระจายสูงมากเช่นนี้ องค์กรธุรกิจจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนแนวทางเรื่องการรักษาความปลอดภัย เพื่อปกป้ององค์กรจากการโจมตีทางไซเบอร์ที่มีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีการใช้เทคนิคและวิธีการที่หลากหลายกว่าที่เคยมีมา เพื่อขู่กรรโชกองค์กร ทำให้การดำเนินงานหยุดชะงัก และแทรกซึมเข้าสู่องค์กร

ซันเจย์ เค. เดชมุคห์ รองประธานและกรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี วีเอ็มแวร์ กล่าวว่า “องค์กรธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พึ่งพานวัตกรรมดิจิทัลอย่างมาก เพื่อตอบสนอง ปรับตัว และเพิ่มความรวดเร็วฉับไวในการดำเนินธุรกิจ ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ และจำเป็นที่จะต้องเพิ่มความยืดหยุ่นและความปลอดภัยให้แก่องค์กร เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจให้ประสบความสำเร็จในระยะยาว วีเอ็มแวร์มุ่งมั่นที่จะช่วยให้องค์กรธุรกิจในภูมิภาคนี้ปรับใช้แนวทางของเราในเรื่องการรักษาความปลอดภัยที่แท้จริง ซึ่งจะช่วยให้องค์กรปรับเปลี่ยนการดำเนินงานได้อย่างราบรื่นและปลอดภัย ควบคู่ไปกับการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนในสภาพแวดล้อมธุรกิจที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง”

ที่งาน VMworld 2020 วีเอ็มแวร์นำเสนอโซลูชั่นและบริการที่หลากหลายเพื่อช่วยให้องค์กรต่าง ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถอยู่รอดและเติบโตอย่างมั่นคงในอนาคตในตลาดที่มีความวุ่นวายมากที่สุด วีเอ็มแวร์นำเสนอแพลตฟอร์มคลาวด์ ดิจิทัลเวิร์กสเปซ เน็ตเวิร์ก ซีเคียวริตี้ และการปรับปรุงแอพให้ทันสมัย ซึ่งเป็นรากฐานดิจิทัลที่ยืดหยุ่นและสอดคล้องกันสำหรับการสร้าง ใช้งาน จัดการ เชื่อมต่อ และปกป้องแอปพลิเคชันต่าง ๆ ในทุก ๆ ที่

การรักษาความปลอดภัยสำหรับระบบคลาวด์ภายในองค์กรและระบบคลาวด์สาธารณะ
องค์กรต่างๆ มุ่งพัฒนาไปสู่แพลตฟอร์มคลาวด์และการปรับปรุงแอปพลิเคชันให้ทันสมัย และต้องการโซลูชั่นการรักษาความปลอดภัยที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพและใช้งานง่าย ด้วยเหตุนี้ วีเอ็มแวร์จึงได้เปิดตัว VMware Carbon Black Cloud WorkloadTM ซึ่งให้การปกป้องที่เหนือกว่า ออกแบบเป็นพิเศษสำหรับการคุ้มครองเวิร์กโหลดที่ทันสมัย เพื่อลดช่องทางการโจมตี และเสริมสร้างสถานะความปลอดภัยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น นวัตกรรมโซลูชั่นดังกล่าวประกอบด้วยฟีเจอร์การรายงานความเสี่ยงตามลำดับความสำคัญและการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเวิร์กโหลดพื้นฐาน รวมไปถึงเทคโนโลยีชั้นนำด้านการป้องกัน ตรวจจับ และตอบสนองต่อภัยคุกคาม เพื่อปกป้องเวิร์กโหลดที่รันอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบเวอร์ช่วลไลซ์ ระบบคลาวด์ภายในองค์กร และระบบคลาวด์แบบไฮบริด

โซลูชั่นดังกล่าวผสานรวมความเชี่ยวชาญด้านการรักษาความปลอดภัยของคาร์บอนแบล็ค เข้ากับความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับดาต้าเซ็นเตอร์ของวีเอ็มแวร์ เพื่อสร้างระบบรักษาความปลอดภัยสำหรับเวิร์กโหลดที่ โซลูชั่น VMware Carbon Black Cloud Workload บูรณาการเข้ากับ vSphere อย่างกลมกลืน โดยทำหน้าที่เป็นระบบรักษาความปลอดภัยแบบไม่ใช้เอเจนต์ (Agentless) ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการติดตั้งและจัดการระบบ และประกอบด้วย Telemetry ต่าง ๆ สำหรับการคุ้มครองเวิร์กโหลดในกรณีการใช้งานที่หลากหลาย โซลูชั่นแบบครบวงจรนี้จะช่วยให้ทีมงานฝ่ายรักษาความปลอดภัยและฝ่ายโครงสร้างพื้นฐานสามารถปกป้องเวิร์กโหลดใหม่ๆ และเวิร์กโหลดที่มีอยู่ได้โดยอัตโนมัติในทุก ๆ จุด ตลอดทุกขั้นตอนของการรักษาความปลอดภัย ทั้งยังเพิ่มความสะดวกในการควบคุมดูแลและผนวกรวมสแต็คด้านไอทีและซีเคียวริตี้เข้าไว้ด้วยกัน สำหรับทีมงานฝ่ายรักษาความ

ปลอดภัย โซลูชั่น VMware Carbon Black Cloud Workload จะให้คุณประโยชน์ดังต่อไปนี้:

การตรวจสอบอย่างทั่วถึงเพื่อระบุความเสี่ยงและเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับเวิร์กโหลด: Carbon Black Cloud Workload ช่วยให้ทีมงานฝ่ายรักษาความปลอดภัยและฝ่ายโครงสร้างพื้นฐานสามารถทุ่มเทความสนใจไปยังจุดอ่อนที่มีความเสี่ยงสูงที่สุด รวมถึงช่องโหว่ที่พบเห็นได้ทั่วไปในสภาพแวดล้อม เพราะโซลูชั่นนี้ไม่ได้มุ่งเน้นการค้นหาจุดอ่อนให้ได้จำนวนมากที่สุด แต่เป็นการค้นหาจุดอ่อนที่มีโอกาสถูกโจมตีมากที่สุด

การป้องกัน ตรวจจับ และตอบสนองต่อการโจมตีขั้นสูง: ทีมงานฝ่ายรักษาความปลอดภัยมักจะขาดความสามารถในการตรวจสอบและควบคุมภายในสภาพแวดล้อมดาต้าเซ็นเตอร์แบบเวอร์ช่วลไลซ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา โซลูชั่น Carbon Black Cloud Workload จะช่วยปกป้องเวิร์กโหลดที่รันอยู่ในสภาพแวดล้อมดังกล่าว ด้วยการประเมินจุดอ่อนและการเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเวิร์กโหลด บวกกับเทคโนโลยีการป้องกันไวรัสแห่งอนาคต (Next-Generation Antivirus – NGAV) การตรวจสอบพฤติกรรมของเวิร์กโหลด และการตรวจจับและตอบสนองต่ออุปกรณ์ปลายทาง (Endpoint Detection and Response – EDR) สำหรับเวิร์กโหลดต่างๆ

การดำเนินงานที่ง่ายขึ้นสำหรับทีมงานฝ่ายไอทีและฝ่ายรักษาความปลอดภัย: แนวทางแบบ Intrinsic ของวีเอ็มแวร์เป็นการสร้างระบบรักษาความปลอดภัยที่รวมอยู่ภายในระบบเวอร์ช่วล เพื่อปกป้องเวิร์กโหลดในทุก ๆ ที่ และทำให้ทีมงานไม่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างความปลอดภัยกับความสะดวกในการดำเนินงาน

Carbon Black Cloud Workload จะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมในภายหลังในช่วงปีนี้ รวมถึงโมดูล Carbon Black Cloud สำหรับการเสริมสร้างความแข็งแกร่งและคุ้มครองเวิร์กโหลด Kubernetes ความสามารถใหม่ๆ เหล่านี้จะช่วยให้ทีมงานฝ่ายรักษาความปลอดภัยสามารถกำกับดูแลและควบคุมสภาพแวดล้อม Kubernetes ได้อย่างเหมาะสม

อนาคตของการดำเนินงานด้านความปลอดภัย
การตรวจจับและตอบสนองต่อกรณีปัญหาด้านความปลอดภัยมีความสำคัญและความท้าทายเพิ่มมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน องค์กรต่าง ๆ จึงต้องการ “มุมมอง” ที่หลากหลายมากขึ้นสำหรับการตรวจสอบอุปกรณ์ปลายทาง เวิร์กโหลด ผู้ใช้ และแอปพลิเคชันต่าง ๆ และต้องการแนวทางที่รอบด้านมากกว่าเดิมสำหรับการตอบสนองต่อภัยคุกคาม เนื่องจากเวิร์กโหลดและแอปพลิเคชันต่าง ๆ มีการเชื่อมต่อถึงกันเพิ่มมากขึ้น

Extended Detection and Response (XDR) จะช่วยแก้ไขปัญหานี้ ด้วยการจัดหาแนวทางแบบครบวงจรสำหรับการตรวจจับและตอบสนองต่อกรณีปัญหาด้านความปลอดภัย ซึ่งอาจเกิดขึ้นในหลายๆ ส่วน ตั้งแต่อุปกรณ์ปลายทาง เวิร์กโหลด ไปจนถึงผู้ใช้และเครือข่าย

การรักษาความปลอดภัยสำหรับบุคลากรที่ทำงานนอกสถานที่
บุคลากรที่ทำงานจากที่บ้านหรือนอกสถานที่ก่อให้เกิดปัญหาท้าทายในหลายๆ เรื่อง เช่น การเพิ่มพนักงานเข้าสู่ระบบ การตรวจสอบและกำกับดูแล การรักษาความปลอดภัย การคุ้มครองพนักงาน และอื่น ๆ เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาท้าทายเหล่านี้และรองรับการทำงานรูปแบบใหม่ในอนาคต องค์กรจำเป็นที่จะต้องพลิกโฉมแนวทางการรักษาความปลอดภัย การให้บริการ และความซับซ้อนในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมไอที และเพื่อตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าว วีเอ็มแวร์จึงได้เปิดตัวส่วนขยายเพิ่มเติมสำหรับ VMware SASE Platform, Workspace Security VDI และ Workspace Security Remote

โซลูชั่นใหม่นี้จะรองรับการควบคุมระบบรักษาความปลอดภัยอย่างครบวงจรตามแนวทาง Zero Trust ทั้งยังเพิ่มความสะดวกในการบริหารจัดการ โดยอาศัยเทคโนโลยีชั้นนำอย่างเช่น Secure Access Service Edge, Digital Workspace และ Endpoint Security ซึ่งทำงานอย่างสอดประสานกันบนแอปพลิเคชั่น ระบบคลาวด์ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ทั้งหมด

บูรณาการระบบแบบคลิกเดียว (One-Click) ร่วมกับ Zscaler
พร้อมกันนี้ วีเอ็มแวร์และ Zscaler ได้เปิดตัวส่วนบูรณาการระบบใหม่ ซึ่งจะรองรับการตรวจสอบและปกป้องบุคลากรที่ทำงานนอกสถานที่ได้อย่างทั่วถึงและครบวงจร ส่วนบูรณาการระบบแบบ One-Click นี้จะช่วยให้ลูกค้าของทั้งสองบริษัทสามารถหยุดยั้งภัยคุกคามใหม่ๆ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่ออุปกรณ์ปลายทาง และรองรับการเข้าใช้งานแอปพลิเคชันภายในองค์กรแบบมีเงื่อนไขตามแนวทาง Zero Trust อย่างแท้จริง

เกี่ยวกับวีเอ็มแวร์
วีเอ็มแวร์เป็นผู้นำระดับโลกด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อช่วยเสริมสร้างประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่มีความซับซ้อน บริการคลาวด์, เน็ตเวิร์กกิ้ง, ระบบซีเคียวริตี้และดิจิทัลเวิร์คเพลสของวีเอ็มแวร์พร้อมมอบรากฐานดิจิทัลแบบไดนามิกและมีประสิทธิภาพให้กับลูกค้าทั่วโลก ภายใต้ความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์มากมาย โดยสำนักงานใหญ่วีเอ็มแวร์ตั้งอยู่ที่เมืองพาโล อัลโต รัฐแคลิฟอร์เนีย วีเอ็มแวร์ยังคงมุ่งมั่นที่จะเป็นพลังสนับสนุนที่ดี จากแนวโน้มและผลกระทบการจัดการนวัตกรรมเชิงพื้นที่ในระดับโลก สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเข้าไปดูได้ที่ https://www.vmware.com/company.html


 

Exit mobile version