Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ซีเมนส์จับมือเอ็นวิเดีย ขับเคลื่อนเมตาเวิร์สภาคอุตสาหกรรม

โรแลนด์ บุช ซีอีโอของซีเมนส์ และเจนเซ่น หวง ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของเอ็นวิเดีย ที่งานเปิดตัว Siemens Xcelerator เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2565 ที่เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี

7 กรกฎาคม 2565 – ซีเมนส์ (Siemens) ผู้นำระบบอัตโนมัติและซอฟต์แวร์สำหรับอุตสาหกรรม โครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยีอาคาร และการคมนาคมขนส่ง และเอ็นวิเดีย (NVIDIA) ผู้บุกเบิกเทคโนโลยีกราฟิกเร่งความเร็วและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ประกาศขยายความร่วมมือเพื่อรองรับเมตาเวิร์สภาคอุตสาหกรรม และเพิ่มการใช้งานเทคโนโลยี Digital Twin ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งจะช่วยยกระดับระบบอัตโนมัติภาคอุตสาหกรรมไปสู่มาตรฐานใหม่

สำหรับก้าวแรกของความร่วมมือในครั้งนี้ บริษัททั้งสองมีแผนที่จะเชื่อมต่อ Siemens Xcelerator ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มธุรกิจดิจิทัลแบบเปิด เข้ากับ NVIDIA Omniverse™ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสำหรับการออกแบบ 3D และการทำงานร่วมกัน  โดยการเชื่อมต่อดังกล่าวจะช่วยรองรับเมตาเวิร์สในภาคอุตสาหกรรมที่ประกอบด้วยแบบจำลองดิจิทัลที่อ้างอิงหลักการทางฟิสิกส์จากซีเมนส์ และระบบ AI แบบเรียลไทม์จากเอ็นวิเดีย ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้บริษัทต่าง ๆ สามารถดำเนินการตัดสินใจในเรื่องธุรกิจได้อย่างรวดเร็วและมีความมั่นใจมากขึ้น

การเพิ่ม Omniverse ไว้ในระบบนิเวศพันธมิตรแบบเปิดของ Siemens Xcelerator จะช่วยกระตุ้นการใช้งาน Digital Twin ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิผลการทำงานและปรับปรุงกระบวนการผลิต รวมถึงการจัดการผลิตภัณฑ์ได้อย่างครบวงจร องค์กรธุรกิจทุกขนาดจะสามารถใช้ Digital Twin ร่วมกับข้อมูลการทำงานแบบเรียลไทม์ สร้างนวัตกรรมโซลูชั่น IoT ภาคอุตสาหกรรม ใช้ข้อมูลเชิงลึกที่ได้รับจากระบบวิเคราะห์ข้อมูลที่เครือข่ายเอดจ์หรือคลาวด์ และตอบโจทย์ความท้าทายด้านวิศวกรรมในอนาคต โดยทำให้การเข้าถึงแบบจำลองเสมือนจริงที่มีรายละเอียดสูงเป็นไปได้ง่ายขึ้น

โรแลนด์ บุช ซีอีโอของซีเมนส์ กล่าวว่า “แบบจำลอง Digital Twin ที่อ้างอิงหลักฟิสิกส์และมีความเสมือนจริงในเมตาเวิร์สภาคอุตสาหกรรม จะช่วยเพิ่มศักยภาพมหาศาลในการพลิกโฉมอุตสาหกรรมและระบบเศรษฐกิจ ด้วยการสร้างโลกเสมือนที่ผู้คนสามารถโต้ตอบและทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในโลกจริง  ภายใต้ความร่วมมือนี้ เราจะสร้างเมตาเวิร์สภาคอุตสาหกรรมสำหรับบริษัททุกขนาด  ตลอดช่วงเวลากว่าหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา เทคโนโลยี Digital Twin ของเราช่วยให้ลูกค้าในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมเพิ่มประสิทธิผลการทำงาน และเป็น Digital Twin ที่มีความครบถ้วนสมบูรณ์มากที่สุดในแวดวงอุตสาหกรรมในวันนี้ เมื่อ Siemens Xcelerator ถูกเชื่อมต่อกับ Omniverse เราจะสามารถสร้างเมตาเวิร์สแบบเรียลไทม์ที่สมจริง โดยเชื่อมต่อฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์เข้าด้วยกัน มีความครอบคลุมตั้งแต่เครือข่ายเอดจ์ไปจนถึงคลาวด์ ด้วยข้อมูลที่ละเอียดรอบด้านจากซอฟต์แวร์และโซลูชั่นของซีเมนส์”

เจนเซ่น หวง ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของเอ็นวิเดีย กล่าวว่า “ซีเมนส์และเอ็นวิเดียมีวิสัยทัศน์ร่วมกันว่า

เมตาเวิร์สภาคอุตสาหกรรมจะช่วยขับเคลื่อน digital transformation อย่างเป็นรูปธรรม  และนี่เป็นเพียงก้าวแรกในความพยายามร่วมกันของเราที่จะทำให้วิสัยทัศน์ดังกล่าวเป็นจริงสำหรับลูกค้าของเรา รวมถึงทุกภาคส่วนของอุตสาหกรรมการผลิตทั่วโลก การเชื่อมต่อเข้ากับ Siemens Xcelerator จะช่วยให้ระบบนิเวศ Omniverse และ AI ของเอ็นวิเดียเปิดไปสู่โลกใหม่ของระบบอัตโนมัติภาคอุตสาหกรรม ซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยใช้โซลูชั่นด้านเครื่องจักรกล, ไฟฟ้า, ซอฟต์แวร์, IoT และ เอดจ์ของซีเมนส์”

ความร่วมมือครั้งนี้เป็นการผสานรวมเทคโนโลยีและระบบนิเวศที่เกื้อหนุนกัน เพื่อสร้างเมตาเวิร์สสำหรับภาคอุตสาหกรรม  ซีเมนส์มีความพร้อมอย่างมากในการเชื่อมโยงโลกแห่งความเป็นจริงและโลกดิจิทัลเข้าด้วยกัน กล่าวคือเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) และเทคโนโลยีส่วนปฏิบัติการ (OT)  ซึ่งแพลตฟอร์ม Siemens Xcelerator เชื่อมต่อโดเมนต่าง ๆ ทั้งในส่วนของเครื่องจักรกล ไฟฟ้า และซอฟต์แวร์ โดยครอบคลุมกระบวนการผลิตและการจัดการผลิตภัณฑ์อย่างครบวงจร และรองรับการผนวกรวม IT และ OT เข้าด้วยกัน

NVIDIA Omniverse เป็นโลกเสมือนจริงที่ขับเคลื่อนด้วย AI โดยมีการสร้างแบบจำลองตามหลักฟิสิกส์ ครอบคลุมขอบเขตระดับอุตสาหกรรม และถือเป็นการเปิดใช้งานแบบจำลอง Digital Twin  ที่มีความแม่นยำสูงสุดเป็นครั้งแรก ส่วน NVIDIA AI ซึ่งถูกใช้งานโดยบริษัทต่าง ๆ กว่า 25,000 บริษัททั่วโลก เป็นเครื่องมืออัจฉริยะของ Omniverse บนคลาวด์และระบบอัตโนมัติที่เครือข่ายเอดจ์ NVIDIA Omniverse และ AI เป็นเครื่องมือในการประมวลผลที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการแสดงผลแบบจำลอง Digital Twin ที่ครบถ้วนสมบูรณ์จาก Siemens Xcelerator


เกี่ยวกับเอ็นวิเดีย

นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ ขึ้นในปี พ.ศ. 2536 เอ็นวิเดีย (NASDAQ: NVDA) คือผู้บุกเบิกด้านการเร่งความเร็วของการประมวลผล บริษัทฯ เริ่มพัฒนานวัตกรรมกราฟิก (GPU) เมื่อ พ.ศ.2542 และสร้างการเติบโตของตลาดเกมพีซี พร้อมเป็นผู้กำหนดนิยามใหม่ให้กับวงการคอมพิวเตอร์กราฟิกและจุดประกายให้กับ AI ยุคใหม่ ปัจจุบัน เอ็นวิเดีย เป็นบริษัทประมวลผลแบบ Full Stack ที่นำเสนอโซลูชั่นระดับศูนย์ข้อมูลที่กำลังพลิกโฉมอุตสาหกรรม ข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://nvidianews.nvidia.com/

เกี่ยวกับซีเมนส์

ซีเมนส์ เอจี (เบอร์ลินและมิวนิค) เป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ ทางด้านอุตสาหกรรม โครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคมขนส่ง และการดูแลสุขภาพ ธุรกิจของบริษัทฯ ครอบคลุมตั้งแต่การจัดการทรัพยากรในโรงงาน การบริหารห่วงโซ่อุปทาน ระบบอาคารอัจฉริยะและระบบโครงข่ายไฟฟ้า ไปจนถึงการขนส่งที่ใช้พลังงานสะอาด และการดูแลสุขภาพขั้นสูง บริษัทฯ พัฒนาเทคโนโลยีด้วยวัตถุประสงค์เพื่อมอบคุณค่าที่แท้จริงแก่ลูกค้า ซีเมนส์ช่วยให้ลูกค้าเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมและตลาด เพื่อยกระดับการใช้ชีวิตของคนนับพันล้านโดยผสานโลกความจริงและโลกดิจิทัลเข้าไว้ด้วยกัน ซีเมนส์เป็นผู้ถือหุ้นหลักในซีเมนส์ เฮลทิเนียร์ส ผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีการแพทย์และบริการดูแลสุขภาพดิจิทัล นอกเหนือจากนั้น ซีเมนส์ยังเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อยใน ซีเมนส์ เอนเนอร์ยี่ ผู้นำระดับโลกในด้านการผลิตและนำส่งพลังงานไฟฟ้า

ในปีงบประมาณ 2564 ซึ่งสิ้นสุดเมื่อ 30 กันยายน 2564 ซีเมนส์มีพนักงาน 303,000 คนทั่วโลก กลุ่มธุรกิจของซีเมนส์สร้างรายได้ 62.3 พันล้านยูโร และมีผลกำไร 6.7 พันล้านยูโร ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.siemens.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ซีเมนส์ขับเคลื่อน Smart City แห่งอนาคต ด้วยเทคโนโลยีสุดล้ำใน “เอ็กซ์โป 2020 ดูไบ”

* ถึงแม้จะถูกจัดขึ้นในปี 2021 งานนี้ยังคงใช้ชื่อ “เอ็กซ์โป 2020 ดูไบ”

  • งาน “เอ็กซ์โป2020 ดูไบ” ใช้เทคโนโลยีด้านอาคารอัจฉริยะจากซีเมนส์ซึ่งถูกขับเคลื่อนและรวมไว้บนแพลตฟอร์มการบริการ IoT ภาคอุตสาหกรรม MindSphere
  • อาคารมากกว่า130 แห่งจะเชื่อมต่อและสื่อสารกันผ่าน Siemens Navigator แพลตฟอร์มบนคลาวด์สำหรับวิเคราะห์การใช้พลังงานเพื่อบริหารจัดการทรัพยากรอาคาร
  • อาคารต่าง ๆ ในสามโซนหลัก (Thematic Districts)ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ด้วยระบบการจัดการอาคารอัจฉริยะ Desigo CC
  • โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลจะช่วยสนับสนุนการจัดงานเอ็กซ์โป2020 ดูไบ ให้ประสบความสำเร็จ ตามเป้าหมายครอบคลุมในด้านความยั่งยืน ความสะดวกสบาย ความปลอดภัย และการรักษา ความปลอดภัย

30 กันยายน 2564 – เป็นเวลากว่า 170 ปีที่งาน World Expo ถูกจัดขึ้นเพื่อแสดงนวัตกรรมที่เปลี่ยนวิถีความเป็นอยู่ของผู้คนมาจนถึงปัจจุบัน เช่นเดียวกับงานเอ็กซ์โป 2020 ดูไบ ที่จะสานต่อความยิ่งใหญ่ด้วยเทคโนโลยีล่าสุดจากทั่วทุกมุมโลก ซีเมนส์ได้มีส่วนร่วมในงาน World Expo ตั้งแต่การจัดแสดงโทรเลขไฟฟ้าแบบเข็ม (Pointer Telegraph) ในงานครั้งแรก ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมื่อปี ค.ศ.1851 และในงานเอ็กซ์โป 2020 ดูไบ ครั้งนี้ ซีเมนส์ได้แสดงนวัตกรรมต้นแบบ (Blueprint) สำหรับเมืองอัจฉริยะ โดยการนำเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ทันสมัยที่สุดมาใช้ในการจัดการงาน World Expo 2020 Dubai

งานเอ็กซ์โป 2020 ดูไบ ที่จะเริ่มขึ้นในวันที่ 1 ตุลาคม 2564 จะเป็นหนึ่งในงานเอ็กซ์โปที่มีการเชื่อมต่อที่เน้นเรื่องความยั่งยืนหรือนวัตกรรมสีเขียวมากที่สุดในประวัติศาสตร์ และยังเป็นหนึ่งในงานที่มีการติดตั้งเทคโนโลยีทางอาคารของซีเมนส์ครั้งใหญ่ที่สุดในโลก อาทิ ดิจิทัลโซลูชั่นเพื่อใช้สำหรับเชื่อมต่อ ตรวจสอบ และควบคุมอาคารผ่าน MindSphere ระบบปฏิบัติการบนคลาวด์สำหรับ IoT ซึ่งจะทำให้การวิเคราะห์และรวบรวมข้อมูลเพื่อใช้ในการตัดสินใจและปฏิบัติงานได้อย่างชาญฉลาด โดยเทคโนโลยีอัจฉริยะเหล่านี้จะช่วยสนับสนุนเป้าหมายในการจัดงานเอ็กซ์โป 2020 ดูไบ ทั้งในด้านประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การอำนวยความสะดวก ความปลอดภัยของผู้ร่วมชมงานและควบคุมดูแลรักษาระบบความปลอดภัย

ซีเมนส์ เป็นพาร์ทเนอร์ระดับพรีเมียร์ของงานเอ็กซ์โป 2020 ดูไบ มีบทบาทสำคัญในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานให้เป็นดิจิทัลโดยการนำระบบการจัดการอาคารดิจิทัล Desigo CC มาติดตั้งใช้งานทั่วทั้งงาน โดยครอบคลุมในแต่ละโซนการจัดงาน (ได้แก่ โซน Mobility โซน Opportunity และโซน Sustainability) รวมถึงศูนย์การจัดแสดงนวัตกรรมของประเทศต่าง ๆ และ Dubai Exhibition Centre โดยระบบจะใช้เซนเซอร์และการวิเคราะห์หลากหลายเพื่อตรวจสอบและควบคุมฟังก์ชันของอาคาร อาทิเช่น  ระบบปรับอากาศ การใช้พลังงาน การควบคุมความสว่าง ลิฟต์ คุณภาพอากาศและระบบส่งสัญญาณเตือนอัคคีภัย

ข้อมูลจากระบบเหล่านี้จะถูกนำมาจัดการและประมวลโดยศูนย์บัญชาการและควบคุมในแต่ละโซนการจัดงาน เพื่อลดการใช้พลังงาน พร้อมอำนวยความสะดวกและดูแลรักษาความปลอดภัยให้ผู้ร่วมงาน ข้อมูลเหล่านี้จะถูกป้อนเข้าสู่ Siemens Navigator แพลตฟอร์มศูนย์กลางการจัดการข้อมูลบนคลาวด์ เพื่อเชื่อมต่อกับอาคารต่าง ๆ มากกว่า 130 แห่งที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เดียวซึ่งถือเป็นหนึ่งในการติดตั้งระบบคลาวด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเพื่อให้ผู้ให้บริการต่าง ๆ สามารถเห็นข้อมูลทั้งหมดและนำมาวิเคราะห์เพื่อตรวจสอบการใช้พลังงานระหว่างการจัดงานเอ็กซ์โปในครั้งนี้ ด้วยความสามารถของแพลตฟอร์ม MindSphere ที่้ขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในงาน ข้อมูลจากเซนเซอร์ เกตเวย์ ระบบและแอปพลิเคชันต่างๆ ซึ่งเชื่อมต่อกันจะถูกวิเคราะห์และแสดงผลให้ผู้จัดงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติงานได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพสูงสุด

ระบบรักษาความปลอดภัยจะถูกรวมไว้ในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของงานเอ็กซ์โปโดยมีระบบย่อยมากกว่า 20 ระบบ อาทิ ระบบการควบคุมการเข้า-ออกอาคาร ระบบการจัดการอาคาร และระบบป้องกันอัคคีภัย ซึ่งจะถูกรวมไว้ในแพลตฟอร์มที่ป้อนคำสั่งและควบคุมจากส่วนกลาง ทำให้ผู้ดูแลทราบถึงสถานการณ์ภาพรวมและทำการตัดสินใจได้อย่างถูกต้องเหมาะสม

คุณสุวรรณี สิงห์ฤาเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและซีอีโอ ซีเมนส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “การพัฒนาเมืองอัจฉริยะหรือ Smart City จะเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้ประเทศไทยบรรลุวัตถุประสงค์ในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนตามวิสัยทัศน์ Thailand 4.0 เทคโนโลยีเมืองอัจฉริยะที่ใช้ในงาน World Expo 2020 Dubai เป็นตัวอย่างการใช้งานจริงของหลากหลายโซลูชันเมืองอัจฉริยะที่ถูกนำมารวมกันเพื่อสร้างเมืองที่มีความยั่งยืน และให้ความสะดวกสบายกับผู้อยู่อาศัย โดยสามารถนำมาต่อยอดหรือเป็นนวัตกรรมต้นแบบสำหรับการวางแผนงานเมืองอัจฉริยะในประเทศไทย”

ซีเมนส์มีประสบการณ์ในด้านการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานของสถานที่สำคัญให้เป็นดิจิทัลมาอย่างยาวนานทั่วทั้งภูมิภาคตะวันออกกลาง เช่น ท่าอากาศยานนานชาติดูไบ โรงละครโอเปราดูไบ และมัสยิด Sheikh Zayed ของอาบูดาบี ที่เลือกใช้เทคโนโลยีจากซีเมนส์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงาน และการดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งาน

แหล่งข้อมูล

  • Siemens at Expo 2020 Dubai
  • MindSphere  แพลตฟอร์มการบริการ IoT ภาคอุตสาหกรรม
  • Navigator แพลตฟอร์มบนคลาวด์สำหรับวิเคราะห์การใช้พลังงานเพื่อบริหารจัดการทรัพยากรอาคาร
  • Desigo CC  ระบบการจัดการอาคารอัจฉริยะ

เกี่ยวกับซีเมนส์

ซีเมนส์ เอจี (เบอร์ลินและมิวนิค) เป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ ทางด้านอุตสาหกรรม โครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคมขนส่ง และการดูแลสุขภาพ ธุรกิจของบริษัทฯ ครอบคลุมตั้งแต่การจัดการทรัพยากรในโรงงาน การบริหารห่วงโซ่อุปทาน ระบบอาคารอัจฉริยะและระบบโครงข่ายไฟฟ้า ไปจนถึงการขนส่งที่ใช้พลังงานสะอาด และการดูแลสุขภาพขั้นสูง บริษัทฯ พัฒนาเทคโนโลยีด้วยวัตถุประสงค์เพื่อมอบคุณค่าที่แท้จริงแก่ลูกค้า ซีเมนส์ช่วยให้ลูกค้าเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมและตลาด เพื่อยกระดับการใช้ชีวิตของคนนับพันล้านโดยผสานโลกความจริงและโลกดิจิทัลเข้าไว้ด้วยกัน ซีเมนส์เป็นผู้ถือหุ้นหลักในซีเมนส์ เฮลทิเนียร์ส ผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีการแพทย์และบริการดูแลสุขภาพดิจิทัล นอกเหนือจากนั้น ซีเมนส์ยังเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อยใน ซีเมนส์ เอนเนอร์ยี่ ผู้นำระดับโลกในด้านการผลิตและนำส่งพลังงานไฟฟ้า


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

“การจัดการพลังงานไฟฟ้าอัจฉริยะ” ช่วยสร้างความยั่งยืนแก่ธุรกิจและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม


โดย นางสุวรรณี สิงห์ฤาเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและซีอีโอ ซีเมนส์ ประเทศไทย

การแพร่ระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่ปี 2563 จนถึงวันนี้ ได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงไปยังทุกภาคส่วน ภาครัฐและเอกชนต่างมุ่งจัดการปัญหาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ล้วนเป็นเรื่องเร่งด่วนในทุก ๆ ด้าน อย่างไรก็ตามเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกและสิ่งแวดล้อม” เป็นอีกปัญหาใหญ่ที่ต้องได้รับการจัดการอย่างเร่งด่วนเช่นกัน จากเหตุภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นบ่อยและมีความรุนแรงมากขึ้น อันเป็นผลจากสภาวะโลกร้อนในหลายประเทศทุกภูมิภาคทั่วโลก

แท้จริงแล้วภาคอุตสาหกรรมมีบทบาทสำคัญต่อประเด็นนี้ เนื่องจากกระบวนการผลิตที่ใช้พลังงานมากถึงหนึ่งในสามของการใช้พลังงานทั้งหมดในโลก ซึ่งเทคโนโลยีการจัดการพลังงานไฟฟ้าที่ก้าวหน้าไปมากในปัจจุบันช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมมีส่วนสำคัญช่วยลดสภาวะโลกร้อนโดยอาศัยการจัดการพลังงานอย่างชาญฉลาดด้วยเทคโนโลยีดังกล่าว

การจัดการพลังงานไฟฟ้าสำหรับภาคอุตสาหกรรมมีส่วนช่วยลดสภาวะโลกร้อนได้อย่างไร

เรามาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญซึ่งทุกภาคส่วนเห็นร่วมกันชัดเจนถึงความจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกันอย่างเต็มที่ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ในขณะที่ภาคส่วนอื่น ๆ อาทิ การผลิตพลังงานไฟฟ้า การเกษตร และการบริโภคในครัวเรือน ได้เริ่มลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาระดับหนึ่งแล้ว แต่ภาคอุตสาหกรรมนั้นแทบจะไม่มีการปรับเปลี่ยนเลย แม้แต่ในประเทศเยอรมนีที่เป็นผู้นำในโลกอุตสาหกรรมยุคใหม่เองก็ตาม

เพื่อจัดการปัญหานี้ ซีเมนส์เห็นแนวทางขับเคลื่อนสำคัญ 3 ประการที่จะช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนี้

  • 1. การสร้างความยืดหยุ่นในการนำพลังงานมาใช้ เช่น การใช้โซลูชั่นการกักเก็บพลังงานและการใช้ระบบโรงไฟฟ้าเสมือน (Virtual Power Plants : VPP)
  • 2. การปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานให้เป็นดิจิทัล เพื่อให้มั่นใจว่าการใช้พลังงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถทำได้โดยการติดตั้งอุปกรณ์ IoT (Internet of Things) เซ็นเซอร์ และซอฟต์แวร์ควบคุม
  • 3. การนำการจัดการพลังงานไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Electrification) มาใช้ ในการดำเนินงานให้ครอบคลุมทุกกระบวนการทำงาน

จากสามแนวทางข้างต้น “การจัดการพลังงานไฟฟ้าอัจฉริยะ” เป็นหนทางที่ดีที่สุดในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ทั้งยังสามารถสร้างประโยชน์สูงสุดจากปัจจัยการขับเคลื่อนที่เหลือ

ในการจัดการพลังงานไฟฟ้าอัจฉริยะนั้น มี 2 ปัจจัยที่ต้องคำนึงถึง ได้แก่ หนึ่ง – ความเป็นไปได้ที่จะนำพลังงานสะอาด ซึ่งไม่มีการปล่อยคาร์บอนสู่สิ่งแวดล้อมมาป้อนเข้าสู่สถานประกอบการอุตสาหกรรม อาทิ พลังงานลม พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานน้ำ และ สอง – การจัดการพลังงานของสถานประกอบการอุตสาหกรรม เช่น การจัดการความต้องการใช้พลังงานด้วยซอฟต์แวร์ เป็นต้น

เหตุผลที่การจัดการพลังงานไฟฟ้าอัจฉริยะมีผลอย่างมากต่อการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ก็คือ เมื่อจัดการการใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพจะทำให้สามารถเพิ่มการใช้พลังงานสะอาดซึ่งสามารถผลิตไฟฟ้าได้โดยไม่ก่อมลภาวะ แทนที่การผลิตไฟฟ้าด้วยเทคโนโลยีแบบเดิม เช่น เครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังงานดีเซลที่มีการก่อมลภาวะสูง

การจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพคือ “หัวใจสำคัญ” ในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคอุตสาหกรรม

กรณีศึกษาจากบริษัท Gestamp ผู้ผลิตชิ้นส่วนโลหะยานยนต์ในสเปนซึ่งมีหลายกระบวนการผลิตที่ต้องใช้พลังงานเป็นจำนวนมากแต่ขาดข้อมูลการใช้พลังงานที่ชัดเจนทำให้โรงงานต้องเผชิญกับค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นเรื่อยๆ

แต่ด้วยการติดตั้งอุปกรณ์มาตรวัดพลังงานและการใช้โซลูชันการสื่อสารรับส่งข้อมูลขนาดใหญ่จากโรงงาน 15 แห่งใน 6 ประเทศแล้วนำมาวิเคราะห์ Gestamp สามารถระบุจุดที่เป็นปัญหาและปรับปรุงการดำเนินงาน ทำให้สามารถลดการใช้ไฟฟ้าลงถึง 15 เปอร์เซ็นต์และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้ถึง 14,000 ตันต่อปี

การจัดการพลังงานไฟฟ้าอัจฉริยะช่วยให้การผลิตมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ช่วยในบริหารรอบการทำงานให้ได้ประโยชน์สูงสุดและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต นอกเหนือจากนั้นยังลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของภาคอุตสาหกรรม พร้อมเพิ่มโอกาสใหม่ ๆ ในการนำพลังงานไฟฟ้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาปรับใช้อย่างมีประสิทธิภาพ

ปัจจุบันการจัดการพลังงานไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพสูงทำได้ง่ายขึ้น ด้วยการปรับกระบวนการจัดการให้เป็นระบบดิจิทัล (Digitalization) และนำการจัดการพลังงานไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Electrification) มาใช้ ผลที่ตามมาไม่เพียงแต่เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน แต่ยังเพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินงานและทำให้การใช้ทรัพยากรเกิดประโยชน์สูงสุด

ยิ่งไปกว่านั้น การปรับกระบวนการทำงานเป็นระบบดิจิทัล (Digitalization) ทำให้เราสามารถพัฒนาระบบดิจิทัลทวิน (Digital Twin) สำหรับระบบไฟฟ้าของโรงงานได้ และเมื่อควบรวมกับระบบอัตโนมัติทางอุตสาหกรรม ผู้วางระบบงานสามารถทดสอบการจำลองสถานการณ์การทำงานต่าง ๆ เพื่อหาจุดที่เหมาะสมที่สุดในการวางระบบงาน เพื่อลดความผิดพลาดและลดต้นทุนในการวางแผนงาน การก่อสร้าง และการบำรุงรักษา

วิกฤติการณ์การแพร่ระบาดทำให้เราต้องพิจารณาอีกครั้งเกี่ยวกับวิธีการดำเนินงานทางธุรกิจของเรา สำหรับอุตสาหกรรม ถึงเวลาแล้วที่จะสร้างรากฐานธุรกิจในอนาคตด้วยการผสมผสานการจัดการพลังงานไฟฟ้าอัจฉริยะเข้ากับแผนงานของกิจการ ผลลัพธ์ที่ได้จะไม่ใช่แค่ตัวเลขทางธุรกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างอนาคตที่มั่นคงและยั่งยืน ครอบคลุม ตั้งแต่ลูกค้า ชุมชน ประเทศ ไปจนถึงสังคมและสิ่งแวดล้อมในโลกของเราด้วย

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม:

เกี่ยวกับซีเมนส์

ซีเมนส์ เอจี (เบอร์ลินและมิวนิค) เป็นบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกที่มีชื่อเสียงมายาวนานกว่า 170 ปีในด้านวิศวกรรม นวัตกรรม คุณภาพและความน่าเชื่อถือ บริษัทมีความเชี่ยวชาญในการจัดการพลังงานหลากหลายรูปแบบ ระบบออโตเมชั่นและดิจิทัลไลเซชั่นสำหรับภาคอุตสาหกรรม และ ระบบโครงสร้างอัจฉริยะสำหรับอาคาร โดยเน้นการผสานเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้อย่างเหมาะสม เพื่อสร้างคุณค่าให้แก่องค์กรธุรกิจและสังคมโดยรวม นอกจากนี้ยังมีซีเมนส์ โมบิลิตี้ ผู้นำโซลูชั่นคมนาคมทางรางและทางบก

ที่มีบทบาทสำคัญในการพลิกโฉมตลาดด้านบริการขนส่งผู้โดยสารและสินค้า และด้วยซีเมนส์เป็นผู้ถือหุ้นหลักในซีเมนส์ เฮลทิเนียร์ส เราจึงเป็นผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีการแพทย์และบริการดูแลสุขภาพดิจิทัล นอกเหนือจากนั้น ซีเมนส์ยังเป็นผู้ถือหุ้นใน ซีเมนส์ เอนเนอร์ยี่ ผู้นำด้านการผลิตและนำส่งพลังงานไฟฟ้าระดับโลกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่ 28 กันยายน ปี 2563

ในปีงบประมาณ 2563 ซึ่งสิ้นสุดเมื่อ 30 กันยายน 2563 ซีเมนส์มีพนักงาน 293,000 คนทั่วโลก กลุ่มธุรกิจของซีเมนส์สร้างรายได้ 57.1 พันล้านยูโร และมีผลกำไร 4.2 พันล้านยูโร

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.siemens.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ซีเมนส์ช่วยให้ไบโอเอ็นเทคผลิตวัคซีนโควิด-19 ได้เร็วขึ้น ด้วยระบบอัตโนมัติและโซลูชั่นดิจิทัล

27 พฤษภาคม 2564 – ซีเมนส์ (Siemens) สนับสนุนไบโอเอ็นเทค (BioNTech) บริษัทไบโอเทคโนโลยีตั้งอยู่ที่เมืองไมนซ์ ประเทศเยอรมนี ดำเนินการปรับเปลี่ยนโรงงานในเมืองมาร์เบิร์กเพื่อเร่งกระบวนการผลิตวัคซีนโควิด-19 ด้วยเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งโรงงานแห่งนี้เป็นโรงงานผลิตวัคซีนที่ใช้เทคโนโลยี mRNA ที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง

ไบโอเอ็นเทคได้ซื้อโรงงานผลิตที่รองรับการผลิตสารด้านเทคโนโลยีชีวภาพในช่วงปลายปี 2563  ซึ่งโรงงานแห่งนี้ได้ผลิตวัคซีน BNT162b2 (หรือ COMIRNATY®) ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

ด้วยความร่วมมือจากซีเมนส์รวมถึงทีมผู้เชี่ยวชาญในมาร์เบิร์ก ทำให้กรอบเวลาโครงการปรับเปลี่ยนโรงงานที่มีอยู่สำหรับการผลิตวัคซีนที่ใช้เทคโนโลยี mRNA ลดลงจากหนึ่งปีเหลือเพียงห้าเดือน โดยที่การติดตั้งส่วนประกอบสำคัญของระบบปฏิบัติการในกระบวนการผลิตใหม่ (Manufacturing Execution System – MES) แล้วเสร็จภายในเวลาเพียงสองเดือนครึ่งเท่านั้น  ระบบใหม่นี้รวมถึงกระบวนการผลิตที่ถูกปรับเปลี่ยนเป็นรูปแบบดิจิทัลอย่างครบวงจรและรองรับ “งานเอกสารแบบไม่ใช้กระดาษ – Paperless สำหรับกระบวนการผลิต” ซึ่งตอบโจทย์ความต้องการด้านงานเอกสารได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ เป็นองค์ประกอบสำคัญในการผลิตวัคซีนให้ได้ตามเป้าหมาย

กระบวนการทั้งหมดถูกควบคุมโดยเทคโนโลยีของซีเมนส์ เช่น Opcenter Execution Pharma MES ซึ่งทำหน้าที่ผสานรวมระบบและกระบวนการต่างๆ และวิเคราะห์คุณภาพ  นอกจากนี้ยังสามารถพัฒนา ปรับแต่ง และจัดการกระบวนการผลิตโดยอัตโนมัติ  กระบวนการ mRNA ครอบคลุมขั้นตอนการทำงานโดยบุคลากรในบางขั้นตอน เช่น การชั่งน้ำหนัก ที่ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นระบบชั่งน้ำหนักของซีเมนส์ เพราะการชั่งน้ำหนักที่แม่นยำมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์  ระบบทั้งหมดได้รับการดัดแปลงสำหรับการทำงานแบบอัตโนมัติโดยใช้ระบบควบคุมกระบวนการ Simatic PCS 7 ที่ควบคุมและจัดการกระบวนการต่าง ๆ ของระบบ  และยังมีการติดตั้งและใช้งานผลิตภัณฑ์อื่น ๆ อีก เช่น เทคโนโลยีเครือข่าย แอ็คเซสพอยต์ WLAN เทคโนโลยีสื่อสาร และกรอบโครงสร้างวิศวกรรม TIA Portal

ความร่วมมือของซีเมนส์และไบโอเอ็นเทคช่วยเร่งการส่งมอบวัคซีนที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพไปทั่วโลกได้รวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ณ ปัจจุบันโรงงานในเมืองมาร์เบิร์กมีบทบาทสำคัญเป็นผู้ผลิตวัคซีนประมาณหนึ่งในสี่ของจำนวนวัคซีน 2.5 พันล้านโดสที่ไฟเซอร์และไบโอเอ็นเทคได้ประกาศไว้ในปีนี้ 

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม:

เกี่ยวกับซีเมนส์

ซีเมนส์ เอจี (เบอร์ลินและมิวนิค) เป็นบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกที่มีชื่อเสียงมายาวนานกว่า 170 ปีในด้านวิศวกรรม นวัตกรรม คุณภาพและความน่าเชื่อถือ บริษัทมีความเชี่ยวชาญในการจัดการพลังงานหลากหลายรูปแบบ ระบบออโตเมชั่นและดิจิทัลไลเซชั่นสำหรับภาคอุตสาหกรรม และ ระบบโครงสร้างอัจฉริยะสำหรับอาคาร โดยเน้นการผสานเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้อย่างเหมาะสม เพื่อสร้างคุณค่าให้แก่องค์กรธุรกิจและสังคมโดยรวม นอกจากนี้ยังมีซีเมนส์ โมบิลิตี้ ผู้นำโซลูชั่นคมนาคมทางรางและทางบก ที่มีบทบาทสำคัญในการพลิกโฉมตลาดด้านบริการขนส่งผู้โดยสารและสินค้า และด้วยซีเมนส์เป็นผู้ถือหุ้นหลักในซีเมนส์ เฮลทิเนียร์ส เราจึงเป็นผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีการแพทย์และบริการดูแลสุขภาพดิจิทัล นอกเหนือจากนั้น ซีเมนส์ยังเป็นผู้ถือหุ้นใน ซีเมนส์ เอนเนอร์ยี่ ผู้นำด้านการผลิตและนำส่งพลังงานไฟฟ้าระดับโลกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ตั้งแต่ 28 กันยายน ปี 2563

ในปีงบประมาณ 2563 ซึ่งสิ้นสุดเมื่อ 30 กันยายน 2563 ซีเมนส์มีพนักงาน 293,000 คนทั่วโลก กลุ่มธุรกิจของซีเมนส์สร้างรายได้ 57.1 พันล้านยูโร และมีผลกำไร 4.2 พันล้านยูโร

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.siemens.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

“ออโต้อินโฟ” พัฒนานวัตกรรมต้นแบบห้องคัดกรองเชื้อโควิดแบบเคลื่อนที่ฝีมือคนไทย

“ออโต้อินโฟ” พัฒนานวัตกรรมต้นแบบห้องคัดกรองเชื้อโควิดแบบเคลื่อนที่ฝีมือคนไทย ใช้เทคโนโลยี “ซีเมนส์” Climatix IC ควบคุมด้วยระบบอัจฉริยะมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล ตั้งเป้าหน่วยงานการแพทย์ใช้คัดกรองสกัดโควิดเคลื่อนย้ายสะดวกทุกที่ พร้อมห้องแลป Rapid Test ตรวจรู้ผลไว ตรวจในระบบปิดมาตรฐานโรงพยาบาล อุ่นใจทั้งผู้รับและแพทย์ผู้ให้บริการ

กรุงเทพฯ 28 กันยายน 2563 – บริษัท ออโต้อินโฟ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญโซลูชั่นและระบบควบคุมอัตโนมัติในอุตสาหกรรมวิทยาศาสตร์ชีวภาพ (Life Science) ร่วมมือกับซีเมนส์ ประเทศไทย เปิดตัวนวัตกรรมห้องตรวจโรคและห้องปฏิบัติการทางการแพทย์เคลื่อนที่เพื่อรับมือโรคอุบัติใหม่ (Modular Covid-19 Examination Unit) ที่พัฒนาและผลิตโดยฝีมือคนไทย ตามมาตรฐานความปลอดภัยในอุตสาหกรรมวิทยาศาสตร์ชีวภาพ ชูจุดเด่นเน้นความปลอดภัยเป็นอันดับหนึ่งตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบและวางระบบ เพื่อป้องกันการติดเชื้อทั้งระหว่างคนไข้และแพทย์หรือระหว่างคนไข้ด้วยกันเอง พร้อมควบคุมระบบการไหลเวียนอากาศด้วยเทคโนโลยี Climatix IC จากซีเมนส์ ป้องกันการปนเปื้อนขั้นสูง โครงสร้างผลิตจากวัสดุแข็งแรงคงทนได้มาตรฐานในอุตสาหกรรมสาธารณสุข เคลื่อนย้ายไปได้ทุกที่ด้วยขนาดเพียง 3x6x3 เมตร ติดตั้งและใช้งานได้ทันทีเพียงมีแหล่งจ่ายไฟบ้านทั่วไปรองรับ และอยู่ในระหว่างขั้นตอนการนำตัวต้นแบบนี้บริจาคให้แก่องค์กรที่เหมาะสมในการดำเนินการคัดกรองผู้ติดเชื้อโควิดในพื้นที่เสี่ยงหรือจุดผ่านแดน อาทิ สนามบิน หน้าด่านหรือจุดผ่านแดนทั่วประเทศ

สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า (COVID-19) ภายในประเทศไทยนับว่าอยู่ในการควบคุมที่ดี ด้วยมาตรการป้องกันและวินัยการดูแลตัวเองที่เข้มงวด แต่ทุกฝ่ายยังไม่อาจวางใจได้เนื่องจากยังมีการแพร่ระบาดอยู่ทั่วโลก ซึ่งจุดคัดกรองผู้ป่วย อาทิ ด่านตรวจคนเข้าเมือง สนามบิน โรงพยาบาล โรงแรมที่พักสำหรับกักตัว หรือจุดผ่านแดนของประเทศถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญต่อการรับมือและป้องกันการกลับมาระบาดรอบสอง ดังนั้นมาตรการป้องกันที่ดีที่สุด ณ ขณะนี้ คือ การสร้างจุดคัดกรองที่มีประสิทธิภาพสูง ยืดหยุ่น และได้มาตรฐานด้านความปลอดภัย จึงเป็นที่มาของการพัฒนานวัตกรรมห้องตรวจโรคและห้องปฏิบัติการทางการแพทย์ล้ำสมัยที่ตอบโจทย์การใช้งานได้ดียิ่งขึ้น เนื่องจากพบว่าตู้ตรวจโควิดที่มีอยู่หลากหลายแบบในปัจจุบันยังมีข้อจำกัดในด้านความปลอดภัยและความสะดวกในการใช้งานต่าง ๆ อาทิ การเคลื่อนย้ายทำได้ลำบาก, มีอุปกรณ์แยกย่อยหลายส่วน, มีความเสี่ยงต่อการแพร่เชื้อระหว่างผู้มาตรวจด้วยกันเอง, ไม่มีห้องผู้ป่วย, วัสดุที่ใช้เก็บเชื้อทำความสะอาดยาก, ไม่มีห้องแลปเพื่อตรวจหาผลอย่างรวดเร็วในตัว, ออกแบบด้วยเครื่องปรับอากาศธรรมดาทำให้เชื้อโรคสะสม และไม่คงทนแข็งแรงพอ

นายวิสิทธิ์ พชรธนสาร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ออโต้อินโฟ จำกัด กล่าวว่า “แรกเริ่มเลยเกิดจากเราต้องการทำอะไรเพื่อตอบแทนสังคมและช่วยเหลือประเทศชาติและคนไทยในยามวิกฤติ ตั้งแต่เกิดโควิดระบาดใหม่ ๆ จนถึงวันนี้ ผมและเพื่อน ๆ เห็นความท้าทายของกระบวนการคัดกรองและความเสี่ยงของบุคลากรผู้ปฏิบัติหน้าที่ไปจนถึงผู้ป่วย เราพัฒนาต่อยอดไอเดียเพื่อหาทางออกแบบและผลิตห้องตรวจโรคที่มีความปลอดภัยระดับสากลสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ มีฟังก์ชั่นและอุปกรณ์ที่ดีที่สุดและใช้งานได้จริง ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญกว่า 20 ปี ในอุตสาหกรรม Pharmaceutical และ Biotechnology บวกกับความพร้อมด้านเทคโนโลยีสมองกลที่สามารถนำมาปรับใช้ได้ง่ายดายเหมือนเราสวมเสื้อและจัดให้เข้ารูป ทำให้การพัฒนาห้องตรวจนี้ออกมาอย่างสมบูรณ์แบบ ตามหลักการออกแบบของ CDC สหรัฐอเมริกา (Centers of Disease Control and Prevention) โดยใช้การทดสอบตามมาตรฐาน ISO 14644-3 ในระดับสากล”

“การควบคุมการไหลเวียนอากาศคือหนึ่งในความท้าทายสำคัญในขั้นตอนการผลิตและวางระบบ เพราะไม่ใช่เพียงการควบคุมความดันบวกและลบเพื่อป้องการแพร่กระจายของเชื้อจากห้องหนึ่งไปอีกห้องหนึ่งเท่านั้น หากแต่ยังต้องคำนึงถึงค่าความชื้นสัมพัทธ์ ความดัน อุณหภูมิ และอากาศที่ปลอดเชื้อที่ทั้งหมดต้องถูกควบคุมได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเทคโนโลยี Climatix IC ของซีเมนส์ตอบโจทย์ตรงนี้โดยใช้อุปกรณ์คุณภาพสูงและโปรแกรมที่ถูกออกแบบสำหรับงานเฉพาะทางเพื่อรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้เรายังติดตั้งระบบกรองอากาศเข้าและออกถึง 3 ชั้น เพื่อให้มั่นใจว่าไวรัสไม่สามารถเล็ดลอดออกไปได้ แนวคิดการพัฒนาระบบ Modular ทำให้สามารถจัดสรรพื้นที่ ขั้นตอนการใช้งานและการควบคุมดูแลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเราสามารถผลิตเพิ่มเติมเพื่อส่งมอบให้กับหน่วยงานทั้งภาคสาธารณสุข ภาคอุตสาหกรรม โดยใช้เวลาในการผลิตเพียง 1 เดือนเท่านั้น ซึ่งนับว่าเร็วกว่าระบบอื่น ๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน” นายวิสิทธิ์กล่าวเพิ่มเติม

มร.รอส คอลลอน รองประธานอาวุโสฝ่ายเทคโนโลยีอาคาร ธุรกิจสมาร์ทอินฟราสตรัคเจอร์ ซีเมนส์ ประเทศไทย กล่าวว่า “เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ออโต้อินโฟ ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์กับซีเมนส์มาอย่า
ยาวนาน สามารถพัฒนานวัตกรรมห้องตรวจโรคและห้องปฏิบัติการทางการแพทย์เคลื่อนที่จนเป็นผลสำเร็จ ด้วยแพลตฟอร์ม Climatix ของซีเมนส์ ซึ่งจะช่วยให้การตรวจสอบและควบคุมการไหลเวียนของสภาวะอากาศภายในตู้เป็นไปได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการป้องกันการติดเชื้อ เนื่องจากแพลตฟอร์มนี้มีความยืดหยุ่นสูง รองรับการใช้งานได้หลากหลาย และได้รับการพัฒนาขึ้นให้เหมาะกับธุรกิจ OEMs รวมถึงการทำงานที่สอดคล้องกันอย่างสมบูรณ์ระหว่างเซ็นเซอร์และอุปกรณ์ภาคสนาม Climatix จะช่วยให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่มองเห็นภาพรวมและสามารถควบคุมการตั้งค่าต่าง ๆ ตลอดจนบันทึกข้อมูลในอดีตในการใช้งานได้อย่างแม่นยำ ที่สำคัญคือระบบนี้สามารถเชื่อมต่อกับระบบคลาวด์ได้ จึงสามารถใช้แพลตฟอร์ม Climatix IC เพื่อการแสดงผลและการควบคุมแบบรีโมทได้”

เกี่ยวกับออโต้อินโฟ
บริษัท ออโต้อินโฟ จำกัด ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2540 เป็นบริษัทด้านวิศวกรรมและการค้าที่ให้บริการโซลูชั่นและระบบอัตโนมัติแบบครบวงจร

ออโต้อินโฟดำเนินธุรกิจด้านการจัดหาโซลูชันและระบบอัตโนมัติแบบบูรณาการครอบคลุมด้านระบบอัตโนมัติในโรงงานอุตสาหกรรม (Industrial Automation), ระบบควบคุมอาคารอัตโนมัติ (Building Automation), ระบบอัตโนมัติในคลังน้ำมันและก๊าซ (Terminal Automation), ระบบ SCADA และโซลูชันเครือข่ายไอที รวมถึงบริการด้านการออกแบบระบบ จัดทำโครงการ ดำเนินโครงการ โปรแกรมการฝึกอบรม บริการด้านสัญญาและการบำรุงรักษา

พันธกิจหลักของบริษัทคือ “การมุ่งมั่นให้บริการระบบควบคุมอัตโนมัติแบบครบวงจรที่มีคุณภาพมาตรฐาน ด้วยความเชี่ยวชาญที่เป็นเลิศ ให้เกินความคาดหวังของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง”

เกี่ยวกับซีเมนส์
ซีเมนส์ (เบอร์ลินและมิวนิค) เป็นบริษัทเทคโนโลยีด้านไฟฟ้าระดับโลกที่มีชื่อเสียงมายาวนาน ด้านวิศวกรรมอันยอดเยี่ยม ด้านนวัตกรรม คุณภาพ ความน่าเชื่อถือ และความเป็นสากลมากว่า 170 ปี บริษัทมีสาขาอยู่ทั่วโลก เน้นธุรกิจด้านการสร้างและการกระจายกระแสไฟฟ้า ระบบอัจฉริยะสำหรับอาคาร และการจ่ายพลังงาน และระบบออโตเมชั่นและดิจิทัลไลเซชั่นสำหรับภาคการผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีซีเมนส์ โมบิลิตี้ ผู้นำโซลูชั่นด้านการขนส่งสำหรับรถไฟและรถยนต์ ด้านบริการขนส่งผู้โดยสารและสินค้า และด้วยซีเมนส์เป็นผู้ถือหุ้นหลักในซีเมนส์กาเมซ่า รีนิวเอเบิล เอ็นเนอร์ยี และซีเมนส์ เฮลธ์แคร์ ซีเมนส์จึงเป็นผู้นำระดับโลกด้านเทคโนโลยีการแพทย์ และโซลูชั่นการผลิตกระแสไฟฟ้าแบบลมทั้งแบบบนฝั่งและนอกฝั่ง ในปี 2562 ซึ่งจบไปเมื่อเดือนกันยนยน 2562 ซีเมนส์สร้างรายได้ 86 พันล้านยูโร และมีผลกำไร 5.6 พันล้านยูโร มีพนักงาน 385,000 คนทั่วโลก ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://www.siemens.com


 

Exit mobile version