Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ร่วมรณรงค์ ในกิจกรรม Earth Hour ปิดไฟให้โลกยั่งยืน พร้อมส่งวีดีโอไวรัล ปลุกกระแสรักษ์โลก

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric) ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ด้านการบริหารจัดการพลังงานและระบบออโตเมชั่น โดยล่าสุดได้รับรางวัล องค์กรที่ยั่งยืนที่สุดในโลก ประจำปี 2021 ซึ่งวันนี้เดินหน้าสานต่อสนับสนุนกิจกรรมลดการใช้พลังงาน เอิร์ธอาวเออร์ 2021 (Earth Hour 2021) ซึ่งเป็นแนวคิดของกองทุนสัตว์ป่าโลก (World Wildlife Fund หรือใช้ชื่อย่อว่า WWF) เพื่อลดการใช้พลังงานในช่วงเวลา 1 ชั่วโมง ซึ่งปีนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ 27 มีนาคม 2564 เวลา 20.30 – 21.30 น.

สเตฟาน นูสส์ ประธานกลุ่มคลัสเตอร์ ดูแลประเทศไทย ลาว และเมียนมา ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เผยว่า ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ขอร่วมสนับสนุน Global Campaign Earth Hour 2021 ในปีนี้ ซึ่งนับว่าเป็นโครงการที่เราจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนในชั้นบรรยากาศของโลกเราได้อย่างง่ายๆ  เพียงการปิดไฟ 1 ชั่วโมง เราทุกคนควรร่วมมือกันอย่างจริงจังเพื่อปกป้องอนาคตของเรา และเพื่ออนาคตของโลก ด้วยมือของเรา”

กิจกรรมเอิร์ธอาวเออร์ เป็นกิจกรรมหนึ่งเสมือนเป็นจิ๊กซอว์ในการลดการใช้พลังงานเพื่อสร้างความยั่งยืนให้โลกของเรา แม้จะเป็นเวลาเพียง 1 ชั่วโมงก็ตาม แต่ถ้าทุกคนช่วยกัน จะสามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้จำนวนมหาศาล

นอกจากนี้ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังได้จัดทำวีดีโอไวรัล ร่วมรณรงค์ ปิดไฟเพื่อให้โลกยั่งยืน ช่วยปลุกกระแสให้คนไทยตระหนักถึงการมีส่วนร่วมให้โลกเย็นลง ด้วยการปิดไฟทุกครัวเรือน โดยวีดีโอ ได้เผยแพร่ทาง https://www.youtube.com/watch?v=J6Pe2GQov-M โดยผู้จิตอาสาหัวใจสีเขียว สามารถส่งต่อเพื่อร่วมรณรงค์ให้คนไทยช่วยกันดับไฟเพื่อโลกของเรา


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ก้าวสู่เกียรติยศสูงสุด อันดับหนึ่งในการเป็นบริษัทที่ยั่งยืนที่สุดในโลก

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค(Schneider Electric) ผู้นำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันด้านการบริหารจัดการพลังงานและระบบออโตเมชัน ได้รับการจัดอันดับให้เป็น บริษัทที่ยั่งยืนอันดับหนึ่งในโลก ในทำเนียบรายชื่ออันทรงเกียรติประจำปี ที่รวบรวมโดย Corporate Knights ซึ่งเป็นบริษัทด้านสื่อและการวิจัย ที่มุ่งเน้นประสิทธิภาพด้านความยั่งยืนขององค์กรระดับคอร์ปอเรต

ฌอง ปาสคาล ตริคัวร์ ประธานและซีอีโอ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เผยว่า“เรารู้สึกเป็นเกียรติและปลื้มปิติเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้รับการจัดให้เป็นอันดับ จาก Corporate Knights นับเป็นกำลังใจสำคัญสำหรับทีมงานและพันธมิตรของเรา ซึ่งการได้รับการยอมรับครั้งยิ่งใหญ่นี้ มาจากการที่เราได้มีส่วนร่วมเป็นเวลานานกว่า 15 ปี ในการทำให้บริษัทของเราและโลกนี้เป็นสีเขียวยิ่งขึ้น และมีความเป็นเอกภาพมากขึ้น ซึ่งความยั่งยืนนั้นนับเป็นการเดินทางเพื่อก้าวไปสู่ความสำเร็จร่วมกับพนักงาน คู่ค้าและลูกค้าของเรา ตลอดจนชุมชนที่เรามีการดำเนินการอยู่ การได้รับการยอมรับในครั้งนี้จึงส่งไปถึงกลุ่มคนเหล่านี้ด้วยเช่นกัน”

อันดับหนึ่งจากองค์กร 100 แห่งที่ยั่งยืนที่สุดในโลกประจำปี 2021 (2021 Global 100 Most Sustainable Corporations) จัดทำโดย Corporate Knights โดยเป็นการจัดอันดับที่นับได้ว่าเป็นการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ จากอันดับที่ 29 ในปีที่ผ่านมา และแสดงให้เห็นถึงองค์ความรู้จากภายนอกของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่ได้รับการยอมรับอย่างสูงในเรื่องของความมุ่งมั่นที่มีมายาวนานในการรับมือกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล (ESG)

“เหรียญมีสองด้าน เรื่องความยั่งยืนก็เช่นกัน” กิลเลส เวอร์มอท เดโรเช รองประธานอาวุโส ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าว “เรามุ่งเน้นการปฏิบัติเป็นตัวอย่างทั้งจากการดำเนินการภายในและในระบบนิเวศของเราเอง และเราทำงานเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในโซลูชั่นสำหรับลูกค้าเรา โดยหลักการความยั่งยืนจะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพ เสริมสร้างนวัตกรรม และสร้างความดึงดูดใจในการเป็นองค์กรที่น่าทำงานด้วย ซึ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างคุณค่าให้องค์กรมากขึ้น”

การจัดอันดับในปี 2021 ของ Corporate Knights ใช้ฐานการประเมินบริษัทจำนวน 8,080 แห่งที่มีรายได้มากกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ  ซึ่งตัวชี้วัดเรื่องของประสิทธิภาพ จะรวมถึงการประเมินว่าองค์กรเหล่านี้มีการใช้พลังงานหมุนเวียนมากน้อยแค่ไหนและปล่อยของเสียมากแค่ไหน โดยในปีนี้ ได้มีการรวมตัวชี้วัดใหม่ๆ ในเรื่องของการลาป่วย ความหลากหลายทางเชื้อชาติของกรรมการและผู้บริหาร รวมถึงการลงทุนในพลังงานสะอาด

บริษัทที่มีฐานอยู่ในเมืองโตรอนโตได้เรียกร้องให้ ชไนเดอร์ ก้าวไปอย่างมั่นคง เพื่อมุ่งสู่ผลิตภัณฑ์และการบริการที่ช่วยให้ลูกค้าบริหารจัดการความต้องการด้านพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

“ในไม่กี่ทศวรรษมานี้ ชไนเดอร์ ได้หันมามุ่งเน้นเรื่องดาต้าเซ็นเตอร์ สตอเรจ และแหล่งพลังงานแบบกระจายศูนย์ รวมถึงโซลูชันอัจฉริยะต่างๆ ที่ให้ความก้าวหน้าเรื่องระบบไฟฟ้า ประสิทธิภาพด้านพลังงานและให้ความสามารถด้านการหมุนเวียน ปัจจุบันรายได้ 70 เปอร์เซ็นต์มาจากเรื่องเหล่านี้ พร้อมกับ 73 เปอร์เซ็นต์ของการลงทุนจะมุ่งตรงไปที่โซลูชันที่ให้ความยั่งยืน” โทบี้ ฮีบส์ ซีอีโอ Corporate Knights กล่าว “ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังได้ดำเนินการอย่างจริงจังในเรื่องของความทัดเทียมทางเพศและเชื้อชาติ รวมถึงการสร้างผลิตผลของทรัพยากรและความปลอดภัย”

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เป็นกลุ่มผู้นำรายแรกๆ ที่ให้ความสำคัญกับ ESG และยังเพิ่มพันธสัญญาเรื่องความยั่งยืนมากขึ้น ด้วยความมุ่งมั่นพยายามมากขึ้นเรื่อยๆ ตลอดช่วงเวลาหนึ่งทศวรรษครึ่งที่ผ่านมา การเร่งสู่กลยุทธ์ด้านความยั่งยืนล่าสุดที่ประกาศไปเมื่อวันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมา ยังรวมถึงเรื่องพันธสัญญาระยะยาว 6 ประการ และเป้าหมายที่เป็นรูปธรรมอีก 11 ประการ ที่จะต้องทำให้ได้ภายในปี 2025  พร้อมกันนี้ สิ่งเหล่านี้ คือการมุ่งเพื่อช่วยให้ทั้ง ชไนเดอร์ องค์กรธุรกิจต่างๆ และชุมชนทั้งหลายที่ ชไนเดอร์ ให้บริการและมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนการมีส่วนร่วมกับเรื่องดังกล่าวในสังคม รายละเอียดเพิ่มเติม คลิกดูได้ที่นี่

Hashtags:  #LifeIsOn #Sustainability #ESG #OurImpact

เกี่ยวกับชไนเดอร์ อิเล็คทริค

เป้าหมายของชไนเดอร์ อิเล็คทริค คือการช่วยให้ทุกคนใช้พลังงานและทรัพยากรได้เกิดประโยชน์สูงสุด เชื่อมโยงความก้าวหน้าและความยั่งยืนเพื่อประโยชน์ของทุกคน เราเรียกสิ่งนี้ว่า Life Is On

ภารกิจของเราคือการเป็นพันธมิตรด้านดิจิทัลกับคุณ เพื่อสร้างประสิทธิภาพและความยั่งยืน

เราขับเคลื่อนการปฏิรูปสู่ดิจิทัล ด้วยการผสานรวมเทคโนโลยีชั้นนำของโลกด้านพลังงานและกระบวนการจัดการ เข้ากับผลิตภัณฑ์ตั้งแต่จุดเชื่อมต่อปลายทางไปยังคลาวด์ ระบบควบคุม รวมถึงซอฟต์แวร์และการบริการครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตการทำงานทั้งหมด เพื่อสร้างศักยภาพในการบริหารจัดการองค์กรแบบบูรณาการ ทั้งสำหรับบ้าน อาคาร ดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรม

เราคือบริษัทระดับโลกที่มีการดำเนินงานในระดับท้องถิ่นมากที่สุด เราสนับสนุนมาตรฐานระบบเปิดและระบบนิเวศของคู่ค้าที่มีความมุ่งมั่นแรงกล้าในการทำตามวัตถุประสงค์อย่างมีเป้าหมายร่วมกัน และคุณค่าในการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวพร้อมขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยกัน


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ควบ 2 รางวัล ในการนำพาอุตสาหกรรมมุ่งหน้าไปสู่นวัตกรรมเพื่อสร้างความยืดหยุ่นในการปฏิบัติงาน

เมื่อเร็วๆ นี้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันในการจัดการพลังงานและระบบออโตเมชัน ได้รับรางวัลผู้จำหน่ายระบบโครงสร้างสำคัญด้านพลังงานในเอเชียแปซิฟิกแห่งปี 2020 (2020 Asia-Pacific Critical Power Infrastructure Vendor of the Year) ควบรางวัลบริษัท UPS ในเอเชียแปซิฟิกแห่งปี 2020 (2020 Asia Pacific UPS Company of the Year) ที่มอบโดย Frost & Sullivan ทั้งนี้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้ชนะเลิศรางวัลในสาขาดังกล่าวมาโดยต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2012 และยังคงเสริมความแข็งแกร่งต่อไปอีกด้วยการเป็นผู้นำตลาดระดับโลกในเรื่องของโซลูชันดาต้าเซ็นเตอร์

ในการชนะเลิศรางวัลจาก Frost & Sullivan เมื่อเร็วๆ นี้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้รับเกียรติยศจากการพัฒนาสองสายผลิตภัณฑ์ นั่นคือ Galaxy ที่มุ่งเน้นที่ความน่าเชื่อถือของพลังงานกับเรื่องประสิทธิภาพด้านพลังงาน และ Easy UPS ที่พรั่งพร้อมไปด้วยคุณค่าและฟีเจอร์ที่มุ่งเน้นการใช้งานของลูกค้าเป็นหลัก ทั้งนี้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้มีการออกนวัตกรรมสำคัญอีกหลายอย่างสำหรับทั้งสองสายผลิตภัณฑ์ในปี 2019 โดย Galazy V-Series (VX, VM, VS) UPS เป็นโหมดปฏิบัติการแบบ ECOnversion ซึ่งให้ประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงถึง 99 เปอร์เซ็นต์ อย่างที่ไม่มีใครเทียบได้ โดยหนึ่งในประโยชน์หลักคืออินเวอร์เตอร์ ที่สามารถรองรับโหลดได้อย่างไร้รอยต่อในกรณีที่ระบบ utility bypass ล้มเหลว นอกจากนี้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังช่วยเพิ่มอายุการใช้งานให้กับระบบ UPS ถึงสามเท่าของอายุการใช้งานที่คาดการณ์ในส่วนทางเลือกที่เป็นแบตเตอรี่ VRLA ดังนั้นจึงช่วยลดค่าใช้จ่ายสุทธิในการเป็นเจ้าของได้สูงถึง 30-50 เปอร์เซ็นต์

“ลูกค้าของเราเป็นแรงบันดาลใจให้เราในทุกวัน ในการสร้างนวัตกรรมและเพิ่มศักยภาพให้กับทุกคนในการทำสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้นโดยใช้ทรัพยากรน้อยลง เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับการยกย่องจากทั่วโลกในความมุ่งมั่นพยายามของเราในเรื่องของประสิทธิภาพ ความยั่งยืน ความสามารถในการเชื่อมต่อ และความปลอดภัย โดยในการบรรลุการเติบโตอย่างยั่งยืนท่ามกลางการแข่งขันดุเดือดในตลาด เรามุ่งเน้นที่คุณภาพ และการสร้างความมั่นใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงการมองการณ์ไกลเพื่อสร้างความสำเร็จในยุคหลังการแพร่ระบาด” เบอนัวต์ ดูบาร์เลอ รองประธานอาวุโส ภาคพื้นเอเชียตะวันออกและญี่ปุ่น ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าว “ความยืดหยุ่นในการดำเนินงานและความพยายามในการเปลี่ยนระบบสู่ดิจิทัล ได้กลายเป็นแรงผลักให้เกิดวาระการประชุมขององค์กรเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ด้วยสถานภาพที่มั่นคงของเราในเรื่องเหล่านี้ เรามีความพร้อม รวมถึงกระตือรือร้นและมุ่งมั่นที่จะสร้างการเดินทางในเรื่องเหล่านี้ให้กับทั้งลูกค้าและคู่ค้าของเราในการก้าวสู่เน็กซ์นอร์มัล (Next Normal)” เบอร์นัวต์ กล่าวเสริม


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จับมือ วิทยาลัยเทคโนโลยีไออาร์พีซี เดินหน้าต่อยอดด้านการศึกษาสำหรับอุตสาหกรรมในอนาคต

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric) ลงนามความร่วมมือกับวิทยาลัยเทคโนโลยีไออาร์พีซี (IRPC Technological College) หรือ IRPCT โดยเป็นความร่วมมือทางวิชาการ โดยความร่วมมือในครั้งนี้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาและถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันสำหรับการจัดการพลังงาน และระบบออโตเมชัน ด้านวิศวกรรมไฟฟ้า พลังงาน และเมคคาทรอนิกส์ เพื่อช่วยเสริมความเข้มข้นด้านวิชาการให้วิทยาลัยเทคโนโลยีไออาร์พีซีสามารถพัฒนาทักษะด้านอุตสาหกรรม 4.0 ให้กับนักศึกษา ด้วยความเชี่ยวชาญระดับโลกด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเมชัน ที่ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก นอกจากนี้ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังมอบเทคโนโลยีแห่งอนาคต นวัตกรรมต่างๆ ที่ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้คิดค้นให้กับอาจารย์และนักศึกษาได้เรียนรู้ ซึ่งสามารถนำไปต่อยอดเป็นผลลัพธ์ด้านนวัตกรรมอันหลากหลายที่เป็นประโยชน์ในแวดวงอุตสาหกรรมและพลังงานในอนาคต

นายสเตฟาน นูสส์ ประธานกลุ่มคลัสเตอร์ ดูแลประเทศไทย ลาว และเมียนมา ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เผยว่า “ความต้องการทักษะด้านดิจิทัลเพิ่มขึ้นในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา โดยเทคโนโลยีในอุตสาหกรรม 4.0 กำลังเร่งการเปลี่ยนแปลงนี้ให้เร็วขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทักษะทางเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น การเขียนโปรแกรม นับเป็นที่ต้องการในตลาดอย่างมาก รวมไปถึงทักษะต่างๆ เช่น การคิดเชิงวิเคราะห์ การประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อนซึ่งจะได้รับความต้องการเพิ่มขึ้นในยุค 4.0 นี้เช่นกัน”

เพื่อตอบโจทย์ความต้องการใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรม มีความจำเป็นต้องมีบทบาทเชิงรุกในการยกระดับบุคลากรในอนาคต ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จึงมองเห็นว่าการสนับสนุนด้านการศึกษาจะช่วยพัฒนาทักษะของนักศึกษาในวันนี้ จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศในวันหน้าให้ตอบโจทย์ความต้องการในตลาดได้

แม้ทุกวันนี้จะมีความกังวลว่าระบบอัตโนมัติและเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรม 4.0 จะเข้ามาแทนที่งานแบบเดิม แต่จากที่ผ่านมาแสดงให้เห็นได้ว่า เทคโนโลยีเหล่านี้กลับช่วยเสริมความสามารถให้กับมนุษย์ และเพิ่มขีดความสามารถให้กับพนักงาน ซึ่งโรงงานอัจฉริยะจะใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ ช่วยในการทำงานอัตโนมัติที่ซ้ำซากจำเจ ในขณะที่ช่วยให้พนักงานสามารถมุ่งเน้นงานที่ต้องใช้เหตุผลและทักษะมากขึ้น

“นอกจากนี้ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ยังช่วยให้สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดได้เป็นอย่างดีอีกด้วย อย่างวิกฤติโควิด 19 ที่ทุกประเทศได้เผชิญหน้าอยู่ในขณะนี้ ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ทำให้สามารถรีโมทเข้าไปมอนิเตอร์ ควบคุมกระบวนการผลิต ช่วยให้ผู้ดูแลสามารถวิเคราะห์แนวโน้มการผลิต หรือสั่งให้กระบวนการเป็นไปโดยอัตโนมัติ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ช่วยเว้นช่องว่าง ระยะห่างในการพบปะกันระหว่างพนักงานได้อย่างดี และปลอดภัยได้ในทุกๆ กระบวนการในโรงงาน ถ้ามีการวางแผน และออกแบบการใช้งานเทคโนโลยีที่ถูกต้องและเหมาะสม”

เกี่ยวกับชไนเดอร์ อิเล็คทริค

เป้าหมายหลัก ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค คือการช่วยให้ทุกคนใช้พลังงานและทรัพยากรได้เกิดประโยชน์สูงสุด เชื่อมโยง ความก้าวหน้าและความยั่งยืนเพื่อประโยชน์ของทุกคน เราเรียกสิ่งนี้ว่า Life Is On

ภารกิจของเรา คือ การเป็นพันธมิตรด้านดิจิทัล เพื่อสร้างประสิทธิภาพและความยั่งยืน

เราขับเคลื่อนการปฏิรูปสู่ดิจิทัลด้วยการผสานรวมเทคโนโลยีชั้นนำของโลกด้านพลังงานและกระบวนการจัดการ เชื่อมต่อจากปลายทางไปยังคลาวด์ เชื่อมโยงผลิตภัณฑ์ ระบบควบคุม รวมถึงซอฟต์แวร์และการบริการครอบคลุมตลอดวงจรการทำงานทั้งหมด เพื่อสร้างศักยภาพสูงสุดในการบริหารจัดการองค์กร สำหรับที่อยู่อาศัย อาคาร ดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรม

เราคือบริษัทระดับโลกที่มีการดำเนินงานในระดับท้องถิ่นมากที่สุด เราสนับสนุนมาตรฐานระบบเปิดและสนับสนุนกลยุทธ์การสร้างระบบนิเวศของคู่ค้าซึ่งมีความมุ่งมั่นในการทำตามวัตถุประสงค์อย่างมีเป้าหมายร่วมกัน


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric) ใช้ AI ช่วยให้คำปรึกษาและติดตั้งระบบ เร่งหนุนลูกค้าใช้โปรแกรมด้านพลังงาน ความยั่งยืน

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค(Schneider Electric) ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันในการจัดการพลังงานและระบบออโตเมชัน ประกาศผลที่ได้จากการลงทุนครั้งใหม่หลายล้านเหรียญในส่วนเครื่องมือด้านแมชชีนเลิร์นนิ่งและวิทยาศาสตร์ข้อมูล การลงทุนครั้งนี้เป็นการนำ AI มาช่วยในการให้คำปรึกษาเพื่อนำเสนอบริการด้านพลังงานและความยั่งยืน ช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงเครื่องมือดิจิทัลระดับเน็กซ์เจน ช่วยปรับปรุงมุมมองเชิงลึกและการวิเคราะห์ในส่วนของพอร์ตด้านพลังงานและความยั่งยืนของบริษัท อีกทั้งช่วยผลักดันผลลัพธ์ที่ให้ประสิทธิภาพมากขึ้นทั้งด้านการเงินและการสร้างคุณค่าให้กับองค์กร เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นด้านสภาพอากาศและดำเนินตามเป้าหมายที่เกี่ยวข้องกับการลดการใช้ทรัพยากรอื่นๆ

การลงทุนดังกล่าวช่วยให้ใช้ทรัพยากรในองค์กรได้อย่างเหมาะสมมีประสิทธิภาพ และช่วยลดข้อมูลระหว่างที่มีการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและพลังงานครั้งใหญ่ในทั่วโลก บริษัทส่วนใหญ่ในปัจจุบันยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายด้านข้อมูลที่จำกัดแนวทางในการสร้างความยั่งยืน โดยบริษัทเหล่านี้ต่างต้องพยายามรับมือกับค่าใช้จ่ายด้านข้อมูลและการใช้ทรัพยากรที่ไม่สอดคล้อง ไม่สมบรูณ์ ในปริมาณที่มากเกินไป และมีคุณภาพต่ำ ซึ่งการนำ AI มาใช้ช่วยให้บริษัทต่างๆ ได้รับคุณค่าจากข้อมูลที่สร้างได้มากยิ่งขึ้น และให้การวิเคราะห์ที่แม่นยำขึ้น มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อใช้เป็นพื้นฐานสำหรับกลยุทธ์ด้านพลังงานและความยั่งยืน

การเสริมแมชชีนเลิร์นนิ่งและข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ไว้ในบริการการให้คำปรึกษาด้านพลังงานและความยั่งยืน เป็นความเชี่ยวชาญที่สืบทอดมายาวนานนับหลายทศวรรษของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ช่วยต่อยอดแนวทางของลูกค้าในการจัดหาและเลือกซื้อพลังงานรวมถึงบริหารจัดการทรัพยากรได้เป็นอย่างดี การลงทุนในเทคโนโลยีดังกล่าวจะช่วยเพิ่มศักยภาพให้ลูกค้า โดยช่วยให้ได้รับประโยชน์จากความสามารถในการคาดการณ์ได้ดียิ่งขึ้นและช่วยเพิ่มมุมมองเชิงลึก การยกระดับความสามารถเหล่านี้จะช่วยให้ลูกค้าเปลี่ยนข้อมูลเป็นมุมมองเชิงลึกที่มีค่าได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ให้คำแนะนำได้ตรงประเด็นต่อความต้องการของลูกค้ามากขึ้น และให้การสนับสนุนลูกค้าเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการรักษาสภาพแวดล้อมได้ในระยะยาว นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังสามารถสรุปได้อย่างมั่นใจถึงการช่วยลดค่าใช้จ่าย บริหารจัดการความเสี่ยง ช่วยเก็บเกี่ยวโอกาส และสร้างความยืดหยุ่นให้กับกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน

“เราเห็นโอกาสมหาศาลจากการนำข้อมูลและมุมมองเชิงลึกที่สร้างโดยองค์กรปัจจุบันมาใช้ เพื่อให้ได้รับสิ่งที่มากกว่าแค่เรื่องประโยชน์ในการดำเนินงาน เมื่อผสานรวมข้อมูลดังกล่าวกับความเชี่ยวชาญของทีมงานระดับโลก สามารถนำมาต่อยอดแนวทางในการสร้างความยั่งยืนขององค์กรได้อย่างโดดเด่น” สตีฟ วิลไฮท์ รองประธานอาวุโส ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าว “แนวทางการผสานระหว่างสติปัญญาของมนุษย์กับจักรกล เป็นที่พิสูจน์แล้วว่ามีการนำมาประยุกต์ใช้กับการบริการด้านการเงิน และที่ปรึกษาด้านธุรกิจแบบเดิมแล้ว โดยเราพบว่าความชาญฉลาดในการประสานความร่วมมือที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ร่วมกับที่ปรึกษาระดับโลก ช่วยให้ลูกค้าของเราสร้างข้อได้เปรียบทางการแข่งขันที่ตั้งอยู่บนรากฐานของความยั่งยืนได้”

การลงทุนของบริษัทในบริการระดับเน็กซ์เจนนี้นำไปสู่โอกาสใหม่สำหรับลูกค้าในทุกอุตสาหกรรม ในขณะเดียวกันก็ช่วยเสริมการนำเสนอที่มีอยู่ปัจจุบัน เช่น โซลูชัน EcoStruxure Resource AdvisorÔ ซึ่งให้ความสามารถในเรื่องต่างๆ ต่อไปนี้

· จับคู่ข้อมูลได้ตรงกับข้อเสนอแนะที่ช่วยเร่งตอบโจทย์เฉพาะสำหรับลูกค้าได้มากขึ้น

· การต่อยอดครั้งใหม่ที่ช่วยให้บริหารแหล่งพลังงานทางเลือกที่กระจายอยู่ตามที่ต่างๆ (DERs) ความเสี่ยงราคาสินค้า และอุปกรณ์เชื่อมต่อได้ดียิ่งขึ้น

· เพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการเก็บรวบรวมข้อมูล ไม่ว่าจะเป็น Robotic Process Automation ที่ช่วยให้มองเห็นข้อผิดพลาด และตรวจพบโอกาสใหม่ในการประหยัดค่าใช้จ่ายได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึงมากกว่าแต่ก่อน

· ช่วยให้พอร์ตด้านพลังงานมีความน่าเชื่อถือและมีความยืดหยุ่นแบบเรียลไทม์มากยิ่งขึ้น

· ให้มุมมองที่ดูได้จากมือถือที่เข้าถึงข้อมูลได้ตลอดทุกเวลา

“การลงทุนนี้เป็นผลจากการรับฟังและตอบสนองความต้องการของลูกค้า พร้อมกับการลงทุนในเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า ผลลัพธ์ที่ได้คือเฟรมเวิร์คการทำงานที่ช่วยให้เราตอบสนองความต้องการด้านพลังงานและประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร รวมถึงระบบการจัดซื้อของบริษัทรายใหญ่ในแนวทางที่รวมเป็นหนึ่งเดียวสำหรับลูกค้า” วิลไฮท์ กล่าว “นอกจากนี้ ยังช่วยให้ทีมงานมีเวลาว่างสำหรับไปติดต่อกับลูกค้าของเราได้มากยิ่งขึ้น การทำให้กระบวนการด้านข้อมูลเป็นระบบอัตโนมัติและแสดงผลลัพธ์ของลูกค้าออกมาเป็นภาพเคลื่อนไหวได้อย่างล้ำหน้านี้ จะช่วยเสริมและเร่งสู่การตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น ทีมงานของเราสามารถนำเสนอโซลูชันที่มีนวัตกรรมมากขึ้น เร็วขึ้น และให้ความยั่งยืนมากขึ้นในยุคที่สภาพอากาศเป็นเรื่องเร่งด่วน โดยให้ผลพลอยได้เรื่องผลกำไรที่เพิ่มขึ้นและให้ประโยชน์สำหรับทุกฝ่าย” Hashtags: #LifeIsOn #Sustainability

เกี่ยวกับชไนเดอร์ อิเล็คทริค

เป้าหมายหลัก ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค(Schneider Electric) คือการช่วยให้ทุกคนใช้พลังงานและทรัพยากรได้เกิดประโยชน์สูงสุด เชื่อมโยง ความก้าวหน้าและความยั่งยืนเพื่อประโยชน์ของทุกคน เราเรียกสิ่งนี้ว่า Life Is On

ภารกิจของเรา คือ การเป็นพันธมิตรด้านดิจิทัล เพื่อสร้างประสิทธิภาพและความยั่งยืน

เราขับเคลื่อนการปฏิรูปสู่ดิจิทัลด้วยการผสานรวมเทคโนโลยีชั้นนำของโลกด้านพลังงานและกระบวนการจัดการ เชื่อมต่อจากปลายทางไปยังคลาวด์ เชื่อมโยงผลิตภัณฑ์ ระบบควบคุม รวมถึงซอฟต์แวร์และการบริการครอบคลุมตลอดวงจรการทำงานทั้งหมด เพื่อสร้างศักยภาพสูงสุดในการบริหารจัดการองค์กร สำหรับที่อยู่อาศัย อาคาร ดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรม

เราคือบริษัทระดับโลกที่มีการดำเนินงานในระดับท้องถิ่นมากที่สุด เราสนับสนุนมาตรฐานระบบเปิดและสนับสนุนกลยุทธ์การสร้างระบบนิเวศของคู่ค้าซึ่งมีความมุ่งมั่นในการทำตามวัตถุประสงค์อย่างมีเป้าหมายร่วมกัน


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัว Uniflair Ceiling Mounted Split แอร์สำหรับห้องดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดเล็ก ประหยัดพลังงาน เย็นต่อเนื่องสำหรับอุปกรณ์ไอทีโดยเฉพาะ

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัว Uniflair Ceiling Mounted Split แอร์สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดเล็กโดยเฉพาะ ได้รับการออกแบบสำหรับการทำความเย็นในห้องดาต้าเซ็นเตอร์ หรือห้องไอทีขนาดเล็ก ที่มีการติดตั้งตู้แร็ค 2 ตู้ขึ้นไป ทนทาน ทำความเย็นได้ต่อเนื่อง 24×7 โดยไม่ต้องพักเครื่อง ให้ความแม่นยำในการควบคุมและตรวจจับอุณหภูมิได้ละเอียดกว่าแอร์ทั่วไป มาพร้อมแผงคอยล์เย็นและพัดลมขนาดใหญ่กว่าแอร์ทั่วไปถึง 1.5 เท่า ให้สามารถจัดการกับความร้อนที่เพิ่มขึ้นแบบฉับพลันและความร้อนที่มีความหนาแน่นสูงในตู้แร็ค จากอุปกรณ์ไอทีเช่น เซิร์ฟเวอร์ สตอเรจ อุปกรณ์เครือข่าย ช่วยคงอุณหภูมิของอุปกรณ์ไอทีไม่ให้ร้อนเกินขีดจำกัดที่ตั้งไว้ ทั้งยังลดการเกิดการควบแน่นโดยไม่จำเป็น อันเป็นสาเหตุของความชื้น และยังช่วยประหยัดพลังงานได้ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ด้วยการทำความเย็นแบบเฉพาะ ที่สามารถแยกแยะความชื้นสัมพัทธ์หรือมวลไอน้ำในอากาศ เมื่อความชื้นอยู่ในจุดที่เหมาะสม แอร์จะไม่ดูดความชื้น แต่จะให้ประสิทธิภาพในการทำความเย็นเพียงอย่างเดียว ช่วยให้ประหยัดพลังงานได้มากว่าแอร์ทั่วไป

นอกจากนี้ Uniflair Ceiling Mounted Split ยังมาพร้อมเทคโนโลยีการมอนิเตอร์อัจฉริยะ สามารถดูสถานะค่าต่างๆ เฉพาะตัว ผ่านเว็บเบส เมื่อเกิดปัญหา แอร์จะส่งข้อความแจ้งเตือนเข้าอีเมล หรือข้อความบนสมาร์ทโฟน เช่น เมื่อเกิดความร้อนสูงผิดปกติภายในห้อง หรือแอร์มีปัญหา เช่น คอมเพลสเซอร์หรือพัดลมทำงานผิดปกติ กระแสไฟเกิน ฯลฯ ช่วยให้ง่ายในการแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที สำหรับฝ่ายซ่อมบำรุง นอกจากนี้เมื่อแอร์เกิดขัดข้อง ระบบอัจฉริยะจะสลับเปิดเครื่องแอร์สำรองโดยอัตโนมัติ ด้วยเทคโนโลยีสมาร์ทคอนโทรลของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ทำให้มั่นใจได้ว่า อุปกรณ์ไอทีจะมีความเย็นหล่อเลี้ยงอยู่เสมอ มีให้เลือกทั้งขนาด 7KW (24000 BTU) และ 14 KW (48000 BTU) ในราคาสุดคุ้ม

Uniflair Ceiling Mounted Split ยังใช้งานรองรับการใช้งานร่วมกับ EcoStruxure IT จากชไนเดอร์ อิเล็คทริคได้ หากต้องการมอนิเตอร์ และรีโมทควบคุมระยะไกลโดยไม่ต้องเข้าไปที่ไซต์งาน ให้ความสะดวกและลดระยะเวลาในการดำเนินงานได้ตามแบบฉบับยุค Next normal


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัวโซลูชั่นดาต้าเซ็นเตอร์พร้อมใช้

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric) เปิดตัว APC EDGE MicroDC 42U ไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ ขนาด 42 U รับตลาดการใช้งานแบบ เอดจ์ (EDGE) ที่โตขึ้น พร้อมไฮไลท์ “ความพร้อมใช้งานได้ทันที” สำหรับธุรกิจโรงงาน สถาบันการศึกษา ไซต์งานอุตสาหกรรม อาคาร โรงพยาบาล ฯลฯ มาครบ 3 โซลูชั่น Standard Solution สำหรับการใช้งานแบบทั่วไป Self-Contained Solution สำหรับอาคารที่ไม่สามารถเดินท่อ หรือติดตั้ง Outdoor unit ได้ High density solution สำหรับใช้งานในพื้นที่หรือไซต์งานที่ต้องการรองรับโหลดจำนวนมาก ทั้ง 3 โซลูชั่น ที่มุ่งตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่าง และช่วยทำลายข้อจำกัดในการติดตั้งในแต่ละพื้นที่ โดดเด่นด้วยขุมพลังที่จัดเต็มด้วยเทคโนโลยีเฉพาะของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่ครบครันภายในตู้แร็ค เพียงติดตั้งเซิร์ฟเวอร์หรือสตอเรจก็ใช้งานได้ทันที มั่นใจได้เรื่องประสิทธิภาพในการใช้งาน เพราะประกอบและติดตั้งโดยผู้เชี่ยวชาญจากชไนเดอร์ อิเล็คทริค ซึ่งในโซลูชั่นประกอบไปด้วย ตู้แร็ค ที่ให้ความแข็งแกร่ง คงทน มาพร้อมระบบ คอนเทนเม้นต์ โซลูชั่น ภายในมีระบบสำรองไฟ(UPS) ระบบออนไลน์ แบบเข้าตู้แร็คกว้าง 19 นิ้ว สูงเพียง 2U ล้ำหน้าด้วยความสามารถในการรีโมทมอนิเตอร์ได้และสามารถติดตั้งแบตเตอรี่เพิ่มเติมได้ถึง 10 แพค ภายนอก เพื่อการสำรองไฟที่ยาวนาน ระบบทำความเย็นอัจฉริยะของชไนเดอร์ อิเล็คทริค สามารถมอนิเตอร์และแจ้งเตือนสถานะได้ สามารถทำงานคู่กับพัดลมระบบอากาศอัจฉริยะแบบ 4 ใบพัด เมื่อแอร์หยุดทำงาน หรือไฟตก ไฟดับ หรือขณะซ่อมบำรุง นอกจากนี้ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังจัดเซตภายตู้แร็คทุกโซลูชั่น ด้วย NetBotz โซลูชั่น เพิ่มความปลอดภัยและความมั่นใจในการใช้งาน ด้วยไฟแจ้งเตือนเมื่อเกิดปัญหาต่างๆ รวมถึงระบบเซ็นเซอร์ ตรวจจับอุณหภูมิ ความชื้น หยดน้ำ ตรวจจับควันไฟ การเปิด-ปิดประตู และเหนือชั้นกว่าใครด้วยการเชื่อมต่อกับพลังงานได้ง่ายด้วยปลั๊กรางอัจฉริยะ Intelligent Rack PDU แบบมิเตอร์ ให้ความสามารถการมอนิเตอร์ และวัดค่าพลังงาน ผ่านทางเว็บเบสท์ โดยไม่เปลืองพื้นที่ในแร็ค เพราะเป็นแบบ Zero U นอกจากนี้ยังมีแบลงกิ้งพาแนล (Blanking panel) ช่วยให้บริหารจัดการการไหลเวียนของอากาศภายในตู้แร็ค เพื่อได้รับอากาศเย็นได้ทั่วถึงอุปกรณ์ภายในตู้ ที่สำคัญโซลูชั่นนี้มาพร้อม EcoStruxure IT เทคโนโลยียอดนิยมของชไนเดอร์ อิเล็คทริค แห่งยุคนี้ สามารถมอนิเตอร์ อุปกรณ์อัจฉริยะภายในได้ในแอปพลิเคชั่นเดียวบนสมาร์ทโฟน ไม่ว่าจะเป็นพลังงาน ระบบทำความเย็น และอุปกรณ์ต่างๆ ภายในตู้แร็ค ช่วยลดความยุ่งยากและเพิ่มความปลอดภัยในการเข้าถึงเอจด์ไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ได้ทุกที่ทุกเวลา ทำลายข้อจำกัดต่างๆ ที่เคยมี นับเป็นโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ ยุค Next Normal ได้อย่างแท้จริง โซลูชั่น EDGE MDC 42U ยังมาพร้อมการรับประกันยาวนานถึง 3 ปี ในแบบออนไซต์เซอร์วิส

EDGE MicroDC 42U มีให้เลือก 3 โซลูชั่น แต่ละโซลูชั่นให้ความแตกต่างตามการใช้งาน และสามารถทำงานร่วมกับ EcoStruxure IT ได้ สะดวกในการรีโมทมอนิเตอร์ระยะไกล และการแจ้งเตือนเมื่อเกิดปัญหาในอุปกรณ์ต่างๆ ได้แก่

Standard Solution โซลูชั่นมาตรฐานครบจบในหนึ่งเดียว เหลือพื้นที่หลังจากติดตั้งอุปกรณ์ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ให้ใช้งานถึง 33 U โซลูชั่นนี้โดดเด่นด้วยระบบทำความเย็นภายในตู้แร็ค Uniflair™ RM ให้ความเย็นได้สูงถึง 3.5 kW ให้ความเย็นไหลเวียนภายในทั่วทั้งแร็ค ช่วยประหยัดพลังงาน มาพร้อมระบบสำรองไฟหรือ UPS ขนาด 2.7 กิโลวัตต์ สำรองไฟให้เซิร์ฟเวอร์ สตอเรจได้ราว 4 นาที สามารถติดตั้งแบตเตอรี่เพิ่มเติมได้ถึง 10 แพค ภายนอก เพื่อระยะเวลาการสำรองไฟได้ยาวนานขึ้น เหมาะสำหรับการใช้งานอาทิ สำนักงานสาขา โรงแรม หรือไซต์งานที่มีพื้นที่จำกัด

Self-Contained Solution เป็น EDGE MicroDC 42U ที่มีความโดดเด่นในการติดตั้งที่ใดก็ได้ จบในจุดเดียวโดยไม่ต้องเดินท่อน้ำยาแอร์ ไม่ต้องติดตั้ง outdoor unit สำหรับอาคารที่มีข้อจำกัดในการต่อเติม หรือเดินท่อต่างๆ ซึ่งโซลูชั่นนี้โดดเด่นด้วยระบบแอร์แบบ InRow SC ขนาดตู้หน้ากว้างเพียง 300 มิลลิเมตร ระบายความร้อนออกสู่ด้านบน ทำให้ภายในตู้แร็คเย็นครบทุกอุปกรณ์ หรือสามารถต่อท่อเพื่อระบายความร้อนออกไปนอกอาคารได้ (กรณีพื้นที่ติดตั้งมีเพดานไม่สูงมาก) ให้ความเรียบง่ายในการดูแลรักษา และประหยัดพื้นที่ เหมาะสำหรับเป็นตู้เซิร์ฟเวอร์ควบคุมหุ่นยนต์ หรืออยู่บนอาคารสูง เนื่องจากเป็นโซลูชั่นที่กระจายความเย็นจากด้านข้าง ทำให้ไม่เสียพื้นที่ในตู้แร็ค ทำให้มีพื้นที่เหลือจากจากติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ถึง 38 U มาพร้อม UPS ขนาด 4.5 กิโลวัตต์ สำรองไฟได้ราว 4 นาที สามารถติดตั้งแบตเตอรี่เพิ่มเติมได้ถึง 10 แพคภายนอก และมาพร้อมอุปกรณ์อื่นๆ ครบชุด

High density solution มาพร้อมระบบทำงานเย็นเหนือชั้น InRow RD ขนาดตู้หน้ากว้างเพียง 300 มิลลิเมตร สามารถทำความเย็นให้กับอุปกรณ์ไอทีได้ถึง 10 กิโลวัตต์ InRow RD เป็นโซลูชั่นแบบประกบข้างตู้ ทำให้ประหยัดพื้นที่ในตู้แร็ค ทำให้เหลือพื้นที่ใช้งานภายในตู้ในการใส่เซิร์ฟเวอร์ หรือสตอเรจ ได้เต็มที่ถึง 38 U เหมาะสำหรับการใช้งานในพื้นที่ที่มีการรับส่งข้อมูลที่มีโหลดสูงๆ เป็นประจำ มาพร้อม UPS ขนาด 4.5 KW สามารถติดตั้งแบตเตอรี่เพิ่มเติมได้ถึง 10 แพคภายนอก สำหรับการสำรองไฟที่ยาวนาน ทางผู้ใช้งานยังสามารถเพิ่มเครื่องสำรองไฟฟ้า เพิ่มเติมได้ด้วย รวมทั้งหมดไม่เกิน 10 กิโลวัตต์ ในชุดมาพร้อม อุปกรณ์ต่างๆ ที่มีมาให้ครบชุด เรียกได้ว่าโซลูชั่นนี้มั่นใจได้ถึงประสิทธิภาพเหมือนดาต้าเซ็นเตอร์ขนาดใหญ่

โซลูชั่นเอดจ์ ไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ 42 U ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ใช้งานง่าย จัดเต็มขุมพลังเทคโนโลยีการควบคุมระยะทั้ง UPS ระบบทำความเย็น และยังมาพร้อม EcoStruxure IT ที่ช่วยให้สามารถมอนิเตอร์การทำงานได้ทั้งระบบ นับเป็นนวัตกรรมดาต้าเซ็นเตอร์แบบย่อส่วนสำหรับทุกธุรกิจที่ต้องการในราคาที่ไม่สูง ไม่ต้องกั้นห้อง ไม่ต้องลงทุนสร้างห้องดาต้าเซ็นเตอร์เอาไว้ ด้วยนวัตกรรม EcoStruxure ทำให้ โซลูชั่นเอดจ์ ไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ 42 U ช่วยลดค่าใช้จ่ายทั้ง CapEx และ OpEx ได้อย่างมีประสิทธิภาพ


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

รายงานวิจัยล่าสุดจาก 451 Research แจงผลกระทบด้านประสิทธิภาพและความยั่งยืนในตลาดผู้ให้บริการคลาวด์ โคโลเคชั่น และดาต้าเซ็นเตอร์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric) ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นในการจัดการพลังงาน และออโตเมชั่น เผยผลการศึกษาชิ้นใหม่จาก 451 Research ที่เป็นงานวิจัยส่วนหนึ่งของ S&P Global Market Intelligence เพื่อหาผลกระทบของประสิทธิภาพและความยั่งยืนต่อแวดวงธุรกิจผู้ให้บริการคลาวด์ โคโลเคชั่น และดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งในรายงานที่ออกมาเมื่อเร็วๆ นี้ ครอบคลุมข้อมูลเชิงลึกที่ได้จากการสำรวจผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ทั่วโลกมากกว่า 800 ราย เกี่ยวกับมุมมองด้านความยั่งยืนและความคิดริเริ่มเชิงกลยุทธ์ ที่กำลังนำมาปรับใช้หรือจะมีการใช้ในอนาคต นอกจากนี้ ยังมีการกล่าวถึงสิ่งจำเป็นเพื่อให้บรรลุมาตรการด้านความยั่งยืนสำหรับผู้ให้บริการโคโลเคชั่น

“รายงานจาก 451 Research นำเสนอภาพรวมของประสิทธิภาพและความยั่งยืนที่มีอิทธิพลต่อตลาดโคโลเคชั่น” มาร์ค ไบดินเกอร์ ประธานภาคธุรกิจคลาวด์และผู้ให้บริการ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าว “ผู้ประกอบการดาต้าเซ็นเตอร์สำหรับผู้เช่าหลายราย (Multi-tenant data center) สามารถนำข้อมูลจากรายงานไปใช้เป็นตัวช่วยในการประเมินช่องว่างในการปรับใช้งานและการใช้ทรัพยากร ตลอดจนความเสี่ยงที่จะเกิดหากไม่ได้ดำเนินการในเรื่องนี้”

ในการจัดทำรายงาน Multi-tenant data centers and sustainability: ambitions and reality นั้น 451 Research ได้จัดทำสำรวจผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านไอที ซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบต่อกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนของดาต้าเซ็นเตอร์ ทั้งโคโลเคชั่น (Colocation) และดาต้าเซ็นเตอร์ในแบบ wholesale โดยผู้ตอบแบบสอบถามดำเนินธุรกิจอยู่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลกไม่ว่าจะเป็น สหรัฐอเมริกา จีน อินเดีย ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร เม็กซิโก บราซิล ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ซาอุดิอาราเบีย สวีเดน เดนมาร์ก ฯลฯ โดยเป็นบริษัทที่มีจำนวนพนักงานตั้งแต่ 10 จนถึงมากกว่าหมื่นคน และมีขนาดดาต้าเซ็นเตอร์ตั้งแต่ไม่ถึง 1 เมกะวัตต์ จนถึงมากกว่า 150 เมกะวัตต์

“ทั้งประสิทธิภาพและความยั่งยืนของดาต้าเซ็นเตอร์ ถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับภาคธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์อยู่แล้ว และการสำรวจของเราแสดงให้เห็นว่าผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์สำหรับผู้เช่าหลายราย (Multi-tenant data center) ทั่วโลกต่างจัดว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่มีลำดับความสำคัญสูง” แดเนียล บิโซ นักวิเคราะห์งานวิจัยอาวุโส ของ 451 Research ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ S&P Global Market Intelligence กล่าว “สุดท้าย ความคาดหวังจากลูกค้า ผู้กำกับดูแล และสาธารณชน ในภาคใหญ่จะยิ่งกลายเป็นความกดดันมากขึ้นเนื่องจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศชัดเจนมากขึ้น และเมื่อระบบโครงสร้างดาต้าเซ็นเตอร์ทั่วโลกเติบโตขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการใช้บริการระบบดิจิทัลมากขึ้น ความสนใจเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน”

Portrait of African American woman working as IT engineer and standing among server racks in data center room

ประเด็นสำคัญของรายงานเกี่ยวกับความยั่งยืน
รายงานได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับระดับความพร้อมของผู้ให้บริการโคโลเคชั่นทั่วโลกพร้อมกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน และประเด็นสำคัญมีดังต่อไปนี้

• ผู้ตอบสำรวจส่วนใหญ่ (57 เปอร์เซ็นต์) เชื่อว่าประสิทธิภาพและความยั่งยืนจะเป็นปัจจัยสำคัญที่สร้างความแตกต่างอย่างมากในเวลา 3 ปี ซึ่งเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่อยู่ที่ 26 เปอร์เซ็นต์

• มีผู้ตอบสำรวจเพียง 43 เปอร์เซ็นต์ ที่กล่าวว่าตัวเองมีโครงการริเริ่มเชิงกลยุทธ์เรื่องความยั่งยืน และทำให้ระบบโครงสร้างขององค์กรมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น

• ปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนโปรแกรมด้านประสิทธิภาพและความยั่งยืนได้แก่

o ความคาดหวังของลูกค้า (50 เปอร์เซ็นต์)

o ความยืดหยุ่นในการดำเนินงานในระยะยาว (40 เปอร์เซ็นต์)

o แนวทางในการกำกับดูแล (36 เปอร์เซ็นต์)

• 97 เปอร์เซ็นต์ของผู้ให้บริการมีลูกค้าระหว่างไม่กี่ราย หรือมีลูกค้าทั้งหมด ที่กำลังมองหาข้อผูกพันตามสัญญาเรื่องแนวทางปฏิบัติด้านความยั่งยืน

• มีเพียง 56 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่เข้าร่วมสำรวจกล่าวว่าได้มีการตรวจสอบระบบปฏิบัติการ และที่เหลือกล่าวว่าไม่ได้ออกรายงานเพื่อติดตามมาตรการเหล่านี้ (การใช้งานเต็มประสิทธิภาพ การใช้พลังงาน ค่า PUE ฯลฯ) นอกจากนี้ ราวหนึ่งในสามได้มีการติดตามความเข้มของคาร์บอนในทุกไซต์งาน

พลังงานและระบบทำความเย็นในดาต้าเซ็นเตอร์ ถูกหยิบยกว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยปรับปรุงเรื่องความยั่งยืน
เมื่อเป็นเรื่องของความยังยืน รายงานพบว่าผู้ประกอบการดาต้าเซ็นเตอร์แบบมีผู้เช่าหลายราย มีบางอย่างที่เหมือนกัน โดยในสองประเด็นหลักมีดังต่อไปนี้

• ส่วนการดำเนินงานหลักที่ต้องปรับปรุงเรื่องความยั่งยืน ได้แก่

o กระจายพลังงานในดาต้าเซ็นเตอร์ได้อย่างเหมาะสมเต็มประสิทธิภาพ

o การอัพเกรดระบบโครงสร้างด้านการกระจายพลังงานในดาต้าเซ็นเตอร์

o การให้ประสิทธิภาพด้านการทำความเย็นในดาต้าเซ็นเตอร์ได้อย่างเหมาะสม

o การอัพเกรดระบบโครงสร้างด้านการทำความเย็นในดาต้าเซ็นเตอร์

• มาตรวัดเพื่อแจ้งเรื่องความยืดหยุ่น เป็นองค์ประกอบสำคัญของแนวทางปฏิบัติด้านความยั่งยืนโดยมุ่งเน้นในการที่สิ่งอำนวยความสะดวกในดาต้าเซ็นเตอร์ใช้พลังงาน น้ำและทรัพยากรอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ การซ่อมบำรุงผลิตภัณฑ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการปรับปรุงการทำงานให้มีความทันสมัยนับเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยขยายการใช้สิ่งอำนวยความสะดวกในดาต้าเซ็นเตอร์ได้อย่างเหมาะสมเต็มประสิทธิภาพตลอดช่วงอายุการทำงาน ควบคู่ไปกับการใช้ DCIM และซอฟต์แวร์เพื่อคาดการณ์และตรวจสอบการทำงานของระบบรวมถึงประสิทธิภาพของทรัพยากร

ดาวน์โหลดรายงานได้ฟรี เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติม
ดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็มของ 451 Research ได้ที่ Multi-tenant data centers and sustainability: ambitions and reality.

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค มุ่งมั่นในการนำแนวทางแบบบรูณาการมาช่วยสร้างความยั่งยืนครอบคลุมการดำเนินงาน ศักยภาพ การตัดสินใจ และกลยุทธ์ของเรา คลิก ที่นี่ เพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนในการดำเนินงาน


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัวสวิตช์ปลั๊กโฉมใหม่ AvatarOn A ติดตั้งง่าย ครบทุกความต้องการในแบรนด์เดียว

กรุงเทพ- 5พฤศจิกายน 2563: ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัวสวิตช์ไฟและเต้ารับรุ่นใหม่ AvatarOn A ดีไซน์ระดับพรีเมี่ยม แบบไร้กรอบ เรียบหรู ดูดี ลงตัวในทุกดีไซน์ ครบทุกความต้องการสำหรับที่พักอาศัยเจนเนอร์เรชั่นใหม่ ให้ความปลอดภัยสูง สามารถปรับแต่งรวมสวิตช์และเต้ารับได้หลากหลายรูปแบบตามลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกันในแต่ละห้อง แต่ละพื้นที่ มาพร้อมเทคโนโลยีอีซี่คลิป(Easy Clip) ช่วยให้ติดตั้งง่าย AvatarOn A ยังผลิตจากวัสดุคุณภาพสูง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และได้รับมาตรฐาน IEC (International Electro technical Commission)

นายกุศล กุศลส่ง รองประธาน Home& Distributions ดูแลกลุ่มคลัสเตอร์ ประเทศไทย ลาว และเมียนมา เผยว่า สังคมและยุคสมัยเปลี่ยนไป ผลิตภัณฑ์ต้องรองรับการเปลี่ยนรูปแบบในการใช้ชีวิตของผู้บริโภคเป็นหลัก ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จึงให้ความสำคัญด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์กลุ่มสวิตช์และเต้ารับให้สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้อย่างครอบคลุม และให้ความปลอดภัยแก่ผู้ใช้งาน AvatarOn A นับเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของสวิตช์ไฟและเต้ารับ ที่จะเข้ามาเติมเต็มการใช้ชีวิตและการพักผ่อนในบ้านได้อย่างสมบูรณ์แบบ ให้ความยืดหยุ่นในการใช้งาน โดยสามารถเลือกจับคู่ประเภทของสวิตช์และเต้ารับให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งานแต่ละคน กิจกรรมในแต่ละห้องหรือแต่ละพื้นที่ เช่น การผสมระหว่างโมดูลชาร์จ USB กับปุ่มไฟหรี่และปุ่มควบคุมพัดลมบริเวณหัวนอนเพื่อสะดวกในการใช้งานสิ่งต่างๆ โดยไม่ต้องลุกจากที่นอน โดยใน 1 เต้าสามารถใส่ได้สูงสุดถึง 3 โมดูล นอกจากนี้สวิตช์ไฟของเรายังมีความโดดเด่นด้วยเสียงคลิกที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ถึงความปลอดภัยทุกครั้งที่กด ด้วยการออกแบบภายในที่ไม่เหมือนใคร มีการขยายระยะห่างระหว่างจุดสัมผัสภายในสวิตช์ เพื่อลดความเสี่ยงจากความเสียหายที่เกิดจากแรงดันไฟฟ้าที่สูงแบบเฉียบพลันอีกด้วย AvatarOn A จึงถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ที่อยู่อาศัยยุคใหม่ได้ดีทีเดียว ด้วยการออกแบบที่ไม่ได้แค่เพียงสวยงาม แต่ให้ความปลอดภัย พร้อมๆ กับโมดูลที่สามารถเลือกให้รวมอยู่ในเต้าเดียวกันได้ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในการติดตั้งเต้าแยก หรือต้องเจาะผนังจำนวนมาก”

AvatarOn A นับเป็นแรงสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในอีโคซิสเต็มแบบ 360 องศา ทั้งผู้พักอาศัย สถาปนิก เจ้าของโครงการหมู่บ้าน คอนโด และช่างไฟ ทั้งยังหาซื้อง่ายตามร้านขายวัสดุก่อสร้าง ร้านขายอุปกรณ์ไฟฟ้า ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ มีสีให้เลือกถึง 3 เฉดสี ได้แก่ สีขาว สีเทา และสีดำ มีโมดูลต่างๆ ให้เลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นโมดูลสวิตช์ที่มีให้เลือกถึง 4 แบบ 3 ขนาด โมดูลเต้ารับมีให้เลือกถึง 3 ขนาด มีทั้งเต้ารับปลั๊กจากอุปกรณ์ไฟฟ้า และเต้ารับ USB ทั้ง type A และ type C นอกจากนี้ยังมีโมดูล VDI โมดูลไฟหรี่ ปุ่มกดฉุกเฉิน และ โมดูลฝาครอบเสริมโลหะขนาดต่างๆ อีกด้วย เรียกได้ว่าเติมเต็มความต้องการสำหรับชีวิตยุคใหม่ได้อย่างครบครัน

AvatarOn A เริ่มวางจำหน่ายภายในเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป ที่ร้านค้าไฟฟ้าและร้านค้าออนไลน์ทั่วประเทศ
https://www.se.com/th/th/home/products/avatarona/


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

หัวใจสำคัญ 3 ประการ ในการสร้างไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ เพื่อปฏิรูปสภาพแวดล้อมทางการค้าและอุตสาหกรรมสู่ดิจิทัล

โดย วินเซนโซ ซาลเมอรี รองประธานฝ่าย คอมเมอร์เชียลและอุตสาหกรรม ชไนเดอร์ อิเล็คทริค

ในภาคอุตสาหกรรมและการพาณิชย์ การแข่งขันสู่การปฏิรูปดิจิทัลยังคงดำเนินต่อไป มีหลายบริษัทนำเทคโนโลยี อุตสาหกรรม 4.0 มาช่วยเพิ่มคุณภาพและผลิตผล และเพื่อให้ตอบสนองความต้องการลูกค้าได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยในการแข่งขัน บริษัททั้งหลายต้องสร้างศักยภาพด้านเอดจ์คอมพิวติ้งที่ปลอดภัย ให้ความน่าเชื่อถือ ซึ่งต้องอาศัยระบบโครงสร้างของไมโครดาต้าเซ็นเตอร์มาช่วยตอบสนองเรื่องดังกล่าวได้อย่างเหมาะสม

อุตสาหกรรม 4.0 เกิดจากการผลักดันด้วยเทคโนโลยีอย่างแท้จริง ซึ่งมาจากการประยุกต์ใช้อินเทอร์เน็ต ออฟ ธิงส์ เพื่อรวบรวมข้อมูลจากเครื่องจักรและอุปกรณ์ทุกรูปแบบมาช่วยปรับปรุงผลลัพธ์ที่ดีขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพ และปรับปรุงกระบวนการทำงาน เหล่านี้คือประโยชน์บางส่วน การประยุกต์ใช้ IIoT หรือเทคโนโลยี IoT สำหรับภาคอุตสาหกรรม ยังช่วยในเรื่องการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน (preventive maintenance) ที่ช่วยเพิ่มเรื่องอัพไทม์ และลดค่าใช้จ่าย

ข้อมูล และข้อมูลในทุกแห่งหน
บริษัท วิจัย ไอดีซี คาดการณ์ว่าภายในปี 2025 จะมี “อุปกรณ์” ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้จำนวน 40,000 ล้านชิ้น ซึ่งจะสร้างปริมาณข้อมูลมากถึงเกือบ 80 เซตตะไบต์ (หรือหนึ่งพันล้านล้านล้านไบต์) ในปี ซึ่งปริมาณข้อมูลที่เกิดจากอุปกรณ์ IoT ที่เชื่อมต่อกัน จะทำให้เราได้เห็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี ที่ 28.7 เปอร์เซ็นต์ จากช่วงเวลาที่ไอดีซีได้คาดการณ์ไว้สำหรับปี 2018 ถึง 2025 แต่สำหรับภาคอุตสาหกรรมและยานยนต์จะเติบโตมากกว่า 2 เท่า คือ 60 เปอร์เซ็นต์ ตามที่ไอดีซีกล่าว

เรากำลังพูดถึงข้อมูลจำนวนมหาศาล บล็อกโพสต์ของซิสโก้ในปี 2016 (ช่วงที่ทราฟฟิกบนอินเทอร์เน็ตมีปริมาณเกินระดับของ ZB) ได้ให้ภาพรวมไว้อย่างดี ให้ลองคิดว่าข้อมูลหนึ่ง ZB หรือเซตตะไบต์ มีจำนวนเทียบเท่า 1,000 เทระไบต์ และถ้าแต่ละเทระไบต์ที่อยู่ในหนึ่งเซตตะไบต์ มีความยาวเท่ากับ 1 กิโลเมตร ก็จะมีความยาวเท่ากับการเดินทางไปกลับดวงจันทร์ 1,300 รอบ แต่ละรอบคิดเป็นระยะทาง 768,800 กิโลเมตร
และเมื่อคุณมีปริมาณข้อมูลขนาดมหาศาลระดับนั้น มีอยู่ 2-3 เหตุผลที่คุณต้องมีขุมพลังในการประมวลผลอยู่ในพื้นที่ อย่างแรกคือการส่งข้อมูลที่มีปริมาณขนาดใหญ่ไปประมวลผลที่คลาวด์ดาต้าเซ็นเตอร์ซึ่งอยู่ไกลไม่น่าจะเป็นวิธีที่เหมาะ และสองคือ ความล่าช้าที่เกี่ยวข้องอาจจะแปรผันตามแอปพลิเคชัน IIoT จำนวนมากที่โดยธรรมชาติแล้วจะทำงานแบบเรียลไทม์

คุณสมบัติหลักของเอดจ์ ดาต้าเซ็นเตอร์
องค์กรภาคการค้าและอุตสาหกรรม ต้องอาศัยเอดจ์ ดาต้าเซ็นเตอร์ในพื้นที่เพื่อรองรับความตั้งมั่นในการปฏิรูปสู่ดิจิทัล และอุตสาหกรรม 4.0 คำถามคือ แล้วจะสร้างดาต้าเซ็นเตอร์แบบนั้นได้อย่างไร สิ่งที่ต้องพิจารณามีอยู่ 3 ประเด็นต่อไปนี้

1. เอดจ์ ดาต้าเซ็นเตอร์ มักจะอยู่ในขอบเขตของพื้นที่อุตสาหกรรมหรือการค้าอยู่แล้ว อาจจะเป็นในร้านค้าปลีก โรงงานผลิต หรือกระทั่งสถานที่กลางแจ้ง เช่นสาธาณูปโภค ทำให้ต้องเป็นโซลูชันแบบออล-อิน-วัน ทั้งประมวลผล จัดเก็บและมีอุปกรณ์เชื่อมต่อเครือข่ายที่ต้องติดตั้งอยู่ในพื้นที่ปิดประเภท self-contained enclosure ซึ่งระบบโครงสร้างแบบไฮเปอร์คอนเวิร์จเป็นระบบที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับเอดจ์ ดาต้าเซ็นเตอร์ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ใน enclosure แบบไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ ที่รวมเรื่องของระบบพลังงานทั้งหมด และหากจำเป็นก็ต้องรวมองค์ประกอบในเรื่องระบบทำความเย็นด้วยเช่นกัน

2. ระบบรักษาความปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญสูงสุด แม้ธรรมชาติของเอดจ์ ดาต้าเซ็นเตอร์จะมีขนาดเล็ก แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการช่วยสนับสนุนวัตถุประสงค์สำคัญทางธุรกิจ เช่นการปฏิรูปสู่ดิจิทัล จากมุมมองด้านการรักษาความปลอดภัย จะต้องได้รับการดูแลเสมือนเป็นดาต้าเซ็นเตอร์ส่วนกลาง นั่นหมายความว่ามีระบบรักษาความปลอดภัยทางกายภาพ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบผ่านระบบวิดีโออย่างต่อเนื่องเพื่อตรวจหาและป้องกันการเข้าถึงระบบโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงการตรวจสอบสภาพแวดล้อมเพื่อแจ้งเตือนเรื่องความร้อน ความเย็น และความชื้นที่มากเกินไป

3. การบริหารจัดการได้จากระยะไกล มีความสำคัญเช่นกัน เนื่องจากในหลายๆ กรณี หรือในกรณีส่วนใหญ่จะไม่มีพนักงานอยู่ประจำที่ไซต์เพื่อคอยตรวจสอบและบริหารจัดการเอดจ์ ดาต้าเซ็นเตอร์ ดังนั้น พนักงานฝ่ายไอทีต้องสามารถตรวจสอบการทำงานของเอดจ์ ดาต้าเซ็นเตอร์ได้จากส่วนกลาง คุณจะได้แต้มต่อ หากโซลูชันของคุณรวมบริการบำรุงรักษาเชิงป้องกันผ่านคลาวด์ เพื่อช่วยคาดการณ์และป้องกันความล้มเหลวก่อนที่จะเกิด

ไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ เพื่อประยุกต์กับทุกการใช้งาน
Enclosures ของไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ ตอบโจทย์ความต้องการในเรื่องการติดตั้งใช้งานได้อย่างเรียบง่ายและเร็ว ผู้สนใจสามารถตรวจสอบเพจหรือเว็บไซต์ไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ เพื่อพิจารณาทางเลือกและหาโมเดลที่เหมาะกับคุณมากที่สุด สำหรับท่านที่สนใจโซลูชัน APC By Schneider Electric สามารถติดต่อผ่านคู่ค้าของเรา เพื่อประเมินว่าโมเดลไหนที่ดีที่สุดสำหรับองค์กรคุณ โดยดูจากองค์ประกอบที่จำเป็น หรือเรียนรู้ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่


 

Exit mobile version