Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

“ดีป้า” จับมือ “การท่าเรือฯ” สานต่อความร่วมมือ พัฒนาท่าเรือแหลมฉบังสู่ Smart City ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล

24 มกราคม 2565กรุงเทพมหานคร – ดีป้า และ การท่าเรือฯ ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนา Smart City ที่ท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อมุ่งสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ เดินหน้าสานต่อการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่ง ยกระดับการบริหารจัดการสภาพการจราจรในพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อขับเคลื่อนสู่ท่าเรือที่ได้มาตรฐานระดับโลก ก่อนเดินหน้าประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า พร้อมด้วย เรือโท ยุทธนา โมกขาว รองผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย สายบริหารการเงินและกลยุทธ์องค์กร รักษาการแทนผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนา Smart City ที่ท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อมุ่งสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ ณ อาคารดีป้า ลาดพร้าว

ผศ.ดร.ณัฐพล กล่าวว่า ความร่วมมือดังกล่าวสืบเนื่องมาจากบันทึกข้อตกลงความร่วมมือที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนมกราคม 2562 ที่มุ่งเน้นในเรื่องของการศึกษาและหาแนวทางแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง โดยความร่วมมือครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังสู่การเป็นท่าเรืออัจฉริยะด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ เพื่อมุ่งเน้นให้เกิดการเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่ง ด้วยการเชื่อมโยงข้อมูลการขนส่งหลากหลายรูปแบบ (Multimodal Transportation) ทั้งการส่งออกและนำเข้า ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งทางเรือและรถบรรทุก เพื่อให้เกิดการบูรณาการข้อมูลสำหรับผู้ให้บริการท่าเรือ รถไฟ รถบรรทุกขนส่งสินค้า ผู้ให้บริการคลังสินค้า ตลอดจนผู้นำเข้า-ส่งออก และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้านอื่น ๆ

พร้อมกันนี้ยังส่งเสริมให้เกิดการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการสภาพการจราจรในพื้นที่ท่าเรือฯ ซึ่งเทคโนโลยีดิจิทัลจะช่วยเพิ่มความสะดวก รวดเร็วแก่ผู้ใช้บริการ ลดความแออัด และระยะเวลารอคอย ลดต้นทุนด้านการขนส่ง รวมถึงมลพิษทางสิ่งแวดล้อม พร้อมขับเคลื่อนท่าเรือแหลมฉบังสู่การเป็นท่าเรือที่ได้มาตรฐานระดับโลก และรองรับการผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ASEAN Digital Hub) ซึ่งประเมินว่าจะก่อให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจมากกว่า 70,000 ล้านบาทต่อปี

ด้าน เรือโท ยุทธนา กล่าวว่า เทคโนโลยีดิจิทัลที่นำมาประยุกต์ใช้กับท่าเรือแหลมฉบังจะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการบริหารจัดการ และสามารถนำมาใช้เป็นฐานข้อมูล (Big Data) ที่สำคัญ เพื่อต่อยอดไปสู่การเป็นฐานข้อมูลด้านการขนส่งของท่าเรือแหลมฉบังและภาคตะวันออก อีกทั้งเป็นการเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่มีการจัดเก็บและการบริหารฐานข้อมูล รองรับการทำงานระหว่างหน่วยงาน และการให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้กรอบธรรมาภิบาลข้อมูล อีกทั้งช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับบุคลากรในภาคอุตสาหกรรมขนส่ง และประชาชนในชุมชนโดยรอบ

สำหรับบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนา Smart City ที่ท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อมุ่งสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะให้ความสำคัญกับการจัดให้มีบริการอัจฉริยะ ซึ่งเป็นการต่อยอดระบบจองคิวรถบรรทุก (Truck Queue) ของท่าเรือฯ โดยภาพรวมการบริหารจัดการด้วยแพลตฟอร์มและการวางโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบังจะพัฒนาโดยใช้กรอบการพัฒนาแพลตฟอร์มข้อมูลเมืองของ ดีป้า ซึ่งมีแหล่งข้อมูลต้นทาง อาทิ ข้อมูลการเดินรถ ข้อมูลจากหัวรถลาก ข้อมูลตู้คอนเทนเนอร์ ข้อมูลตารางเรือ สายเรือ และอื่น ๆ จากท่าเรือเอกชน รวมถึงข้อมูลประกอบอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลการจราจร อากาศ CCTV และข้อมูลที่ได้จากระบบให้บริการที่ถูกพัฒนาขึ้นใหม่ โดยรวบรวมผ่านระบบ Smart Port Xchange Engine ซึ่งมีองค์ประกอบหลักตามกรอบการพัฒนาคือ Data Catalog, Data Exchange และ Data Governance จากนั้นนำมาสร้างเป็นบริการใหม่ ได้แก่ Smart Port Traffic, Smart Truck, Smart Port e-Payment, Smart Backhaul และ Smart Port Analytics อีกทั้งยังมีการให้บริการ Open Data สำหรับผู้ที่สนใจ ซึ่งทั้งหมดถือเป็นการปรับเปลี่ยนการทำงานภาครัฐให้มีประสิทธิภาพ ตอบสนองความต้องการของผู้ประกอบการ และสามารถเข้าถึงข้อมูลได้โดยสะดวก รวดเร็ว แม่นยำ และเหมาะสม


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

depa MOU MI มุ่งส่งเสริมพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล ครอบคลุม 6 ประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง สร้างความแข็งแกร่งอย่างยั่งยืน

29 ธันวาคม 2564กรุงเทพมหานคร – สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) จับมือ สถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง (MI) ลงนามความร่วมมือบันทึกความเข้าใจ เพื่อส่งเสริมสนับสนุนเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล มุ่งยกระดับเศรษฐกิจและสังคม ขจัดความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ สู่ความแข็งแกร่งใน 6 ประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง

ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) พร้อมด้วย นายสุริยัน วิจิตรเลขการ ผู้อำนวยการบริหาร สถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง (Mekong Institute : MI) ร่วมลงนามความร่วมมือบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนเทคโนโลยีนวัตกรรมดิจิทัล มุ่งยกระดับเศรษฐกิจและสังคม ภายใต้โครงการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Sub-region, GMS) โดยมี นายพรชัย หอมชื่น ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ depa และ นางสาวพรวิไล ภูมิรา Partnership and Resource Mobilization Manager, MI ร่วมเป็นสักขีพยาน

ดร.ณัฐพล กล่าวว่า การลงนามในครั้งนี้ ทั้งสองหน่วยงานจะร่วมมือกันพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลในประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ประกอบด้วย ไทย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และมณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมหาแนวทางในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และนวัตกรรมด้านเศรษฐกิจดิจิทัลที่ประสบความสำเร็จ ขยายผลสู่การพัฒนาขีดความสามารถในระดับอนุภูมิภาค รวมถึงต่อยอดองค์ความรู้ด้านนวัตกรรมดิจิทัลผ่านกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการนำความรู้และเทคโนโลยีดิจิทัลไปประยุกต์ใช้ให้เกิดการพัฒนาอย่างกว้างขวางสู่การปฏิบัติที่มุ่งเน้นให้เกิดผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรม ช่วยขับเคลื่อนทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป

ความร่วมมือที่เกิดขึ้นถือเป็นอีกก้าวสำคัญของการทำงานแบบบูรณาการ ระหว่างหน่วยงานภาครัฐและองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อแสดงถึงเจตจำนงที่เห็นพ้องต้องกันที่จะร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยและอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงสู่เศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล อีกทั้งเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันของระบบนิเวศอุตสาหกรรมดิจิทัล พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในการก้าวเข้าสู่ยุคสังคมดิจิทัลสมัยใหม่ สู่ความแข็งแกร่งในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

ด้าน นายสุริยัน กล่าวว่า สถาบันความร่วมมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขง ดำเนินงานภายใต้กรอบ 3 ด้าน คือ 1. การพัฒนาทางการเกษตรและการพาณิชย์ (Agricultural Development and Commercialization) 2. การอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุน (Trade and Investment Facilitation) และ 3. พลังงานและนวัตกรรม สิ่งแวดล้อม (Sustainable Energy and Environment) โดยมุ่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และเสริมสร้างศักยภาพในการเร่งพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมอย่างยั่งยืน ตลอดจนขจัดความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ ให้แก่กลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง พร้อมสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจการค้าชายแดน

ทั้งนี้ ข้อมูลกระทรวงพาณิชย์ ระบุ การค้าชายแดนและการค้าผ่านแดน ตั้งแต่เดือนมกราคม ถึงเดือนกันยายน 2564 มีการส่งออกแล้ว 778,367 ล้านบาท ขยายตัว 38.06% ส่วนมูลค่าการค้ารวมทั้งส่งออกและนำเข้า 9 เดือนแรกของปี 2564 มีมูลค่า 1,275,542 ล้านบาท โดยกระทรวงพาณิชย์ ตั้งเป้าปี 2564 การค้าชายแดนและผ่านแดน ขยายตัว 3%  คิดเป็นมูลค่า 789,198 ล้านบาท


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

depa ชี้อุตสาหกรรมเกมไทยถือเป็นจุดเปลี่ยนภาพรวมเศรษฐกิจประเทศ พร้อมเดินหน้าผลักดันนักพัฒนาเกมสัญชาติไทย ก้าวไกลสู่เวทีระดับโลก

ปฏิเสธไม่ได้ว่า การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทำให้การเล่นเกมเป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมมากขึ้น สังเกตได้จากจำนวนผู้เล่นที่เพิ่มขึ้นในทุกแพลตฟอร์ม ส่งผลให้อุตสาหกรรมเกมเติบโตอย่างก้าวกระโดด ทั้งในระดับโลก และในประเทศไทย

อ้างอิงจากผลสำรวจข้อมูลและประเมินสถานภาพอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ (เกม คาร์แรกเตอร์ แอนิเมชัน) ประจำปี 2563* ที่จัดทำโดย สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) แสดงให้เห็นว่า อุตสาหกรรมดิจิทัล   คอนเทนต์เติบโตเฉลี่ย 27% ด้วยมูลค่า 39,332 ล้านบาท โดยมี ‘อุตสาหกรรมเกม’ เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ด้วยอัตราการขยายตัวกว่า 35% มูลค่ารวมกว่า 34,000 ล้านบาท ซึ่งภาพรวมอุตสาหกรรมมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากโมเดลธุรกิจใหม่ตามการพัฒนาของเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสบการณ์การเล่นเกมและดึงดูดผู้เล่น นอกจากนี้ การระบาดของ COVID-19 ที่ทำให้เกมเป็นกิจกรรมหลักเมื่อต้องอยู่บ้าน ประกอบกับการขยายตัวของ Esports และความนิยมของการใช้เกมเป็นพื้นที่สังสรรค์ออนไลน์ ล้วนเป็นปัจจัยหนุนให้กับภาคอุตสาหกรรม

depa เร่งขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเกมไทย

ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์” ผู้อำนวยการใหญ่ depa กล่าวว่า อุตสาหกรรมเกมถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายในแผนแม่บทการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ และสามารถสร้างรายได้จากการส่งออก แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งรัฐและเอกชนจะทำอย่างไรให้การส่งออกแบบดั้งเดิมสามารถก้าวไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ที่สร้างรายได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยให้กับประเทศ

ดร.ณัฐพล ระบุว่า ขั้นตอนสำคัญคือ การสร้างนักพัฒนาเกม ควบคู่ไปกับการผสานความร่วมมือกับบริษัทเกมระดับโลก เพื่อเป็นโอกาสและช่องทางให้นักพัฒนาเกมไทยได้สร้างสรรค์ผลงานและส่งออกตลาดโลก ซึ่งจะนำไปสู่การเพิ่มมูลค่าให้กับอุตสาหกรรมเกมไทย อีกทั้งเอื้อประโยชน์ต่ออุตสาหกรรม Esports ในประเทศ และระบบนิเวศ โดยหนึ่งในกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเกมไทย และบุคลากรในภาคอุตสาหกรรมคือ โครงการ depa Game Accelerator Program ที่ depa ดำเนินการร่วมกับพันธมิตร โดยผสานความร่วมมือกับ Nintendo ค่ายเกมยักษ์ใหญ่ระดับโลกจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งปัจจุบันกำลังเปิดรับสมัครผู้สนใจร่วมในโครงการ depa Game Accelerator Program Batch 2

depa Game Accelerator Program มีวัตถุประสงค์ที่จะส่งเสริมและพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมเกมไทย โดยเฉพาะนักพัฒนาเกมให้มีศักยภาพและมาตรฐานเทียบเคียงกับผู้ประกอบการระดับโลก วางรากฐานความเป็นมืออาชีพให้กับนักศึกษาและผู้สนใจ ผ่านหลักสูตรฝึกอบรมใน 4 หมวดเกมยอดนิยม (Action, Adventure, Strategy และ Casual Game) รับสมัครผู้สนใจทีมละ 3 – 5 คนในแต่ละหมวดเกม ก่อนคัดเลือกเหลือ 10 ทีมที่จะได้เรียนรู้ เสริมสร้างองค์ความรู้ในการพัฒนาเกม พร้อมรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม ภายในระยะเวลา 42 ชั่วโมง ซึ่ง 4 ทีมสุดท้ายที่ได้รับการคัดการเลือก (1 ทีมในแต่ละหมวดเกม) จะได้รับโอกาสทางธุรกิจ รวมถึงชุดพัฒนาเกม (Nintendo Development Kit) เพื่อนำไปต่อยอดผลงานต่อไป

ผลสัมฤทธิ์จาก depa Game Accelerator Program กับความสามารถของนักพัฒนาเกมไทย

Joojee’s Journey โดย DIDTC  Quantum Peaks นักพัฒนาเกมสัญชาติไทย คือหนึ่งในผลสัมฤทธิ์จากโครงการ depa Game Accelerator Program Batch 1 ที่สามารถวางจำหน่ายให้กับ Nintendo Switch ผ่าน Nintendo eShop ในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา Joojee’s Journey เป็นเกมแนวผจญภัยที่จะพาทุกคนเข้าสู่โลกของ ‘จู้จี้’ น้องกระต่ายสุดน่ารักและผองเพื่อน ตัวละครที่ถูกออกแบบโดย Mindmelodyworld ศิลปินชาวไทย ซึ่งเกมจะมาพร้อมกับปริศนาสนุก ๆ ที่รองรับถึง 4 ภาษาหลักคือ อังกฤษ จีน ฝรั่งเศส และไทย

Bloody Bunny: The Game โดย DIDTC  Quantum Peaks คืออีกเกมที่สามารถวางจำหน่ายให้กับ Nintendo Switch ผ่าน Nintendo eShop เมื่อมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งเกมแอ็กชัน ‘ต่ายดุสู้ฟัด’ โดยฝีมือนักพัฒนาเกมสัญชาติไทยเป็นระบบ 3D ที่ต่อสู้อย่างดุเดือด ถึงใจ มีองค์ประกอบ ทั้งกราฟิกและเสียงที่มีคุณภาพ เล่นง่าย ไม่ซับซ้อน ทำให้เกมเมอร์สนุก สนใจอย่างอย่างแน่นอน

และอีกหนึ่งเกมสัญชาติไทยที่ได้วางจำหน่ายใน Nintendo eShop เช่นกัน คือ Timelie ผลงานจาก Urnique Studio โดย Timelie คือเกมไขปริศนาที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กสาวและแมวคู่หูสุดน่ารักที่หลงทางอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง พวกเธอต้องฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ เพื่อหาทางกลับบ้านให้ได้ โดยการใช้พลังวิเศษควบคุมเวลา เปลี่ยนแปลงอนาคต

อุตสาหกรรมเกมจะเปลี่ยนภาพเศรษฐกิจประเทศ

ล่าสุด Nintendo เล็งเห็นศักยภาพตลาดเกมไทย จึงได้ทำการเปิดตัวเว็บไซต์ในหน้าภาษาไทยอย่างเป็นทางการ https://www.nintendo.com/th ซึ่งนับเป็นประเทศที่สองในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ถัดจากประเทศสิงคโปร์ โดยจะมีการนำเสนอข้อมูลของเครื่องเกม ซอฟต์แวร์เกม และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เป็นภาษาไทยทั้งหมด ซึ่งกรณีนี้ถือเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับอุตสาหกรรมเกมในประเทศไทย

อุตสาหกรรมเกม และ Esports จะเป็นอุตสาหกรรม New Wave ที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ การเสริมสร้างองค์ความรู้แก่ประชาชนจะส่งผลในเชิงสังคม และช่วยขับเคลื่อนให้เกิดอาชีพใหม่ในสังคมใหม่ อีกทั้งก่อให้เกิดรายได้หมุนเวียนในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องต่อไป” หัวเรือใหญ่ depa กล่าว

ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดโครงการ depa Game Accelerator Program Batch 2 ได้ที่ Facebook: depa Game Accelerator Program และ www.depagameaccelerator.com โดยเปิดรับสมัครแล้ววันนี้ถึงวันที่ 3 มกราคม 2565 และจะประกาศผลผู้ได้รับคัดเลือกในวันที่ 13 มกราคม 2565

———————————————————————

* ผลสำรวจข้อมูลและประเมินสถานภาพอุตสาหกรรมดิจิทัลคอนเทนต์ (เกม คาร์แรกเตอร์ แอนิเมชัน) ประจำปี 2563 จัดทำโดย สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ร่วมกับ สมาคมผู้ประกอบการแอนิเมชั่นและคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ไทย (TACGA) สมาคมดิจิทอลคอนเทนท์ไทย (DCAT) ACM SIGGRAPH BANGKOK และ สมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์เกมไทย (TGA)


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ดีป้า จับมือ บีคอน วีซี และ อินโนสเปซ เดินหน้าโครงการ dVenture ร่วมลงทุนใน ฮอร์แกไนซ์ หวังติดปีกดิจิทัลสตาร์ทอัพไทยทะยานไกลสู่ระดับสากล

17 ธันวาคม 2564, กรุงเทพมหานคร – ดีป้า ร่วมกับ บีคอน วีซี และ อินโนสเปซ ประกาศร่วมลงทุนใน ฮอร์แกไนซ์ ดิจิทัลสตาร์ทอัพสัญชาติไทยรายแรก ภายใต้โครงการ dVenture ตั้งเป้าผลักดันให้เติบโตในระดับประเทศ ผ่านการการเข้าถึงตลาดภาครัฐ และมาตรการด้านภาษี พร้อมเปิดโอกาสการเข้าถึงผู้ประกอบการภาคเอกชน เอสเอ็มอี ร้านค้า และชุมชนผ่านโครงการต่าง ๆ ของ ดีป้า ก่อนก้าวสู่ระดับภูมิภาคได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน 

ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เปิดเผยว่า ตามที่ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) มอบหมายให้ ดีป้า เร่งพัฒนาศักยภาพดิจิทัลสตาร์ทอัพไทยผ่านกระบวนการและกลไกส่งเสริมและสนับสนุน เพื่อให้เกิดการต่อยอดสู่การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล ตอบโจทย์ผู้ใช้งานในมิติต่าง ๆ ควบคู่ไปกับการพัฒนาระบบนิเวศน์ (Digital Startup Ecosystem) ที่สมบูรณ์พร้อมก้าวสู่ระดับสากล เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศไทยไปสู่ยุคเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล

โดยหนึ่งในกลไกสำคัญที่จะช่วยส่งเสริมให้เกิดการยกระดับประสิทธิภาพของดิจิทัลสตาร์ทอัพคือ โครงการ dVenture (depa Venture Building Network Program) โครงการสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้ดิจิทัลสตาร์ทอัพไทยเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่ง ดีป้า จะเข้าไปสนับสนุนดิจิทัลสตาร์ทอัพที่ได้รับการลงทุนจากเครือข่ายพันธมิตรในลักษณะของการร่วมลงทุน (Matching Fund) พร้อมส่งเสริมให้เกิดการเข้าถึงเครือข่ายดิจิทัลสตาร์ทอัพ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ การเข้าถึงตลาดภาครัฐ และมาตรการด้านภาษี โดยดิจิทัลสตาร์ทอัพที่ได้รับการสนับสนุนจะได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ให้บริการดิจิทัล (Digital Provider) ซึ่งถือเป็นการเปิดโอกาสให้ดิจิทัลสตาร์ทอัพเหล่านั้นสามารถเข้าถึงผู้ประกอบการภาคเอกชน เอสเอ็มอี ร้านค้า และชุมชนผ่านโครงการต่าง ๆ ของ ดีป้า และเตรียมขยายความร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุดภายใต้โครงการ dVenture ดีป้า ได้ร่วมกับ บริษัท บีคอน เวนเจอร์ แคปิทัล จำกัด (บีคอน วีซี) บริษัทเงินร่วมลงทุนของธนาคารกสิกรไทย และ บริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทเงินร่วมลงทุนของภาครัฐและเอกชน เข้าร่วมลงทุนใน บริษัท ฮอร์แกไนซ์ จำกัด ผู้นำตลาดแพลตฟอร์มการบริหารจัดการพื้นที่เช่า และหนึ่งในดิจิทัลสตาร์ทอัพสัญชาติไทยที่มีศักยภาพ โดย ดีป้า บีคอน วีซี และอินโนสเปซ จะร่วมกันผลักดันและพัฒนาให้ ฮอร์แกไนซ์ สามารถเติบโตในระดับประเทศและระดับภูมิภาคได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน

ด้าน นายธนพงษ์  ระนอง กรรมการผู้จัดการ บีคอน วีซี กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการต่อยอดการลงทุนในดิจิทัลสตาร์ทอัพของทางบริษัท ซึ่ง บีคอน วีซี เล็งเห็นศักยภาพการขยายตลาดและจุดแข็งในการเป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยีด้านการบริหารจัดการพื้นที่เช่าของ ฮอร์แกไนซ์ ที่จะสามารถต่อยอดความร่วมมือและขยายฐานการให้บริการไปสู่กลุ่มลูกค้าของธนาคารกสิกรไทย ซึ่งความร่วมมือในโครงการ dVenture นี้จะช่วยขยายฐานลูกค้าหน่วยงานภาครัฐ เอสเอ็มอี บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ และชุมชนต่าง ๆ ผ่านโครงการของ ดีป้า อีกทั้งเป็นแรงผลักดันให้ ฮอร์แกไนซ์ สามารถเติบโตได้อย่างเข้มแข็ง สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น

นายต่อตระกูล วัฒนวรกิจกุล รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร อินโนสเปซ กล่าวว่า ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในครั้งนี้นับเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้กับดิจิทัลสตาร์ทอัพในประเทศไทย และจะช่วยกระตุ้นให้การดำเนินธุรกิจของดิจิทัลสตาร์ทอัพไปได้ไกลขึ้นอีกขั้น โดย ฮอร์แกไนซ์ ถือเป็นดิจิทัลสตาร์ทอัพที่มีโอกาสในการเติบโตสูง การร่วมส่งเสริมและสนับสนุนของ ดีป้า ในครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญในการผลักดันให้ ฮอร์แกไนซ์ เข้าสู่ตลาดภาครัฐ และภาคเอสเอ็มอี ผ่านมาตรการต่าง ๆ ของ ดีป้า ได้มากขึ้น

ขณะที่ นายธนวิชญ์ ต้นกันยา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฮอร์แกไนซ์ กล่าวว่า บริษัทรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับโอกาสในการเข้าร่วมโครงการ dVenture ภายใต้การสนับสนุนของ ดีป้า บีคอน วีซี และ อินโนสเปซ ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ พร้อมขยายการให้บริการ เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุคชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ได้มากยิ่งขึ้น

ฮอร์แกไนซ์ คือดิจิทัลสตาร์ทอัพสัญชาติไทยผู้พัฒนาแพลตฟอร์มระบบบริหารหอพักและอะพาร์ตเมนต์ ครอบคลุมการบริหารมากกว่า 10,000 โครงการ และมีห้องพักในระบบมากกว่า 500,000 ห้องทั่วประเทศ ปัจจุบัน ฮอร์แกไนซ์ มีผลิตภัณฑ์และบริการที่ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าธนาคาร หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงเอสเอ็มอี


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

“ดีป้า” เดินหน้าโครงการ Coding in your area ลุยปั้น ‘เยาวชนโค้ดดิ้ง’ ทั่วประเทศ ก่อนต่อยอดสู่โครงการ Codekathon ค้นหาสุดยอดเยาวชน พลิกโฉมโลกด้วยโค้ดดิ้ง

20 พฤศจิกายน 2564กรุงเทพมหานคร – ดีป้า เดินหน้าโครงการ Coding in your area จุดประกายโค้ดดิ้งให้เป็นเรื่องใกล้ตัว พร้อมปั้น “เยาวชนโค้ดดิ้ง” ทั่วประเทศกว่า 15,000 คน ก่อนต่อยอดสู่โครงการ Codekathon เพื่อค้นหาสุดยอดเยาวชน พลิกโฉมโลกด้วยโค้ดดิ้ง กว่า 700 คน

ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เปิดเผยว่า ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ดีป้า มุ่งยกระดับทักษะดิจิทัลแก่ประชาชนในทุกระดับ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งถือเป็นทรัพยากรสำคัญของประเทศ โดยหนึ่งในทักษะดิจิทัลที่สำคัญในศตวรรษที่ 21 ที่เด็กและเยาวชนทุกคนควรต้องเข้าถึงคือ “โค้ดดิ้ง”

โดย ดีป้า ร่วมกับทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และสถาบันการศึกษาในการยกระดับทักษะโค้ดดิ้งแก่เยาวชนไทยผ่านช่องทางต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การพัฒนาแพลตฟอร์ม CodingThailand.org แหล่งการเรียนรู้ด้านโค้ดดิ้งที่มีผู้เข้าถึงมากกว่า 1 ล้านคน การส่งเสริมและสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานแก่โรงเรียน เพื่อเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านโค้ดดิ้งอย่างแท้จริง รวมถึงการผลักดันดิจิทัลสตาร์ทอัพด้านการศึกษา เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมในการยกระดับทักษะโค้ดดิ้งที่จะช่วยเสริมระบบนิเวศการเรียนรู้ด้านโค้ดดิ้งอย่างยั่งยืน ตลอดจนการพัฒนาทักษะการสอนโค้ดดิ้งสำหรับครู

ล่าสุด ดีป้า พร้อมดำเนิน โครงการยกระดับทักษะโค้ดดิ้งสู่การประยุกต์ใช้ในท้องถิ่น (Coding in your area) เพื่อจุดประกายการเรียนโค้ดดิ้งให้เป็นเรื่องใกล้ตัว ผ่านการเรียนรู้การเขียนโปรแกรมควบคุมอุปกรณ์ดิจิทัลที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันในท้องถิ่นแก่นักเรียนระดับประถมศึกษาตอนปลาย ถึงมัธยมศึกษาตอนปลายทั่วประเทศ เพื่อปั้น “เยาวชนโค้ดดิ้ง” จำนวนกว่า 15,000 คน ครอบคลุมนักเรียนที่อยู่ในพื้นที่เขตเมือง/นอกเขตเมือง โรงเรียนขยายโอกาส โรงเรียนกองทุน และโรงเรียนเฉพาะความพิการ

“ทีมงานจะลงพื้นที่จัดกิจกรรมถึงห้องเรียน เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ลงมือฝึกปฏิบัติ สัมผัสอุปกรณ์จริง และมีโอกาสเรียนรู้อย่างเท่าเทียม ด้วยหลักสูตร 1 วันที่ร่วมพัฒนาโดยมหาวิทยาลัยประจำภูมิภาค 5 แห่ง เพื่อตอบโจทย์ท้องถิ่นอย่างแท้จริง ซึ่งกิจกรรมต่าง ๆ จะมีขึ้นภายใต้มาตรการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19)” ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

สำหรับการปั้นเยาวชนโค้ดดิ้งในพื้นที่ภาคเหนือ รับหน้าที่โดยคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งผู้เรียนจะได้ฝึกโค้ดผ่านตัวอย่างที่หลากหลาย อาทิ เครื่องวัด PM 2.5 แจ้งเตือนทางโทรศัพท์มือถือ และควบคุมสเต็ปมอเตอร์ปล่อยเมล็ดพืชปลูกป่าทางโดรน พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะมีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น สอนนักเรียนโค้ดดิ้งเพื่อพัฒนาโรงเลี้ยงปูนาอัจฉริยะ และเครื่องวัดอุณหภูมิน้ำหมักปลาร้า พื้นที่ภาคตะวันกลาง ภาคตะวันออก และภาคตะวันตก รับหน้าที่โดยคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่นักเรียนจะได้ฝึกโค้ดผ่านอุปกรณ์จำลองสวนอัจฉริยะบนคอนโด และอุปกรณ์ Security Home บ้านอุ่นใจ ขณะที่พื้นที่ภาคใต้มีมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์รับหน้าที่จุดประกายโค้ดดิ้งนักเรียนผ่านตัวอย่างเซนเซอร์วัดน้ำหนักน้ำยางพารา และกระชังปลาครอบครัวอัจฉริยะ ในส่วนของพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ยะลา ปัตตานี นราธิวาส) มีคณะวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ที่จะพานักเรียนโค้ดดิ้งเพื่อสร้างระบบฟาร์มแพะอัจฉริยะ และมัสยิดอัจฉริยะ

นอกจากนี้แต่ละมหาวิทยาลัยยังมีตัวอย่างนวัตกรรมอีกมากมาย รวมกว่า 30 นวัตกรรมที่จะใช้เป็นสื่อการเรียนรู้โค้ดดิ้งด้วยอุปกรณ์ที่หลากหลายอย่าง micro:bit, KidBright และ Arduino  โดยโรงเรียนที่สนใจให้มหาวิทยาลัยพันธมิตรประจำภูมิภาคเข้าไปจุดประกายนักเรียนถึงห้องเรียนสามารถสมัครในนามโรงเรียนได้แล้ววันนี้จนถึงวันที่ 15 ธันวาคมนี้

ภายหลังจากปูพื้นฐานโค้ดดิ้งให้เป็นเรื่องใกล้ตัวสำหรับเด็กและเยาวชนทั่วประเทศแล้ว ดีป้า ยังเตรียมโครงการต่อยอดความรู้ด้านโค้ดดิ้งให้กับเยาวชนกว่า 700 คน ผ่านโครงการยกระดับทักษะโค้ดดิ้งสู่การสร้างสรรค์โครงงานนวัตกรรมอัจฉริยะ (Codekathon) โดยมีมหาวิทยาลัยมหาสารคามร่วมพัฒนาหลักสูตร ซึ่งผู้เรียนจะได้ลงมือโค้ดดิ้งสร้างสรรค์นวัตกรรมอัจฉริยะเป็นกลุ่ม กลุ่มละ 4 คน เพื่อแก้ไข Pain point รอบตัว ด้วยหลักสูตรเข้มข้น 4 วัน ครอบคลุมเนื้อหา Smart Farm, Smart Living, Smart Community และ Smart Environment พร้อมประกวดแข่งขัน ค้นหาสุดยอดเยาวชน พลิกโฉมโลกด้วยโค้ดดิ้ง ในระดับภูมิภาคและระดับประเทศ โดยโครงการ Codekathon จะเปิดรับสมัครนักเรียนภายในเดือนธันวาคมนี้ และมีแผนลงพื้นที่จัดกิจกรรมทั่วประเทศภายในเดือนมีนาคม 2565

ผู้สนใจสามารถติดตามข่าวสารโครงการได้ที่ Facebook Page: Coding in Your Area by depa หรือเว็บไซต์ www.depa.or.th/depaCodingSchool


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

“ดีป้า” จับมือ “อินเทล” ผุดโครงการ Intel® AI for Youth ยกระดับทักษะ AI แก่บุคลากรทางการศึกษาและเยาวชนของประเทศ

11 พฤศจิกายน 2564กรุงเทพมหานคร – ดีป้า ร่วมกับ อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) เดินหน้าส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาทักษะดิจิทัลให้แก่กำลังคนและบุคลากรดิจิทัลของประเทศ ผุดโครงการ Intel® AI for Youth มุ่งพัฒนาทักษะ AI ให้กับบุคลากรทางการศึกษาจาก 7 โรงเรียนต้นแบบในโครงการ depa Coding School Champions มีบุคลากรทางการศึกษาเข้าร่วมโครงการฯ มากกว่า 35 คน คาดนำทักษะและองค์ความรู้ที่ได้รับส่งต่อนักเรียนในโรงเรียนของตนเองรวมกว่า 500 คนในปีการศึกษา 2564

ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เปิดเผยว่า หนึ่งในภารกิจสำคัญที่ ดีป้า ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องคือ การพัฒนากำลังคนและการเพิ่มศักยภาพบุคลากรดิจิทัลของประเทศ โดย ฝ่ายส่งเสริมการพัฒนากำลังคนดิจิทัล ดีป้า มุ่งเสริมสร้างและพัฒนาทักษะดิจิทัลที่ตรงตามความต้องการและกระแสเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงแก่ประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะ เยาวชน ที่ถือเป็นรากฐานสำคัญ รวมถึงบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการถ่ายทอดและต่อยอดความรู้แก่เยาวชน เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล สอดรับแผนระดับชาติว่าด้วยการพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

ล่าสุด ดีป้า โดย ฝ่ายส่งเสริมการพัฒนากำลังคนดิจิทัล ได้บูรณาการการทำงานกับพันธมิตรภาคเอกชนอย่าง บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จํากัด ดำเนินโครงการ Intel® AI for Youth โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะยกระดับทักษะด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) แก่บุคลากรทางการศึกษาจากโรงเรียนต้นแบบในโครงการ depa Coding School Champion จำนวน 7 โรงเรียนครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ประกอบด้วย โรงเรียนตากพิทยาคม จังหวัดตาก โรงเรียนนารีนุกูล จังหวัดอุบลราชธานี โรงเรียนเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี โรงเรียนสตรีวิทยา2 กรุงเทพมหานคร โรงเรียนวัดใหญ่ชัยมงคล จังหวัดพระนครศรีอยุธยาอยุธยา โรงเรียนชุมแสง จังหวัดระยอง และโรงเรียนศรีสังวาลย์เชียงใหม่ ซึ่งเป็นโรงเรียนเฉพาะความพิการ ก่อนนำทักษะและองค์ความรู้ที่ได้รับจากการเข้าร่วมอบรมไปถ่ายทอดให้กับนักเรียนในโรงเรียนของตนเอง โดยขณะนี้มีบุคลากรทางการศึกษาเข้าร่วมโครงการดังกล่าวแล้วมากกว่า 35 คน และคาดว่าจะสามารถขยายโอกาสการเข้าถึงการเรียนรู้เทคโนโลยี AI แก่เยาวชนรวมกว่า 500 คน ภายในปีการศึกษา 2564

ด้าน Dr. Anjan Ghosh ผู้อำนวยการฝ่ายรัฐกิจสัมพันธ์ ประจำภูมิภาคเอเชีย ละตินอเมริกา และแคนาดา อินเทล กล่าวว่า โครงการ Intel® AI for Youth ถือเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่างหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ด้าน AI ให้กับบุคลากรทางการศึกษาและเยาวชนไทย ต่อยอดและขยายเครือข่ายการพัฒนาทักษะสำคัญแห่งศตวรรษที่ 21 เตรียมความพร้อมให้กับกำลังคนและบุคลากรดิจิทัลของประเทศรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลต่อไป

สำหรับหลักสูตรในโครงการ Intel® AI for Youth นับเป็นหลักสูตรระดับนานาชาติที่ อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) ปรับปรุงเนื้อหาและภาษาในการเรียนรู้ ซึ่งบุคลากรทางการศึกษาที่เข้าร่วมโครงการฯ จะได้รับการยกระดับทักษะและองค์ความรู้ด้าน AI โดยวิทยากรจากสถาบัน Digital Economy Thailand (DAT) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ Certified Trainer ของ อินเทล ซึ่งมีกำหนดอบรมในวันที่ 9-11 พฤศจิกายน และ 17-18 พฤศจิกายน 2564 รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 10 ชั่วโมง


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

“ดีป้า” โชว์ 1 ปี ศูนย์ 5G EIC เสริมแกร่งภาครัฐ-เอกชนราว 2,000 ราย หนุนปรับตัวเผชิญวิกฤตโควิด-19

9 พฤศจิกายน 2564กรุงเทพมหานคร – สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล เผยผลการดำเนินงาน ศูนย์ Thailand 5G Ecosystem Innovation Center (5G EIC) ในรอบ 1 ปี มีผู้เข้าชมศูนย์แห่งนี้ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงสถาบันการศึกษา ราว 2,000 ราย ตลอดจนเปิดอบรมไปแล้ว 6 หลักสูตร สามารถยกระดับทักษะดิจิทัลให้บุคลากรด้านเทคโนโลยี 5G มากกว่า 1,000 ราย สนับสนุนภาคธุรกิจและระบบการศึกษา สามารถปรับตัวและก้าวข้ามผ่านสถานการณ์โควิด-19 ได้อย่างมีศักยภาพ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคดิจิทัลให้เติบโตอย่างมั่นคง

ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่ประเทศไทยเผชิญมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ภาครัฐและเอกชน ตลอดจนสถาบันการศึกษาปรับตัวประยุกต์ใช้เทคโนโลยี 5G กันมากขึ้น ซึ่งช่วงเดือนกันยายน 2563 ดีป้า ได้จัดตั้ง ศูนย์ Thailand 5G Ecosystem Innovation Center (5G EIC) โดยความร่วมมือกับพันธมิตรสำคัญอย่าง บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ทำให้ศูนย์แห่งนี้กลายเป็น Sandbox แหล่งเรียนรู้ชั้นเยี่ยม มอบองค์ความรู้ให้กับทุกคน ทุกภาคส่วน ช่วยพัฒนานวัตกรรมดิจิทัลสำหรับแอปพลิเคชัน 5G และบริการของอุตสาหกรรมต่าง ๆ ในประเทศไทย สร้างโอกาสใหม่ให้แก่ภาคธุรกิจ ทั้งวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และดิจิทัลสตาร์ทอัพ ผลักดันให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่การเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลแห่งภูมิภาคอาเซียน ฝ่าวิกฤตโควิด-19 พลิกฟื้นเศรษฐกิจยุคดิจิทัลให้เติบโตอย่างมั่นคง

“ตั้งแต่เปิด ศูนย์ 5GEIC แห่งนี้จนถึงปัจจุบัน มีจำนวนผู้เข้าชมพื้นที่ทดสอบ ทดลอง และปฏิบัติการภายในศูนย์ ราว 2,000 ราย ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ทั่วประเทศ อีกทั้งเปิดอบรมให้กับผู้สนใจไปแล้ว 6 หลักสูตร สามารถยกระดับทักษะดิจิทัลให้บุคลากรด้านเทคโนโลยี มากกว่า 1,000 ราย” ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

สอดคล้องกับมุมมองของ คุณศรุตา ตั้งใจ ผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท พีบีเอ โรบอทิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ศูนย์ 5G EIC มีประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทเป็นอย่างมาก เนื่องจากบริษัทประกอบธุรกิจเกี่ยวกับผู้ให้บริการด้าน AI ROBOTICS and Automation Solution เพราะฉะนั้นหัวใจหลักสำคัญในการให้ประโยชน์สูงสุดแก่ลูกค้าคือ เรื่องของ Data and Platform ซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องมีเทคโนโลยี 5G ในการขับเคลื่อนภารกิจต่าง ๆ ของบริษัท ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสร้างเสถียรภาพโซลูชันของบริษัทฯ ได้มากขึ้น ที่สำคัญศูนย์แห่งนี้ ยังเข้ามาช่วยเสริมทักษะให้ความรู้ในการปรับใช้เทคโนโลยีกับ Use Case ต่าง ๆ เพื่อให้ลูกค้ามองเห็นภาพ เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้น สามารถขยายฐานลูกค้ากระจายออกไปในวงกว้างมากขึ้น จากเดิม 30-50% ของกลุ่มเป้าหมาย ปัจจุบันสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากกว่า 80ของกลุ่มเป้าหมาย ประกอบกับในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่ทุกคนต้องปรับตัว และหันมาพึ่งพิงเทคโนโลยีจนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน ส่งผลให้ธุรกิจของบริษัทเติบโตสวนทางกับภาพรวมของเศรษฐกิจ ดังนั้นการมีเทคโนโลยี 5G จึงเป็นตัวเร่งให้เกิดการนำมาใช้ได้จริง ช่วยขับเคลื่อนธุรกิจด้านอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทัดเทียมตลาดระดับโลกได้แน่นอน

ขณะเดียวกัน ผศ.ดร.ประเสริฐ คันธมานนท์ รองอธิการบดีอาวุโสฝ่ายบริหาร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี
พระจอมเกล้าธนบุรี
 กล่าวว่า ความสำคัญของศูนย์แห่งนี้คือ การเป็นแหล่งพัฒนากำลังคน เพิ่มทักษะด้านเทคโนโลยี สอดคล้องกับหลักสูตรของมหาวิทยาลัยฯ ที่มุ่งเน้นการทำวิจัยและนวัตกรรม ซึ่งการนำเทคโนโลยี 5G มาประยุกต์ใช้จะทำให้เกิด Use Case มีชีวิต นำไปต่อยอดให้เกิดผลิตภัณฑ์ ที่สามารถใช้งานได้จริง เป็นประโยชน์ต่อภาคประชาชนอย่างแท้จริง นอกจากนี้ สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้ทางมหาวิทยาลัยฯ ต้องปรับรูปแบบการเรียนการสอน โดยเปลี่ยนโครงสร้างทั้งมหาวิทยาลัยฯ ให้กลายเป็นห้องเรียนคือ สามารถเรียนได้จากของจริง เห็นองค์ประกอบเสมือนจริง เปิดโลกวิธีการเรียนรู้ใหม่ ผ่านเทคโนโลยี VR AR ซึ่งจะกระจายนักศึกษาไปทั้งมหาวิทยาลัยฯ ไม่เกิดการกระจุกตัวอยู่แต่ในห้องเรียน ป้องกันความเสี่ยงโควิด-19 ภายใต้คอนเซปต์ Living Lab ดังนั้นเทคโนโลยี 5G จึงเป็นส่วนสำคัญในการแปลงโฉมมหาวิทยาลัยฯ เพราะต้องอาศัยระบบที่มีความเสถียรทั้งภายในและภายนอกอาคาร

สำหรับ ศูนย์ 5G EIC แห่งนี้ตั้งอยู่ ณ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล โดยมีบทบาทสำคัญในการเป็นพื้นที่ทดลองการนำเทคโนโลยี 5G ไปใช้ในภาคธุรกิจและบริการต่าง ๆ เช่น บริการทางการแพทย์ด้วย 5G
(5G Medical Care), การเกษตรอัจฉริยะด้วยเทคโนโลยี 5G (5G Smart Agriculture) ระบบท่าเรืออัจฉริยะผ่านระบบ 5G (5G Port) การศึกษาทางไกลผ่านเทคโนโลยี 5G (5G Remote Education) ระบบการรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะด้วยเทคโนโลยี 5G (5G Smart Security) เป็นต้น ซึ่งผู้สนใจเข้าชมศูนย์ 5G EIC สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดได้ที่ www.5geicthailand.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

“ดีป้า” คิกออฟคูปองดิจิทัล จ.นนทบุรี ดันเกษตรกร ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล มุ่งสู่เมืองอัจฉริยะ

5 ตุลาคม 2564, จังหวัดนนทบุรี – นายพรชัย หอมชื่น ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า ร่วมกิจกรรม “Kick-off โครงการคูปองดิจิทัลสำหรับเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี” ภายใต้โครงการพัฒนาจังหวัดนนทบุรีสู่เมืองอัจฉริยะ (Smart City) ด้านเศรษฐกิจอัจฉริยะ (Smart Economy) ซึ่งจัดโดย ดีป้า สาขาภาคกลาง พร้อมด้วย จังหวัดนนทบุรี สำนักงานเกษตรจังหวัดนนทบุรี สมาคมส่งเสริมดิจิทัลเพื่อการเกษตรและอุตสาหกรรม โดยมี นางสาวอโรชา นันทมนตรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี เป็นประธานในพิธีเปิดกิจกรรม เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ยังมี นายจิรพงษ์ ทรงวัชราภรณ์ อนุกรรมาธิการงบประมาณ นายสมพร นามพิลา เกษตรจังหวัดนนทบุรี นายจำลอง ขำสา รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี นายกำพล โชคสุนทสุทธิ์ นายกสมาคมส่งเสริมดิจิทัลเพื่อการเกษตรและอุตสาหกรรม เครือข่ายดิจิทัลสตาร์ทอัพ และผู้ประกอบการดิจิทัล ร่วมกิจกรรมโดยพร้อมเพรียง ซึ่งทั้งหมดปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดและการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) อย่างเคร่งครัด

นายพรชัย เปิดเผยว่า กิจกรรม Kick-off โครงการคูปองดิจิทัลสำหรับเกษตรกรในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี จัดขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้เกษตรกรได้พบปะกับดิจิทัลสตาร์ทอัพ และผู้ประกอบการดิจิทัล ภายใต้โครงการพัฒนาเมืองอัจฉริยะน่าอยู่ ด้านการเกษตรและชุมชนปลอดภัย 2 (Central Smart City) (นนทบุรี ปทุมธานี) ซึ่ง ดีป้า ได้ดำเนินการส่งเสริมและสนับสนุนพี่น้องเกษตรกร ผ่านมาตรการคูปองดิจิทัลเพื่อการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล (depa mini Transformation Voucher) ในพื้นที่ภาคกลาง คือ จังหวัดนนทบุรี และปทุมธานี เพื่อพูดคุย สอบถาม ขอคำปรึกษา เรียนรู้การใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ จากเจ้าของเทคโนโลยีโดยตรง ซึ่งจะช่วยให้เกษตรกรสามารถเลือกเทคโนโลยีดิจิทัลที่เหมาะสมกับบริบทของตนเอง ก่อนนำไปต่อยอดประยุกต์ใช้ในการทำการเกษตร ลดต้นทุน เพิ่มรายได้ ปรับเปลี่ยนวิถีจากการทำการเกษตรรูปแบบเดิม สู่เกษตรอัจฉริยะ ตลอดจนยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อย่างยั่งยืน

ด้าน นายจิรพงษ์ กล่าวว่า ในฐานะอนุกรรมาธิการงบประมาณและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในพื้นที่ ได้มีโอกาสพิจารณางบประมาณโครงการต่าง ๆ ในปี 2564 ซึ่งได้พิจารณางบประมาณของดีป้า ที่นำเสนอเข้ามา มองเห็นถึงประโยชน์กับพื้นที่อย่างแท้จริง และเป็นโครงการที่ดีช่วยเหลือเกษตรกรในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาประยุกต์ใช้เพื่อทำการเกษตร เพิ่มรายได้ ลดต้นทุนค่าใช้จ่าย ทำให้เกษตรกรมีความพร้อมในการปรับตัวเข้าสู่เกษตรแบบอัจฉริยะ ยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น ทั้งนี้ คณะอนุกรรมาธิการฯ ไม่ได้มีการปรับลดงบประมาณของดีป้า เนื่องจากงบประมาณที่นำเสนอมาตอบโจทย์ความต้องการของคนในพื้นที่ ที่สำคัญสามารถช่วยเหลือชาวเกษตรกร ก้าวข้ามผ่านวิกฤตโควิด-19 กลับมาเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงต่อไป


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ดีป้า – จังหวัดอุบลราชธานี ปักหมุดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล สร้างระบบนิเวศกระตุ้นเศรษฐกิจดิจิทัล พัฒนากำลังคนในพื้นที่อย่างยั่งยืน

20 กันยายน 2564อุบลราชธานี – ดีป้า จับมือ จังหวัดอุบลราชธานี เดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ปักหมุดพื้นที่ศาลากลางจังหวัด จัดตั้งสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล สาขาภาคอีสานตอนล่าง และศูนย์ ASEAN Smart Cities Network Center หวังเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล กระตุ้นให้เกิดการพัฒนาระบบนิเวศด้านดิจิทัล รวมถึงศูนย์สั่งการและบริหารจัดการเมืองอัจฉริยะ ช่วยยกระดับเมืองด้วยฐานของข้อมูลที่เป็นประโยชน์ กระตุ้นเศรษฐกิจดิจิทัล และพัฒนากำลังคนดิจิทัลในพื้นที่ คาดพร้อมให้บริการหน่วยงานรัฐ เอกชน และประชาชนทั่วไปปลายปี 2565

ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า พร้อมผู้บริหารและพนักงาน ร่วมพิธีเปิดป้ายอาคารสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล สาขาภาคอีสานตอนล่าง และศูนย์ ASEAN Smart Cities Network Center บนพื้นที่ 3 ไร่ บริเวณศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี โดยได้รับเกียรติจาก นายสฤษดิ์ วิฑูรย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี เป็นประธาน ซึ่งมีคณะผู้บริหาร รวมถึงพนักงานจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมพิธีกันโดยพร้อมเพรียง โดยทั้งหมดปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) อย่างเคร่งครัด

โดย นายสฤษดิ์ กล่าวว่า กิจกรรมในวันนี้ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดีสำหรับการปักหลักของ ดีป้า และศูนย์ ASEAN Smart Cities Network Center ในพื้นที่ภาคอีสานตอนล่าง ณ จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นหมุดหมายสำคัญในการเชื่อมโยงและส่งเสริมเส้นทางเพื่อมุ่งสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ของอุบลราชธานี และกลุ่มจังหวัดในพื้นที่ใกล้เคียง และขอแสดงความยินดีกับ ดีป้า ภายใต้การนำของ ดร.ณัฐพล รวมไปถึงคณะเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกท่าน อีกทั้งขออำนวยพรให้การดำเนินการก่อสร้างอาคารสำนักงานสาขาฯ ในครั้งนี้ประสบความสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี และสามารถดำเนินภารกิจอันเป็นประโยชน์ต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลของประเทศต่อไป

ด้าน ดร.ณัฐพล กล่าวว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ดีป้า บูรณาการการทำงานกับจังหวัดอุบลราชธานีอย่างต่อเนื่องในการสำรวจและวางแผนความร่วมมือการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล โดยมุ่งหวังที่จะขับเคลื่อนอุบลราชธานีสู่การเป็นศูนย์กลางการให้บริการด้านดิจิทัลในพื้นที่ภาคอีสานตอนล่าง ก่อนพัฒนาไปสู่การเป็น ASEAN Digital Hub ในอนาคต

“อาคารสำนักงาน ดีป้า สาขาภาคอีสานตอนล่าง และศูนย์ ASEAN Smart Cities Network Center จะเป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล พร้อมมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคในการพัฒนาระบบนิเวศด้านดิจิทัล (Digital Ecosystem) ที่กระตุ้นให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล โดยตั้งใจให้เป็นพื้นที่ที่ประชาชนเข้าใช้งานได้อย่างสะดวก เหมาะกับการคิดค้นสิ่งใหม่ต่อยอดองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล มี Co-working Space รองรับการเจรจาจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) และการประชุม เป็นศูนย์สั่งการและบริหารจัดการเมืองอัจฉริยะ (City Data Platform) ที่จะช่วยยกระดับการพัฒนาเมืองด้วยฐานของข้อมูลที่เป็นประโยชน์ สามารถให้บริการภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป รวมถึงชาวต่างชาติ อีกทั้งมีส่วนช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจดิจิทัล ควบคู่ไปกับการพัฒนากำลังคนดิจิทัลในพื้นที่ โดยคาดว่า การก่อสร้างจะแล้วเสร็จและพร้อมเปิดให้บริการช่วงปลายปี 2565” ผู้อำนวยการใหญ่ ดีป้า กล่าว

นอกจากนี้ ดีป้า และ จังหวัดอุบลราชธานี เตรียมจัดกิจกรรมส่งเสริมการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อขับเคลื่อนเมืองเศรษฐกิจอัจฉริยะต้นแบบ (Smart Economy Showcase) เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในภาคอุตสาหกรรมการเกษตรและอุตสาหกรรมอาหารในจังหวัดอุบลราชธานี และพื้นที่ใกล้เคียงที่สนใจสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีดิจิทัลที่มีคุณภาพจากเครือข่ายดิจิทัลสตาร์ทอัพสัญชาติไทย ซึ่งผู้ประกอบการที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดการจัดกิจกรรม Smart Economy Showcase ได้ทาง Facebook Page: depa Thailand


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ตลท. จับมือ ดีป้า ส่งเสริมดิจิทัลสตาร์ทอัพอาสา “เป็ดไทยสู้ภัย” ขับเคลื่อนโครงการพัฒนาระบบบริหารจัดการและระบบฐานข้อมูลผู้ป่วย COVID-19 ในสถานการณ์ฉุกเฉิน สนับสนุนกรมการแพทย์-กรมควบคุมโรค สู้ภัย COVID-19

14 กันยายน 2564: จังหวัดนนทบุรี – ดร.กฤษฎา เสกตระกูล รองผู้จัดการ สายงานพัฒนาความยั่งยืนตลาดทุน และ นางลดาวัลย์ กันทวงศ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริหารกิจกรรมเพื่อสังคม ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เป็นผู้แทนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในการส่งมอบเงินสนับสนุนแก่สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือ ดีป้า โดยมี ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ เป็นผู้รับมอบ เพื่อใช้ในการดำเนินโครงการพัฒนาระบบบริหารจัดการและระบบฐานข้อมูลผู้ป่วย COVID-19 ในสถานการณ์ฉุกเฉินของกลุ่มดิจิทัลสตาร์ทอัพอาสา เป็ดไทยสู้ภัย ณ จุดบรรจุยา สถาบันทันตกรรม กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข โดยมี นายแพทย์มานัส โพธาภรณ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ และ ดร.พณชิต กิตติปัญญางาม หัวหน้ากลุ่มสตาร์ทอัพอาสา เป็ดไทยสู้ภัย ร่วมเป็นสักขีพยาน

สำหรับโครงการพัฒนาระบบบริหารจัดการและระบบฐานข้อมูลผู้ป่วย COVID-19 ในสถานการณ์ฉุกเฉินมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบบริหารจัดการและระบบข้อมูลผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ระบบสายด่วน 1668 และ 1422 ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมเชื่อมโยงการดำเนินการของดิจิทัลสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพในการให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาด้านสาธารณสุขของประเทศ อีกทั้งช่วยลดอัตราการเข้ารับการรักษาพยาบาล อัตราการป่วยรุนแรง และอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วย COVID-19 โดยการจำแนกผู้ป่วยและสนับสนุนระบบการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งที่ผ่านมา กลุ่มดิจิทัลสตาร์ทอัพอาสา เป็ดไทยสู้ภัย ดำเนินการร่วมกับกรมการแพทย์ และกรมควบคุมโรคอย่างใกล้ชิดในการยกระดับขีดความสามารถของระบบสาธารณสุขไทย เพื่อรองรับผู้ป่วย COVID-19 ที่มีอัตราการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยตั้งแต่เดือนสิงหาคมผ่านมา ทีมเป็ดไทยสู้ภัย ช่วยคัดกรองผู้ป่วยไปแล้วมากกว่า 50,000 ราย และช่วยส่งยาให้ผู้ป่วยที่มีอาการไปแล้วมากกว่า 5,000 ราย

เป็ดไทยสู้ภัย เกิดจากการรวมตัวของเครือข่ายดิจิทัลสตาร์ทอัพสัญชาติไทยที่ได้รับการส่งเสริมโดย ดีป้า ซึ่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในสถานการณ์ระบาดของ COVID-19 ตั้งแต่ระลอกแรกจนถึงปัจจุบัน

รายชื่อบุคคลในภาพจากซ้ายไปขวา

(1)    นางสาวณัฐชลัยกร ศิริจำรูญวิทย์ คณะทำงาน ศูนย์ความร่วมมือภาคประชาสังคม-กรมการแพทย์ เพื่อผู้ป่วยโควิด-19
(2)    คุณสาโรจน์ อธิวิทวัส ผู้ก่อตั้งและ CEO Wisible
(3)    คุณลดาวัลย์ กันทวงศ์  ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายบริหารกิจกรรมเพื่อสังคม ตลาดหลักทรัพย์ฯ
(4)    ดร.กฤษฎา เสกตระกูล  รองผู้จัดการ สายงานพัฒนาความยั่งยืนตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์ฯ
(5)    นายแพทย์มานัส โพธาภรณ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์
(6)    ดร.ชินาวุธ ชินะประยูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa)
(7)    ทพญ.สุมนา โพธิ์ศรีทอง รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสถาบันทันตกรรม กรมการแพทย์
(8)    ดร.พณชิต กิตติปัญญางาม หัวหน้ากลุ่มสตาร์ทอัพอาสา เป็ดไทยสู้ภัย

#SET #depa #เป็ดไทยสู้ภัย #DigitalStartup #MoPH #DMS #DDC #DigitalThailand


Exit mobile version