Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

Adobe Creative Visual Report เผยเทรนด์ครีเอทีฟ และแรงบันดาลใจ ที่มีบทบาทมากที่สุดในปี 2567

  • Calming Rhythms, Wonder and Joy, Dynamic Dimensions และ The New Nostalgia คือเทรนด์ครีเอทีฟระดับโลกที่กำลังมาแรงและจะสร้างผลกระทบมากที่สุดในปี 2567
  • Generative AI กำลังเปิดประตูสู่ยุคใหม่ของความคิดสร้างสรรค์สำหรับทุกคน เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคทดลอง เล่นสนุก และจินตนาการด้านความคิดสร้างสรรค์แบบใหม่
  • รายงานครีเอทีฟเทรนด์ของอะโดบีเผยว่า ผู้บริโภคกำลังให้ความสำคัญกับการสร้างสมดุลในทุก ๆ ด้านของชีวิต โดยเทรนด์ต่าง ๆ สะท้อนทั้งความรวดเร็วและความผ่อนคลาย

กรุงเทพฯ, 11 มกราคม 2567 – อะโดบี (Nasdaq: ADBE) เปิดเผยรายงานครีเอทีฟเทรนด์ Adobe Creative Trends Report ประจำปี 2567 คาดการณ์ครีเอทีฟวิช่วลและธีมที่จะสร้างผลกระทบในปี 2567 อะโดบีผู้นำวงการด้านความคิดสร้างสรรค์ ได้ศึกษาสไตล์การออกแบบ ธีมด้านวัฒนธรรม พฤติกรรมผู้บริโภค เทคโนโลยีล้ำสมัย และข้อมูลอุตสาหกรรมสต็อกทั่วโลก เป็นปีที่ 7 ติดต่อกัน เพื่อระบุ 4 เทรนด์การออกแบบที่จะนำทางคอนเทนต์ดิจิทัล และส่งผลต่อวงการถ่ายภาพ วิดีโอ สื่อโซเชียล บล็อก และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยเทรนด์ที่น่าสนใจในปี 2567 ได้แก่ ‘Calming Rhythms’, ‘Wonder and Joy,’ ‘Dynamic Dimensions,’ และ ‘The New Nostalgia’ 

ในโลกยุคปัจจุบันที่ถูกดิสรัปชัน และต้องการคอนเทนต์และความคิดสร้างสรรค์อย่างรวดเร็ว ผู้บริโภคต่างหันมาใช้เทคโนโลยีเพื่อปลุกพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์และไอเดียในรูปแบบใหม่ ๆ และด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่าง Generative AI ทุกคนไม่ว่าจะมีทักษะมากน้อยเพียงใด ก็สามารถสร้างสรรค์ผลงานที่ตรงกับสไตล์และรสนิยมของตัวเองได้อย่างง่ายดาย ส่งผลให้ไอเดียกลายเป็นจริงได้เพียงปลายนิ้ว

ความปรารถนาของผู้บริโภคในการทดลอง เล่นสนุก และจินตนาการการปลุกพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์แบบใหม่ในรายงานครีเอทีฟเทรนด์ประจำปี 2567 ได้มีการผสมผสานโลก 2D และ 3D รวมถึงความนิยมภาพแฟนตาซีที่สร้างสรรค์ด้วย AI และภาพถ่ายสวยงามที่เรียบง่ายแต่ทรงเสน่ห์ที่ชวนให้เกิดความอัศจรรย์ใจไว้ด้วยกัน

เบรนดา มิลลิส หัวหน้าฝ่าย Consumer and Creative Insights ของอะโดบี กล่าวว่า “ก้าวเข้าสู่ปีใหม่ แลนสเคปด้านความคิดสร้างสรรค์ก็สะท้อนภาพโลกยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลง เทรนด์ครีเอทีฟในปีนี้ บ่งบอกชัดเจนว่า ทั้งผู้สร้างสรรค์และผู้บริโภคต่างโหยหาวิช่วลที่สร้างแรงบันดาลใจ สะท้อนถึงความเป็นไปได้ที่ไม่สิ้นสุดของจินตนาการ”

4 เทรนด์ครีเอทีฟในปี 2567:

Calming Rhythms 

ในยุคที่ความเครียดและสุขภาพจิตจัดเป็นเรื่องที่โลกให้ความสำคัญ วิช่วลที่ผ่อนคลายและชวนให้สงบ ได้รับความนิยมมากขึ้นจากแบรนด์และองค์กรต่างๆ โดยถูกนำไปใช้ในสถานที่ทำงาน ร้านค้า บรรยากาศกลางแจ้ง แพลตฟอร์มโซเชียล และแอปพลิเคชันทั่วโลก ภาพเคลื่อนไหวแบบ Calming Rhythms มีหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่พื้นหลังแบบเรียบง่าย ไปจนถึงรูปทรงที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างช้า ๆ มักมาพร้อมกับเสียงและเพลงที่ฟังแล้วสบายใจ เทรนด์นี้มักเกี่ยวข้องกับคอนเทนต์ ASMR ซึ่งมียอดวิวบน TikTok ถึง 912.6 พันล้านวิว ติด #asmr  โดยทั่วไปจะเป็นภาพที่ผ่อนคลาย จับคู่กับเสียงต่าง ๆ ชวนให้รู้สึกสงบและผ่อนคลาย สามารถเพิ่มอิโมชั่นที่ลงตัวให้กับโปรเจกต์ครีเอทีฟด้วยเพลงที่ใช่ด้วย ฟีเจอร์ใหม่ ‘Find Similar’ ใน Adobe Stock Audio สำหรับโพสต์โซเชียล วิดีโอ และพอดแคสต์

Wonder and Joy

ผู้บริโภคกำลังหันไปหาภาพหรือวิช่วลที่สร้างความรู้สึกประหลาดใจ ความสุข และความมหัศจรรย์ เพื่อเป็นกลไกในการรับมือกับสภาพเศรษฐกิจที่ท้าทายในปัจจุบัน เทรนด์ “Wonder and Joy” ขยายไปสู่การสื่อสารและประสบการณ์ของแบรนด์ทุกประเภท ตั้งแต่ความสุขง่าย ๆ ของการเป็น “ผู้ใหญ่ที่ยังคงหัวใจเด็ก” ไปจนถึงประสบการณ์ท่องเที่ยวหรูหรา และการสร้างสภาพแวดล้อมด้วย AI รายงาน Happiness Report ประจำปี 2565 เผยว่า 80% ของผู้คนให้ความสำคัญกับสุขภาพเพื่อทำให้ตนเองมีความสุข ขณะที่ 79% เน้นความสัมพันธ์ส่วนตัว และ 53% สนใจประสบการณ์ใหม่ ๆ เพื่อสร้างความสุข ครีเอเตอร์สามารถใช้ Adobe Firefly ชุดโมเดล generative AI เชิงสร้างสรรค์ที่ออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยสำหรับการใช้งานเชิงพาณิชย์ ในการ จินตนาการ สร้างความสนุก และแสดงออก ด้วยข้อความง่าย ๆ

Dynamic Dimensions

ด้วยกระแสของมัลติเวิร์ส เกม VR และ AR ที่ได้รับความนิยมมากขึ้น การผสมผสานทรัพยากรและไดเมนชั่นต่าง ๆ ทำให้โลกมีโมชั่น  Dynamic Dimensions” ได้รับแรงบันดาลใจจากการผสมผสานองค์ประกอบต่าง ๆ และสร้างประสบการณ์วิช่วลที่ทรงพลังโดยการผสาน 2D กับ 3D เข้าด้วยกันผ่านวิดีโอ เพลง และภาพประกอบ ตามรายงานครีเอทีฟเทรนด์ของ Adobe ในปี 2567 คนรุ่นใหม่จะมีมุมมองต่อความเปราะบางหรือความอ่อนไหวที่ค่อยๆ พัฒนาขึ้น โดยการแสดงออกทางอารมณ์และแสดงความคิดเห็นด้านสุขภาพจิตที่เป็นปกติทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ผู้บริโภคสามารถสัมผัสประสบการณ์ ใน Dynamic Dimensions ด้วยเทมเพลทใหม่ ๆ จาก Adobe Premiere Pro และ After Effects ซึ่งมีแอนิเมชั่นโมชั่นกราฟิกส์ที่หลากหลาย

ความโหยหารูปแบบใหม่

เริ่มต้นด้วยความหลงใหลในยุค 90s ไม่ว่าจะเป็นสไตล์ ดีไซน์ และเทคโนโลยี โดยคนเกือบทุกยุคสมัยมีความทรงจำในยุคนั้นได้อย่างลึกซึ้ง มีมุมมองและการตีความของสไตล์วินเทจใหม่ด้วยความคิดสร้างสรรค์ โดยเฉพาะการใช้ภาพแนวไฮเปอร์เรียลลิสติกในอดีตด้วย AI โดยเทรนด์ “The New Nostalgia” นี้จะผสมผสานความชื่นชอบสไตล์วินเทจของผู้บริโภคกับการตีความแบบร่วมสมัยอย่างมีรสนิยม โดยรายงานได้ระบุว่า 50% ของ Gen Z ในสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร แคนาดา และออสเตรเลียต้องการดิสคอนเน็คจากโทรศัพท์ พวกเขากำลังหันไปหาของเก่า ๆ และงานอดิเรกในอดีต เช่น การถ่ายภาพด้วยกล้องดิจิทัล ที่ทำให้พวกเขารู้สึกผูกพันกับโลกความจริงมากขึ้น ครีเอเตอร์สามารถลองใช้ Adobe Express แอปสร้างสรรค์คอนเทนต์ AI-first แบบออลอินวัน เพื่อออกแบบเทรนด์เรโทรได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย โดยสามารถเลือกจากเทมเพลทนับพันแบบ

ติดตามเทรนด์ครีเอทีฟปี 2567 ฉบับเต็มได้ที่นี่

อะโดบีนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ครอบคลุมที่สุดในทุกหมวดหมู่ความคิดสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่าย การออกแบบ วิดีโอ 3D และเทคโนโลยีเสมือนจริง ปลุกพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์สำหรับทุกคน ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.adobe.com

วิธีการวิจัย

เพื่อค้นหาเทรนด์ที่กำลังเติบโตในคอมเมอร์เซียลและการมีส่วนร่วมของผู้บริโภค อะโดบีได้ใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญของคอมมูนิตี้ Creative Cloud เพื่อระบุเทรนด์ความคิดสร้างสรรค์ที่สำคัญที่สุดสำหรับปี 2567 รายงานนี้พัฒนาขึ้นผ่านการวิจัยอย่างละเอียดโดยใช้ข้อมูลภายในและภายนอก นอกจากนี้ Adobe Stock ยังทำการสัมภาษณ์ในทุกภาคส่วนเพื่อระบุความต้องการด้านวิช่วลของอุตสาหกรรมและแบรนด์ที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งสนับสนุนผลการศึกษาเทรนด์ที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง

เกี่ยวกับ Adobe

Adobe กำลังเปลี่ยนแปลงโลกผ่านประสบการณ์ดิจิทัล ข้อมูลเพิ่มเติม: www.adobe.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

รายงาน Adobe เผยผู้บริโภคและนักการตลาดตระหนักถึงศักยภาพของ AI ที่แบรนด์ใช้ยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า แต่ต้องใช้อย่างมีความรับผิดชอบและโปร่งใส

ในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี ความก้าวหน้าของ Generative AI กลายเป็นพลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในการทำงานและการสร้างสรรค์ ทั้งยังสร้างนิยามใหม่ให้กับวิธีที่ผู้บริโภค องค์กรธุรกิจ และสถานศึกษาใช้ในการคิดทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่การสร้างรูปภาพไปจนถึงคอนเทนต์  ขณะที่องค์กรต้องจัดการกับข้อกังวลต่างๆ ของสาธารณชน รวมถึงความโปร่งใสเกี่ยวกับการใช้ Generative AI ในการสร้างคอนเทนต์

ด้วยการป้อนคำสั่งที่เรียบง่าย Generative AI ช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญทำงานได้เร็วขึ้น และขณะเดียวกันก็ช่วยให้ผู้ใช้ที่มีประสบการณ์น้อยสามารถเรียนรู้งานได้เร็วยิ่งขึ้น และสามารถคิดค้นไอเดีย สร้างสรรค์ผลงาน เรียนรู้และทำความเข้าใจสิ่งใหม่ๆ ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งบ่อยครั้งมักจะเป็นไปในรูปแบบที่เราคาดไม่ถึง  Generative AI มีศักยภาพมหาศาลในการช่วยให้บุคลการด้านครีเอทีฟและนักการตลาดสร้างสรรค์เนื้อหาคอนเทนต์ได้รวดเร็วขึ้น แต่คุณค่าไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เพราะสามารถนำมาใช้เพื่อจัดทำแผนการตลาด กำหนดกลุ่มเป้าหมาย ออกแบบ customer journey และกลั่นกรองข้อมูลเชิงลึก เช่น นักการตลาดเพียงพิมพ์ข้อความ “สร้าง audience segment สำหรับคนทำงานอายุ 25-34 ปีที่เป็นแฟนฟุตบอล” Generative AI ก็จะสร้างแคมเปญการตลาดสำหรับกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวภายในเวลาไม่กี่วินาที

เพื่อทำความเข้าใจว่า Generative AI ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างต่อความคาดหวังของลูกค้า และวิธีการที่แบรนด์ต่างๆ มอบประสบการณ์ให้แก่ลูกค้า อะโดบีได้ทำการศึกษาหลายชุดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม 2566 โดยสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคมากกว่า 13,000 คน รวมถึงบุคลากรฝ่ายการตลาดและประสบการณ์ลูกค้า 4,000 คนใน 14 ประเทศ ได้แก่ ไทย ญี่ปุ่น อินเดีย สิงคโปร์ มาเลเซีย สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ สวีเดน เยอรมนี ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ และประเด็นหลักจากผลการศึกษามีดังนี้:

ผู้คนจำนวนมากมีความมั่นใจในการใช้ Generative AI ในชีวิตประจำวัน ทั้งในส่วนของครีเอเตอร์และผู้บริโภค โดยผู้บริโภคที่ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ (57%) เชื่อว่า Generative AI จะช่วยปรับปรุงความคิดสร้างสรรค์ส่วนบุคคล และตัวเลขดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นในกลุ่มผู้บริโภคที่มีอายุน้อย กล่าวคือ 75% ของผู้บริโภคกลุ่ม Gen Z ระบุว่า Generative AI ทำให้พวกเขามีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น  และเมื่อพูดถึงประสบการณ์ที่มีต่อแบรนด์ 72% ของผู้บริโภคทั่วโลกกล่าวว่า Generative AI ช่วยปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า โดยผู้บริโภคกลุ่มมิลเลนเนียล 8 ใน 10 คน (80%) และกลุ่ม Gen Z (83%) แสดงความคิดเห็นในแง่บวกเช่นเดียวกัน

ผู้บริโภคต้องการให้บริษัทต่างๆ ใช้ Generative AI เพื่อปรับปรุงประสบการณ์อย่างมีความรับผิดชอบ

เมื่อพูดถึงสิ่งสำคัญที่สุดที่บริษัทควรทำในการใช้เทคโนโลยี Generative AI ผู้บริโภคระบุว่า “ความรับผิดชอบ” คือสิ่งสำคัญอันดับ 1 โดย 34% ให้ความสำคัญกับการดำเนินการต่างๆ เช่น การกำหนดขอบเขตเพื่อรองรับการใช้งานอย่างมีความรับผิดชอบ  ผู้บริโภค 30% กล่าวว่าการใช้ Generative AI เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด และ 15% ให้ความสำคัญกับการดำเนินการที่จะปรับปรุงประสบการณ์ของพนักงาน เช่น เพิ่มความสะดวกและประสิทธิภาพในการทำงาน  ผู้ตอบแบบสอบถาม 9% กล่าวว่าข้อควรพิจารณาที่สำคัญที่สุดสำหรับบริษัทต่างๆ ที่นำ Generative AI มาใช้ก็คือ การใช้เทคโนโลยีดังกล่าวเพื่อทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จทางการเงินมากขึ้น และมีเพียง 10% เท่านั้นที่กล่าวว่าบริษัทไม่ควรใช้ Generative AI เลย

Content Authenticity Initiative (CAI) ที่ก่อตั้งโดยอะโดบี เป็นตัวอย่างหนึ่งของมาตรการป้องกันที่ผลักดันโดยภาคอุตสาหกรรม  ด้วยสมาชิกมากกว่า 1,500 ราย CAI สนับสนุนมาตรฐานและเทคโนโลยีระดับโลกแบบเปิด รวมถึง Content Credentials ซึ่งเปรียบเสมือน “ฉลากโภชนาการ” แบบดิจิทัลสำหรับคอนเทนต์ ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบว่าคอนเทนต์ Generative AI ถูกสร้างขึ้นในลักษณะใด

บุคลากรด้านการตลาดและ CX ส่วนใหญ่กล่าวว่าพวกเขาจะใช้ Generative AI สำหรับการทำงานในอนาคต

เกือบเก้าในสิบ (89%) เคยใช้เครื่องมือ Generative AI บางประเภท โดย 67% ได้ลองใช้บอทสนทนา และ 45% เคยใช้เครื่องมือสร้างภาพ  บุคลากรเหล่านี้เกือบทั้งหมด (94%) เชื่อว่าบริษัทของตนจะใช้ Generative AI สำหรับการทำงานในอนาคต

Generative AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและทำให้ประสบการณ์ของลูกค้าเป็นแบบส่วนตัวมากขึ้น  ผู้บริหารฝ่ายการตลาดและประสบการณ์ลูกค้าเชื่อว่า Generative AI จะเป็นประโยชน์ในหลากหลายแง่มุม กล่าวคือ เก้าในสิบคน (90%) กล่าวว่าจะช่วยให้พวกเขาทำงานได้ดีขึ้น และในสัดส่วนที่เกือบจะเท่ากัน (88-89%) ระบุว่าจะช่วยให้พวกเขาทำงานได้มากขึ้น สร้างคอนเทนต์ได้มากขึ้นและดีขึ้น และปรับปรุงความสามารถในการใช้เครื่องมือด้านครีเอทีฟ  ในแง่ของประสบการณ์ กลุ่มผู้ตอบแบบสอบถามเปอร์เซ็นต์เดียวกันนี้คาดว่า Generative AI จะช่วยให้พวกเขาเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่เหมาะสม ปรับแต่งประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคลให้แก่ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น กำหนดขั้นตอนการดำเนินการใหม่ๆ สำหรับลูกค้า และระบุกลุ่มเป้าหมายใหม่

Generative AI ขยายการเข้าถึงเครื่องมือด้านประสบการณ์ดิจิทัลที่ซับซ้อนได้

เมื่อสอบถามว่าบริษัทควรใช้ Generative AI ในลักษณะใดมากที่สุด ผู้บริหารฝ่ายการตลาดและ CX ระบุสิ่งสำคัญที่สุดอันดับ 1 เท่ากันทั้งสามอย่าง ได้แก่ การเพิ่มความสะดวกและประสิทธิภาพในการทำงาน การปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการ และการนำเสนอประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมให้แก่ลูกค้า

Generative AI จะมีบทบาทสำคัญในการสร้างเนื้อหาคอนเทนต์  ขณะที่บุคลากรฝ่ายการตลาดและ CX มองว่าเครื่องมือ Generative AI ที่เกิดขึ้นใหม่นั้นมีศักยภาพสูง แต่ความคาดหวังสามอันดับแรกของพวกเขาล้วนเกี่ยวข้องกับเนื้อหาคอนเทนต์ โดยการสร้างคอนเทนต์ได้เร็วขึ้นครองอันดับ 1 ส่วนการปรับแต่งคอนเทนต์และการสร้างคอนเทนต์เพิ่มมากขึ้นจัดอยู่ในอันดับ 2 ด้วยคะแนนที่เท่ากัน  ในแต่ละกรณี Generative AI จะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพลิกโฉมและการเพิ่มความคล่องตัวให้แก่ซัพพลายเชนด้านคอนเทนต์ และช่วยให้แบรนด์ต่างๆ ทั่วโลกสามารถตอบสนองความต้องการด้านคอนเทนต์ของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นทวีคูณ เช่น 2 เท่า, 5 เท่า และ 10 เท่า

บุคลากรฝ่ายการตลาดและ CX ยังมีข้อกังวลใจ

แม้ว่านักการตลาดส่วนใหญ่มีความเห็นด้านบวกเกี่ยวกับประโยชน์ของ Generative AI แต่ก็ยังคงมีความกังวลใจในบางเรื่อง โดยมีการจัดอันดับข้อกังวลใจที่สำคัญที่สุด ได้แก่ คุณภาพของข้อมูล ข้อความก๊อปปี้ หรือรูปภาพ (อันดับ 1), ความเสี่ยงต่อการละเมิดลิขสิทธิ์ (อันดับ 2) และการขาดความโปร่งใสเกี่ยวกับวิธีการฝึกโมเดล AI (อันดับ 3)

โดยรวมแล้ว ผลการศึกษาเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า Generative AI มีอนาคตที่สดใสทั้งสำหรับผู้บริโภคและแบรนด์  โดยลูกค้าและผู้เชี่ยวชาญด้านแบรนด์ส่วนใหญ่มีความพร้อมและตื่นเต้นที่จะได้เห็นการใช้งาน Generative AI เพื่อปรับปรุงผลิตภัณฑ์ บริการ และประสบการณ์ และตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับแบรนด์ต่างๆ แล้วที่จะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดังกล่าวเพื่อขยายขอบเขตความเป็นไปได้และนำเสนอสิ่งที่ลูกค้าคาดหวังอย่างมีความรับผิดชอบได้อย่างไร

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางที่แตกต่างของอะโดบีสำหรับ Generative AI รวมถึงประสบการณ์ลูกค้ายุคหน้าที่ได้รับการปรับปรุงโดย Adobe Sensei GenAI และ Adobe Firefly ซึ่งทำหน้าที่เป็น Co-pilot สำหรับงานครีเอทีฟ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

อะโดบี เปิดตัว Adobe PDF Accessibility Auto-Tag API ฟีเจอร์ AI รองรับการเข้าถึงเอกสารดิจิทัลแบบอัตโนมัติได้มากยิ่งขึ้น

ปัจจุบันพบความท้าทายในการเข้าถึงเอกสาร PDF โดยกว่า 90% ของเอกสาร PDF ทั่วโลกไม่รองรับการใช้งานสำหรับบุคคลที่มีความทุพพลภาพ นอกจากนี้ยังพบปัญหาอื่น ๆ เช่น หน้าเปล่า ข้อความไม่ชัด บรรทัดบิดเบี้ยว หรือแม้แต่ตำแหน่งของตัวอักษร สระ วรรณยุกต์ นอกจากนี้ยังมีกรอบการใช้งานที่องค์กรและผู้ใช้ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของรัฐบาลและความคาดหวังของผู้ใช้ โดยการอัปเดตครั้งนี้ รองรับการทำงานให้ครอบคลุมผู้ใช้งานและกฎระเบียบได้ดียิ่งขึ้น

  • Adobe PDF Accessibility Auto-Tag API: Adobe ได้เปิดตัว API ใหม่ที่ขับเคลื่อนโดย Adobe Sensei ซึ่งเป็นเฟรมเวิร์ก AI และแมชชีนเลิร์นนิง เพื่อลดความซับซ้อนและเร่งกระบวนการแปลงเนื้อหา PDF API มีจุดมุ่งหมายเพื่อทำให้เอกสาร PDF สามารถเข้าถึงได้มากขึ้น ประหยัดเวลา ปรับปรุงการปฏิบัติตามกฎหมาย และเพิ่มประสบการณ์ของพนักงานและลูกค้า
  • อัตโนมัติมากขึ้นและประหยัดเวลามากขึ้น: ในอดีต การทำให้เอกสาร PDF สามารถเข้าถึงได้นั้นเป็นกระบวนการที่ต้องทำด้วยตนเองและใช้เวลานาน อย่างไรก็ตาม ผู้ทดลองใช้กลุ่มแรก ๆ ของ Adobe PDF Accessibility Auto-Tag API สามารถดำเนินการโดยอัตโนมัติได้เร็วขึ้น 70% ซึ่งช่วยลดเวลาที่จำเป็นในการทำให้แต่ละไฟล์สามารถเข้าถึงได้อย่างเต็มที่ถึง 100% โดย API มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเอกสารที่ซับซ้อน ลดเวลาที่จำเป็นสำหรับงานต่าง ๆ เช่น การเข้าถึงชุดสไลด์การนำเสนอได้อย่างมาก
  • ใช้ประโยชน์จาก AI: API ของ Adobe ใช้ AI เพื่อทำให้การแท็กโครงสร้างเนื้อหา PDF แบบอัตโนมัติ เช่น หัวเรื่อง ย่อหน้า รายการ และตาราง การติดแท็กนี้ช่วยให้แน่ใจว่าจะสามารถจัดลำดับการอ่านบนเทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม เช่น โปรแกรมอ่านหน้าจอ ที่รองรับการใช้งานสำหรับบุคคลทุพพลภาพ นอกจากนี้นักพัฒนาสามารถใช้ API จัดการกับเอกสาร PDF ที่มีอยู่จำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งช่วยให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านการเข้าถึงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • คุณสมบัติเพิ่มเติมและความก้าวหน้าของความสามารถในการเข้าถึง: ตัวตรวจสอบการเข้าถึง PDF ซึ่งช่วยให้บริษัทต่าง ๆ ประเมินการเข้าถึง PDF ที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และแท็กอัตโนมัติใน Acrobat Reader ซึ่งมอบประสบการณ์การใช้งานที่เข้าถึงได้มากขึ้นภายในแอปพลิเคชัน เป็นสองฟีเจอร์ใหม่ที่ Adobe วางแผนที่จะเปิดให้บริการ

 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

อะโดบีขยายการดำเนินงานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดสำนักงานในประเทศไทย

กรุงเทพฯ, ประเทศไทย – วันที่ 10 พฤษภาคม 2566 – อะโดบี (Nasdaq: ADBE) เปิดสำนักงานในประเทศไทยตอกย้ำความมุ่งมั่นในการขยายธุรกิจในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว การจัดตั้งสำนักงานแห่งใหม่นี้สะท้อนให้เห็นถึงการลงทุนเชิงกลยุทธ์ของบริษัทฯ เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจโดยอาศัยนวัตกรรม

สำนักงานของอะโดบีในสิงคโปร์รองรับการให้บริการในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มานานกว่า 21 ปี และการจัดตั้งสำนักงานแห่งใหม่ในประเทศไทยนับเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของอะโดบีที่มีต่อลูกค้าและพาร์ทเนอร์ในภูมิภาคนี้

ไซมอน เดล, รองประธานบริหาร และกรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (SEA) และเกาหลีของอะโดบี กล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นตลาดที่สำคัญสำหรับอะโดบีมาโดยตลอด และเรามีแผนที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของเราด้วยการเปิดสำนักงานแห่งใหม่ที่นี่  ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจดิจิทัลที่เติบโตเร็วที่สุดในภูมิภาคนี้ และการมีสำนักงานในไทยนับเป็นก้าวที่สำคัญที่ช่วยให้เราสนับสนุน ลูกค้าและพาร์ทเนอร์ในอุตสาหกรรมต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น ควบคู่ไปกับการรักษาสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับทีมของเรา”

สำนักงานแห่งใหม่ในไทยตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจ ภายในอาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่ได้รับการรับรอง LEED Platinum โดยเป็นสถานที่ทำงานแบบไฮบริดที่ช่วยให้พนักงานสามารถทำงานร่วมกันและติดต่อสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างราบรื่น โดยพื้นที่ทำงานร่วมกันมีสิ่งอำนวยความสะดวกล้ำสมัยที่ออกแบบมาเพื่อรองรับการประชุมของทีม และการประชุมกับลูกค้า ตลอดจนโต๊ะทำงานและห้องประชุมที่สามารถใช้งานได้ทันที เพื่อเพิ่มความสะดวกในการติดต่อสื่อสารอย่างราบรื่น

ไซมอน เดล กล่าวเสริมว่า “ที่อะโดบี เรามุ่งมั่นที่จะมอบประสบการณ์การทำงานที่ดีเยี่ยมให้กับพนักงานของเรา โดยสอดรับกับบุคลิกเฉพาะตัวของพนักงาน และช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้แก่พนักงานในการนำเสนอประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้แก่ลูกค้า  เราเชื่อว่าสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ดีเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนการสร้างสรรค์ นวัตกรรมและการเติบโต โดยเราทุ่มเทให้กับการสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ไม่หยุดนิ่ง และเปิดกว้างสำหรับทุกคน”

สำนักงานแห่งใหม่ในประเทศไทยจะมีบทบาทสำคัญในการทำให้ความสัมพันธ์กับพาร์ทเนอร์และลูกค้าของอะโดบีแข็งแกร่งขึ้น รวมถึง เซ็นทรัล รีเทล และสยามพิวรรธน์ รองรับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องเพื่อนำเสนอประสบการณ์ลูกค้าที่ยอดเยี่ยม

เกี่ยวกับอะโดบี

อะโดบีกำลังเปลี่ยนแปลงโลกผ่านประสบการณ์ดิจิทัล ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.adobe.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

อะโดบีโซลูชั่น Adobe Substance 3D ช่วยแบรนด์ค้าปลีกและแฟชั่นสร้าง Prototype ยกระดับประสบการณ์ 3D Content

ซานโฮเซ่, แคลิฟอร์เนีย — 25 มกราคม 2566 — อะโดบี (Nasdaq:ADBE) จัดแสดงโซลูชั่น Substance 3D สำหรับอุตสาหกรรมค้าปลีกและแฟชั่น พร้อมเปิดเผยรายชื่อลูกค้าใหม่ ได้แก่ Amazon, Louis Vuitton และ Burberry โดยอีโคซิสเต็มส์การออกแบบ 3D ของอะโดบีประกอบด้วย 5 แอปพลิเคชั่น ได้แก่ Substance 3D Stager, Sampler, Designer, Painter และ Modeler ซึ่งช่วยให้แบรนด์ต่างๆ สามารถพลิกโฉม Value Chain ของธุรกิจ ตั้งแต่ขั้นตอนการคิดคอนเซ็ปต์และสร้างต้นแบบ ไปจนถึงการตลาด อี-คอมเมิร์ซ และประสบการณ์แบบเสมือนจริงที่แปลกใหม่สำหรับผู้บริโภค

อุตสาหกรรมค้าปลีกและแฟชั่นอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญ ขณะเดียวกันต้องเผชิญกับความต้องการผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่เพิ่มสูงขึ้นของผู้บริโภคในแต่ละฤดูกาล รวมถึงแรงกดดันในการดำเนินงานที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น  แบรนด์สมัยใหม่จำเป็นต้องปรับขีดความสามารถในการสร้างเนื้อหาคอนเทนต์ให้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า  แอปพลิเคชั่น Substance 3D ของอะโดบี ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากผู้พัฒนาเกมชั้นนำ กำลังพลิกโฉมหน้าของอุตสาหกรรมค้าปลีกและแฟชั่น โดยแบรนด์ระดับโลกอย่างเช่น Lowe’s Home Improvement, Amazon, HUGO BOSS, Louis Vuitton, H&M และ Burberry ได้ปรับใช้โซลูชั่น Substance 3D เพื่อปรับปรุงการออกแบบผลิตภัณฑ์และกระบวนการแสดงผลภาพ ตลอดจนเร่งการสร้างเนื้อหาดิจิทัลคอนเทนต์ในขอบเขตที่กว้างมากขึ้น

ด้วยการใช้แอปพลิเคชั่น Substance 3D ทีมงานฝ่ายออกแบบผลิตภัณฑ์และการตลาดจึงสามารถสร้างและทำซ้ำชิ้นงานใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องสุ่มตัวอย่างและจัดส่งเครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ หรือแคตตาล็อกผลิตภัณฑ์ โดยต้นแบบและงานดีไซน์ 3D ที่ดูสมจริงช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ช่วยให้ทีมงานสามารถทุ่มเทให้กับงานออกแบบสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่  เทคโนโลยีดังกล่าวช่วยประหยัดทั้งเวลาและทรัพยากร และช่วยให้แบรนด์ต่างๆ สามารถโฟกัสไปที่การนำเสนอประสบการณ์ใหม่ๆ ให้แก่ผู้บริโภค เช่น ห้องลองเสื้อผ้าเสมือนจริง โซลูชั่นสำหรับ personalized e-commerce และอื่นๆ อีกมากมาย

จอห์น-แดเนียล ไอแซคสัน ผู้พัฒนากระบวนการออกแบบของ H&M กล่าวว่า “ประโยชน์ของการใช้วัสดุ Substance ใน CLO สำหรับชิ้นงานที่ทำอยู่ และความสามารถในการเปลี่ยนแปลงค่าพารามิเตอร์ของวัสดุระหว่างที่กำลังดำเนินการนับเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่อย่างแท้จริง”

ไมค์ จิล ผู้จัดการฝ่ายผลิตโฆษณาของ Lowe’s Home Improvement กล่าวว่า “เครื่องมือ Adobe Substance 3D นำเสนอภาพ CGI คุณภาพสูงสำหรับโมเดล 3D และฉากในห้อง  ด้วยการใช้ความเชี่ยวชาญและความใส่ใจในรายละเอียด เราจึงสามารถพัฒนากระบวนการที่มีความคล่องตัวสูง ซึ่งในทางกลับกันทำให้เราทำงานได้เสร็จเร็วขึ้นและต้นทุนต่ำลง”

ดูราย มูรูกัน วีระสามี ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายปฏิบัติการ 3D ของ Amazon กล่าวว่า “Adobe Substance 3D เป็นองค์ประกอบสำคัญในเวิร์กโฟลว์การผลิตชิ้นงาน 3D ของเรา เวิร์กโฟลว์ที่สอดคล้องกันอย่างกลมกลืนมีข้อดีมากมาย ช่วยให้เราสามารถสร้างองค์ประกอบ 3D ที่เปลี่ยนภาพและวิดีโอแบบพาสซีฟให้กลายเป็นประสบการณ์แบบแอคทีฟที่ลูกค้าสามารถปรับแต่งให้เหมาะกับความต้องการของตนเองได้”

โซลูชั่น Substance 3D ของอะโดบีสำหรับธุรกิจค้าปลีกและแฟชั่นประกอบด้วยแอปพลิเคชั่นต่อไปนี้:

  • Substance 3D Stager: สตูดิโอเสมือนจริงที่มีอุปกรณ์ครบครันของอะโดบีช่วยให้นักออกแบบสามารถสร้างฉาก 3D เต็มรูปแบบ รวมไปถึงองค์ประกอบต่างๆ วัสดุ แสง และกล้อง  ด้วยการควบคุมงานสร้างสรรค์ที่ไร้ขีดจำกัด แบรนด์ต่างๆ จึงสามารถสร้างสภาพแวดล้อมแบบกำหนดเองได้หลากหลายรูปแบบ เพื่อช่วยให้ผู้บริโภคออนไลน์สามารถดูผลิตภัณฑ์ในบริบทที่เกี่ยวข้องได้อย่างสมจริง เช่น ซูมเข้า-ออกเพื่อวัดขนาดของโซฟา หรือซูมเข้าเพื่อตรวจดูว่าพื้นผิวมีความสวยงามอย่างที่ผู้บริโภคต้องการหรือไม่
  • Substance 3D Sampler: รูปภาพในชีวิตจริง (Real-life picture) สามารถเปลี่ยนเป็นวัสดุและแบบจำลองที่แม่นยำทางกายภาพได้อย่างง่ายดาย ด้วยฟีเจอร์ที่ช่วยประหยัดเวลาซึ่งขับเคลื่อนด้วย Adobe Sensei  หากต้องการปรับเปลี่ยนคอลเลกชั่นตามฤดูกาล นักออกแบบก็สามารถนำเอาเนื้อผ้ายอดนิยมที่สร้างไว้ใน Sampler กลับมาใช้ใหม่ทำให้สร้างผลิตภัณฑ์เพิ่มได้อย่างรวดเร็ว เพื่อรองรับเทรนด์ใหม่ตามที่คาดการณ์ไว้
  • Substance 3D Designer: เครื่องมือมาตรฐานอุตสาหกรรมสำหรับการสร้างวัสดุโดยใช้ค่าพารามิเตอร์ ช่วยให้สามารถสร้างวัสดุและแพทเทิร์นได้อย่างไร้รอยต่อ  ในการทำงานกับวัสดุต่างๆ เช่น หนัง แบรนด์เครื่องแต่งกายจะสามารถเลือกสี ลายผ้าแบบ grain direction และความสม่ำเสมอ ระดับความหยาบหรือเรียบ และระดับการสึกหรอ เพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์ดูมีชีวิตชีวา
  • Substance 3D Painter: แอปสร้างพื้นผิว 3D ที่จำเป็นของอะโดบีช่วยให้นักออกแบบสามารถสร้างรายละเอียดพื้นผิวที่สมจริงเป็นพิเศษด้วย Smart Materials แบรนด์ต่างๆ จะสามารถจำลองพฤติกรรมของวัสดุในชีวิตจริง ซึ่งรวมถึงการเคลือบเงา การทำให้หมอง หรือการเคลือบใส เพื่อแสดงรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น สามารถแสดงแบบรองเท้า ตั้งแต่สภาพหนังแรกเริ่มตอนจดสิทธิบัตรไปจนถึงหนังที่เสื่อมสภาพ
  • Substance 3D Modeler: เครื่องมือที่ยืดหยุ่นและใช้งานง่ายสำหรับการร่างภาพสเก็ตช์และกำหนดแนวคิดการออกแบบผลิตภัณฑ์ในเวิร์กโฟลว์แบบไฮบริด ซึ่งใช้งานร่วมกับ VR และงานครีเอทีฟบนเดสก์ท็อปแบบเก่าเข้าไว้ด้วยกัน  แบรนด์ต่างๆ จะสามารถสร้างต้นแบบเสมือนจริงแบบ clay model เพื่อสร้างชิ้นงานออกแบบที่ไร้ขีดจำกัด ตั้งแต่ของเล่นชิ้นใหม่ ไปจนถึงหูฟัง กระเป๋าถือ และอื่นๆ
  • Substance 3D Assets Library: บูรณาการและเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชั่น Substance 3D ทั้งหมด ไลบรารี 3D Assets เป็นที่รวบรวมวัตถุ แสง และวัสดุที่พร้อมใช้ในงานดีไซน์มากกว่า 15,000 รายการ ซึ่งสร้างสรรค์โดยผู้เชี่ยวชาญและศิลปินรับเชิญระดับโลก ช่วยให้แบรนด์ต่างๆ สามารถพัฒนาและปรับแต่งรันเวย์ ฉากถ่ายทำ และสตูดิโอเสมือนจริงได้อย่างรวดเร็ว

เซบาสเตียน เดอกีย์ รองประธานและหัวหน้าฝ่าย 3D ของอะโดบี กล่าวว่า “อีโคซิสเต็มส์ของ Substance 3D ช่วยให้นักออกแบบสามารถสร้างพื้นผิวและเรนเดอร์ภาพได้อย่างง่ายดายและเป็นธรรมชาติ  ปัจจุบันผู้ค้าปลีกและธุรกิจอี-คอมเมิร์ซกำลังมองหาเครื่องมือ 3D เพื่อตอบสนองความต้องการสำหรับดิจิทัลคอนเทนต์ที่เพิ่มสูงขึ้น โดยชุดแอป Substance 3D ของอะโดบีสำหรับธุรกิจค้าปลีกและแฟชั่นจะช่วยพลิกโฉมขั้นตอนการสร้างคอนเทนต์ ปลดล็อกความคิดสร้างสรรค์ และเพิ่มประสิทธิภาพให้กับภาคธุรกิจนี้”

สร้างคอนเทนต์ในรูปแบบ 3D ช่วยลดเวลาในการผลิตงานครีเอทีฟ ลดการใช้ทรัพยากร และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้อย่างมาก  รายงาน Pfeiffer ฉบับล่าสุดระบุว่า บริษัทต่างๆ ที่ใช้เวิร์กโฟลว์ 3D แทนการถ่ายภาพจริง ช่วยลดชั่วโมงทำงานและการใช้ทรัพยากรได้ถึง 90% นอกจากนั้น Substance 3D Sustainability Calculator ของอะโดบี ซึ่งเพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเร็วๆ นี้ ช่วยให้องค์กรธุรกิจประเมินได้ว่าการปรับเปลี่ยนโครงงานไปสู่ 3D จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่เร็วขึ้นและประหยัดมากขึ้น ควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ  ด้วยการลดความสิ้นเปลืองในการสร้างผลิตภัณฑ์ต้นแบบของจริง นักออกแบบจะสามารถทุ่มเทให้กับสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือ การส่งมอบผลิตภัณฑ์และประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมให้แก่ผู้บริโภค

ที่งานสมาพันธ์ผู้ค้าปลีกแห่งชาติ (National Retail Federation – NRF) อะโดบีได้แสดงการเติบโตของฐานธุรกิจในส่วนของอุตสาหกรรมค้าปลีก โดยเทคโนโลยีของอะโดบีทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล และกว่า 85% ของผู้ค้าปลีกชั้นนำ 100 รายในสหรัฐฯ ไว้วางใจเลือกใช้คอมเมิร์ซโซลูชั่นของอะโดบีเพื่อรองรับการดำเนินงาน

เกี่ยวกับอะโดบี

อะโดบีกำลังเปลี่ยนแปลงโลกผ่านประสบการณ์ดิจิทัล ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.adobe.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

รายงาน Future of Creative ของอะโดบี เผย เทศกาลวันหยุด “คริสมาสต์ – ปีใหม่” เป็นช่วงสร้างรายได้มากที่สุดในรอบปีของครีเอเตอร์

รายงาน Future of Creative ของอะโดบี เผย เทศกาลวันหยุด “คริสมาสต์ – ปีใหม่” เป็นช่วงสร้างรายได้มากที่สุดในรอบปีของครีเอเตอร์

  • ครีเอเตอร์ที่ไม่ใช่มืออาชีพ (Non-professional creator) ที่สร้างรายได้จากผลงานกล่าวว่า พวกเขาสร้างรายได้ในช่วงวันหยุดมากกว่าหนึ่งในสาม (34%) ของรายได้จากงานครีเอทีฟที่ทำตลอดทั้งปี
  • 71% ของของครีเอเตอร์กลุ่มที่สร้างรายได้ (Monetizer) เป็นพาร์ทเนอร์กับแบรนด์ในช่วงเทศกาลวันหยุด โดย 75% กล่าวว่า คุณค่าของแบรนด์มีความสำคัญมากกว่าขนาดและอิทธิพลของแบรนด์
  • กว่าครึ่งของครีเอเตอร์กลุ่มสร้างรายได้ กล่าวว่า พวกเขาจะได้รับรายได้จากผลงานที่ทำในปี 2565 มากกว่าปี 2564 และกว่าหนึ่งในสี่ คาดว่าจะมีรายได้มากกว่าอย่างน้อย 50%
  • ในบรรดาครีเอเตอร์กลุ่มสร้างรายได้ที่ใช้เครื่องมือดิจิทัลเพื่อสร้างคอนเทนต์ราว 87% กล่าวว่า พวกเขาใช้เครื่องมือของอะโดบี รวมถึง Photoshop และ Adobe Express โดย 69% ใช้เครื่องมือดิจิทัลมากขึ้นในช่วงวันหยุด

รายงาน “Future of Creativity” ของอะโดบีฉบับล่าสุดศึกษาข้อมูลอินไซต์เกี่ยวกับโอกาสในการสร้างรายได้ในช่วงเทศกาลวันหยุดสำหรับครีเอเตอร์ที่ไม่ใช่มืออาชีพ (Non-professional creators) โดยรายงานได้นำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับวิธีที่ครีเอเตอร์พัฒนากลยุทธ์ด้านคอนเทนต์เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตในช่วงเทศกาลวันหยุดที่ผ่านมา รวมถึงการเพิ่มรายได้ด้วยการเป็นพันธมิตรกับแบรนด์ การทำงานร่วมกับครีเอเตอร์คนอื่นๆ และแนวทางการเพิ่มผลงานสร้างสรรค์ของพวกเขา

แอชลีย์ สติล รองประธานอาวุโส ฝ่ายการตลาดสื่อดิจิทัล กลยุทธ์ และพันธมิตรระดับโลกของอะโดบี กล่าวว่า “ในช่วงวันหยุด ครีเอเตอร์ถือเป็นกลุ่มคนที่มีอิทธิพลในการผลักดันเทรนด์ผ่านวิธีการสื่อสารที่หลากหลาย รวมทั้งยังสร้างโอกาสใหม่ๆ อะโดบีส่งเสริมโอกาสให้ครีเอเตอร์ได้สร้างสรรค์ผลงานให้เกิดขึ้นจริง โดยผ่านเครื่องมือครีเอทีฟที่ทรงพลังและใช้งานง่าย เช่น Adobe Express ที่ทำให้ทุกคนสามารถแสดงตัวตน และพลังการสร้างสรรค์ในช่วงวันหยุดเทศกาลด้วยเทมเพลทที่หลากหลายให้สนุกสนานยิ่งขึ้น”

วันหยุด คือ ช่วงเวลาที่สร้างโอกาสและการเติบโต

ในช่วงเทศกาลวันหยุดปี 2565 ครีเอเตอร์ได้สร้างสรรค์ผลงานมากขึ้น รวมทั้งมีส่วนร่วมกับผู้ชมและแบรนด์บ่อยขึ้น และสร้างรายได้จากคอนเทนต์ได้มากขึ้น โดยมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้:

  • เกือบสามในสี่ของครีเอเตอร์กลุ่มสร้างรายได้ (73%) ระบุว่าช่วงวันหยุดเป็นช่วงเวลาที่สร้างรายได้มากที่สุดของปี
  • โดยเฉลี่ยแล้ว ของครีเอเตอร์กลุ่มสร้างรายได้ รายงานว่า รายได้ในช่วงวันหยุดคิดเป็นรายได้หนึ่งในสาม (34%) ของรายได้จากการสร้างสรรค์งานต่อปี
  • ในบรรดาครีเอเตอร์กลุ่มสร้างรายได้ที่ทำงานหนึ่งปีหรือมากกว่านั้น 51% คาดว่ารายได้ในปี 2565 จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญเมื่อเทียบกับปี 2564 ในขณะที่ 26% กล่าวว่าพวกเขาจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างน้อย 50% เมื่อเทียบปีต่อปี (YoY)
  • ครีเอเตอร์มืออาชีพมากกว่าแปดในสิบ (86%) จะมีรายได้ในช่วงวันหยุดนี้ผ่านการขายตรง และเกือบสองในสาม (63%) จะได้รายได้จากโปรโมชั่น
  • แม้จะมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียและสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ แต่ครีเอเตอร์ 88% คาดว่าจะเพิ่มจำนวนผู้ชมได้ในช่วงวันหยุดคริสมาสต์ถึงปีใหม่ และเกือบครึ่ง (49%) มีเป้าหมายในการสร้างการรับรู้ของแบรนด์
  • เกือบครึ่ง (47%) ของครีเอเตอร์กลุ่มสร้างรายได้ที่ทำงานมาเป็นเวลา 1 ปีหรือมากกว่านั้นคาดว่าจะโพสต์คอนเทนต์อย่างน้อยวันละครั้ง และ 59% กล่าวว่าพวกเขาเพิ่มความถี่ในการโพสต์ตั้งแต่ปีที่แล้ว

ความร่วมมือกับแบรนด์ในการสร้างรายได้

การเป็นพันธมิตรกับแบรนด์เป็นกุญแจสำคัญในการสร้างรายได้ แต่ครีเอเตอร์จะเป็นผู้เลือกว่าจะทำงานร่วมกับแบรนด์ไหน

  • 71% ของครีเอเตอร์กลุ่มสร้างรายได้ เป็นพันธมิตรกับแบรนด์ในช่วงเทศกาลวันหยุด และมากกว่าหนึ่งในสาม (36%) ของครีเอเตอร์ที่เป็นพันธมิตรกับแบรนด์กล่าวว่ารายได้จากการสร้างสรรค์ของพวกเขาคิดเป็นครึ่งหนึ่งหรือมากกว่าของรายได้ทั้งหมด
  • 75% ของครีเอเตอร์ครีเอเตอร์กลุ่มสร้างรายได้ กล่าวว่า คุณค่าของแบรนด์มีความสำคัญมากกว่าขนาดและอิทธิพลของแบรนด์ 74% กล่าวว่าพวกเขาต้องการเป็นพันธมิตรกับครีเอเตอร์ด้วยกันเองมากกว่าแบรนด์ใหญ่
  • ครึ่งหนึ่งของครีเอเตอร์กลุ่มสร้างรายได้ ที่เป็นพันธมิตรกับแบรนด์ตั้งแต่ 5 แบรนด์ขึ้นไปวางแผนที่จะแสวงหาพันธมิตรแบรนด์ใหม่เชิงรุก ในขณะที่ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มความถี่ของการมีส่วนร่วมของผู้ชม (53%) สร้างวิดีโอคอนเทนต์มากขึ้น (60%) สร้างคอนเทนต์รูปแบบใหม่ (61 %) และสร้างคอนเทนต์เสริม (66%)

สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจมหภาค (Macroeconomic) ขับเคลื่อนกลยุทธ์ใหม่

เช่นเดียวกับในอุตสาหกรรมอื่นๆ ครีเอเตอร์ตระหนักถึงสภาพแวดล้อมของเศรษฐกิจมหภาคที่ไม่แน่นอน และเกือบหนึ่งในสาม (32%) ของครีเอเตอร์มืออาชีพกล่าวว่า พวกเขากำลังปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อให้มีส่วนร่วมกับผู้ชมมากขึ้น

  • ในบรรดาครีเอเตอร์ที่เปลี่ยนรูปแบบการทำคอนเทนต์และ/หรือกลยุทธ์ทางธุรกิจ 63% กล่าวว่าพวกเขากำลังสร้างคอนเทนต์เพิ่มเติม 60% กำลังสร้างคอนเทนต์รูปแบบใหม่ และ 49% มีส่วนร่วมกับผู้ชมบ่อยขึ้น
  • โดยเฉลี่ยแล้ว ครีเอเตอร์จะสร้างและโพสต์คอนเทนต์ที่แตกต่างกันสี่ประเภทในเทศกาลวันหยุดนี้ ได้แก่ รูปถ่าย (70%) วิดีโอ (61%) ศิลปะ/กราฟิก (47%) มีม (31%)
  • แพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของครีเอเตอร์สำหรับการโพสต์คอนเทนต์ที่สร้างสรรค์หรือโซเชียลมีเดีย ได้แก่ Facebook (70%), Instagram (65%) และ YouTube (57%) โดยที่ครีเอเตอร์มือกลุ่ม Gen Z ใช้ TikTok เป็นประจำ (60%) ซึ่งมากกว่า Millennial ( 47%) หรือ Gen X (42%)

รายงาน Future of Creativity ยังชี้ให้เห็นว่า ครีเอเตอร์กลุ่มสร้างรายได้ส่วนใหญ่ (81%) ใช้แอป ซอฟต์แวร์ และเครื่องมือดิจิทัลในการสร้างคอนเทนต์ และ 87% ในกลุ่มนั้นใช้ผลิตภัณฑ์ Adobe Creative Cloud และ Adobe Express – เครื่องมือ all-in-one ชั้นนำสำหรับการสร้างโซเชียลกราฟิก ใบปลิว โลโก้ และวิดีโอ – ช่วยให้บุคคล, นักธุรกิจอิสระ (solopreneurs), social influencer, เจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก และองค์กรต่างๆ ทั่วโลกสามารถถ่ายทอดเรื่องราวของพวกเขาได้ โดยทุกคนสามารถใช้เครื่องมือครีเอทีฟของอะโดบีเพื่อสร้างคอนเทนต์คุณภาพระดับมืออาชีพได้เร็วขึ้น และง่ายขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

เกี่ยวกับรายงาน Future of Creativity

รายงาน Future of Creativity ของอะโดบีมีเป้าหมายเพื่อทำความเข้าใจว่า ความคิดสร้างสรรค์ทั่วโลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร โดยพูดคุยโดยตรงกับผู้ที่อยู่ในระดับแนวหน้าของการสร้างสรรค์คอนเทนต์ออนไลน์: ผู้สร้าง Creator Economy โดยผลการศึกษาครั้งนี้ได้เก็บข้อมูลจากมุมมองที่หลากหลาย

ระเบียบวิธีการศึกษา

ในเดือนพฤศจิกายน 2565 การศึกษาเรื่อง Future of Creativity ได้สำรวจ “ครีเอเตอร์ที่ไม่ใช่มืออาชีพ” (non-professional creators) ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปประมาณ 1,000 คนในสหรัฐอเมริกา โดยหมายถึงครีเอเตอร์ที่ไม่ใช่มืออาชีพที่มีส่วนร่วมในกิจกรรมครีเอทีฟ (เช่น รูปภาพ การเขียนเชิงสร้างสรรค์ และการสร้างคอนเทนต์บนโซเชียลมีเดีย) และโพสต์ แชร์ หรือโปรโมทผลงานของพวกเขาจากกิจกรรมเหล่านี้ทางออนไลน์อย่างน้อยเดือนละครั้งโดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างการเติบโตผ่านโซเชียล ส่วนครีเอเตอร์กลุ่มสร้างรายได้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มครีเอเตอร์เหล่านี้ที่มีรายได้จากกิจกรรมครีเอทีฟ การขายผ่านเว็บไซต์หรือ marketplace หรือการสร้างรายได้จากพันธมิตร ลิงก์แอฟฟิลิเอต และ/หรือรายได้จากโฆษณา


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

Photoshop on iPad อัปเดทฟีเจอร์ที่รอคอย! ลบ เพิ่ม เติม แต่งรูปและแบคกราวด์ด้วย ‘One Tap’ เสริมด้วยเทคโนโลยี AI

ไรอัน ดัมเลา ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายผลิตภัณฑ์ Photoshop on the iPad, อะโดบี

ดาวน์โหลด Photoshop on the iPad

เรามุ่งมั่นทำงานอย่างจริงจังเพื่อเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ๆ ให้กับ Photoshop on iPad นับตั้งแต่ที่เปิดตัวเป็นครั้งแรกเมื่อปี 2562 และสำหรับรีลีสล่าสุดที่เรานำเสนอในช่วงฤดูใบไม้ผลินี้ เราได้เสริมความแข็งแกร่งให้กับฟีเจอร์ต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นการรีทัช ปรับแต่ง หรือเบลนด์รูปภาพเข้าด้วยกัน ด้วยการใช้เทคโนโลยี Photoshop ที่เหนือชั้น บวกกับความสะดวกในการพกพา PSD บนระบบคลาวด์ และพลังของ Apple Pencil ทำให้ผู้ใช้สามารถสร้างสรรค์ผลงานตามแรงบันดาลใจได้ทุกที่ทุกเวลาอย่างง่ายดายมากขึ้น  การอัปเดตในช่วงสองปีที่ผ่านมาช่วยยกระดับความแม่นยำและการควบคุมเครื่องมือต่างๆ ใน Photoshop และในปีนี้เราได้เพิ่มฟีเจอร์แบบ One-Tap เพื่อเพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการใช้งานเครื่องมือดังกล่าว

การอัปเดตช่วงหลัง เรามุ่งเน้นความสามารถที่ช่วยให้ผู้ใช้ปรับเปลี่ยนสิ่งต่างๆ มากมายให้กับภาพถ่ายด้วยการแตะหน้าจอเพียงครั้งเดียว หรือ One Tap  ไม่ว่าจะเป็นการลบแบ็กกราวนด์ หรือการใช้ AI เพื่อลบบางส่วนของภาพ ทั้งหมดนี้ผู้ใช้ทำได้ด้วยการแตะเพียงครั้งเดียว!

เติมพื้นที่ด้วย Content-Aware Fill

ทีมงาน Photoshop ใช้เวลากว่า 30 ปีในการพัฒนาเทคโนโลยีที่แปลกใหม่เพื่อยกระดับการแก้ไขภาพถ่าย และ Content-Aware Fill เป็นหนึ่งในฟีเจอร์สำคัญของ Photoshop Desktop  และวันนี้เราได้นำเอาฟีเจอร์ดังกล่าวมาใส่ไว้ใน Photoshop on iPad ด้วยขั้นตอนการใช้งานที่ง่ายดาย แค่แตะหน้าจอเพียงครั้งเดียว ผู้ใช้สามารถเลือกพื้นที่และใช้ AI เพื่อเติมรายละเอียดได้เนียนไปกับสภาพแวดล้อมในรูปได้โดยผู้ใช้สามารถลบวัตถุที่ไม่ต้องการในแบ็กกราวนด์ และเพิ่มรายละเอียดที่ต้องการได้อย่างกลมกลืน ลบคนในภาพถ่าย หรือลบวัตถุแปลกปลอม ซึ่งรายละเอียดที่ผู้ใช้ต้องการลบหรือเพิ่มทั้งหมดจะถูกจัดการด้วยเทคโนโลยี AI

ทั้งหมดนี้ทำได้ง่ายๆ เพียงเลือกเครื่องมือ Lasso Tool หรือเครื่องมือสำหรับการเลือกแบบอัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วย AI ใน Photoshop เช่น Object Select เพื่อเลือกพื้นที่ที่จะแก้ไข จากนั้นให้แตะที่ “Content Aware Fill” แล้วพื้นที่ที่ถูกเลือกก็จะหายไปและส่วนที่ถูกแก้ไขก็จะผสานรวมเข้ากับส่วนที่เหลือของภาพอย่างกลมกลืน

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่

ลบแบ็กกราวนด์

หนึ่งในเครื่องมือที่แปลกใหม่มากที่สุดก็คือ “การลบแบ็กกราวนด์ของภาพถ่าย” ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถทำสิ่งต่างๆ เช่น ตัดและย้ายวัตถุไปใส่ไว้ในภาพอื่น หรือเปลี่ยนแบ็กกราวนด์ตัวเองด้วยฉากอื่น เป็นต้น  Photoshop ขับเคลื่อนผลลัพธ์ที่มีคุณภาพสูงสุดด้วยการผสานรวมเทคโนโลยี Select Subject เข้ากับ Layer Masking เพื่อให้ผู้ใช้สามารถลบแบ็กกราวนด์ออกจากภาพได้อย่างเรียบเนียน โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงพิกเซลต้นฉบับของภาพ

เราได้นำเอาการดำเนินการแบบ One-Tap นี้ไปใส่ไว้ใน Photoshop on iPad เพื่อช่วยให้ผู้ใช้ทำงานได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น โดยผู้ใช้จะสามารถปรับเปลี่ยนพื้นหลังหรือตัดภาพบุคคลไปใส่ไว้ในภาพอื่นได้อย่างไร้รอยต่อ  เพียงแค่เปิดภาพถ่าย และเลือก “Remove Background” โดยใช้เครื่องมือ Lasso Tool หรือ Quick Actions บนแผง Properties Panel ทางด้านขวา

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่

ตัดเส้นผมและบุคคลได้เนียนกริบ ด้วย Select Subject

นอกเหนือจากการลบแบ็กกราวนด์แล้ว เทคโนโลยี Select Subject เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่สำคัญในการเลือกเฉพาะส่วนที่สำคัญที่สุดในภาพถ่าย ซึ่งโดยมากแล้วก็คือตัวบุคคลภายในภาพ  ด้วยการอัปเดตสำหรับปี 2565 เราได้ปรับปรุง Select Subject โดยมีการใช้โมเดล AI ที่สามารถระบุภาพบุคคล พร้อมทั้งเลือกและปรับแต่งรายละเอียดปลีกย่อย เช่น ปอยผม และขอบของเสื้อผ้า ซึ่งในอดีตอาจต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงสำหรับการเลือกพื้นที่เหล่านี้อย่างละเอียดแม่นยำ

และที่ดีไปกว่านั้นก็คือ ทั้งหมดนี้ทำได้ด้วยการแตะหน้าจอเพียงครั้งเดียว เมื่อคุณใช้ Select Subject บนภาพถ่ายบุคคล ฟีเจอร์นี้ก็จะทำการปรับแต่งส่วนขอบและเส้นผมทั้งหมดแบบอัตโนมัติ  และผู้ใช้จะสามารถใช้ Mask และเลเยอร์การปรับเปลี่ยน เพื่อปรับแต่งภาพบุคคลที่ธรรมดาๆ ให้กลายเป็นภาพถ่ายที่สวยงามอย่างน่าทึ่ง!

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่

ปรับโทน สี และคอนทราสต์ได้อัตโนมัติ

หลังจากที่เปิดภาพถ่ายบนโปรแกรม Photoshop Desktop สิ่งที่ผู้ใช้ Photoshop มักจะทำมากที่สุดก็คือ การปรับโทนสีอัตโนมัติ (Auto Tone) การปรับคอนทราสต์อัตโนมัติ (Auto Contrast) และการปรับแต่งสีอัตโนมัติ (Auto Color) ผู้ใช้สามารถเรียกใช้งาน 3 คำสั่งนี้ได้ง่ายๆ ด้วยการแตะเพียงครั้งเดียว เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องโทนสี หรือสีที่ไม่สมดุลกัน และจากนั้นก็สามารถดำเนินขั้นตอนอื่นๆ เพิ่มเติมเพื่อปรับเปลี่ยนภาพถ่ายตามที่ต้องการ

วิธีใช้งานก็คือ แตะที่คำสั่งอัตโนมัติจากไอคอน “Filters and adjustments” ซึ่งอยู่ทางด้านขวา  จากนั้นก็เติม Content-Aware Fill จะสามารถแต่งภาพ และลบวัตถุที่ไม่ต้องการออกจากภาพ สะดวกและรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่วินาที!

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่

การเรียกดูฟอนต์และอื่นๆ

นอกจากนี้ ยังมีการอัปเดตส่วนอื่นๆ เพิ่มเติมอีกมากมาย นอกเหนือจากการดำเนินการแบบ One-Tap ที่เรากล่าวถึงข้างต้น ตัวอย่างเช่น:

  • เข้าถึงฟอนต์ตัวอักษรของอะโดบีกว่า 20,000 ฟอนต์ได้โดยตรงภายในเครื่องมือ Type Tool
  • โหลดฟอนต์ของผู้ใช้เอง
  • เปลี่ยนชื่อเอกสารคลาวด์ขณะที่กำลังแก้ไขภาพ
  • ซิงค์เอกสารคลาวด์ในแบบออนดีมานด์
  • ดูการปักหมุดและคำอธิบายประกอบที่คนอื่นๆ ใส่ไว้ในเอกสารที่แชร์จากแผงการแสดงความเห็น (Commenting Panel)

หยิบ iPad ขึ้นมา เปิดแอป Photoshop และเริ่มใช้ฟีเจอร์ใหม่ๆ ได้เลย!

ขอบคุณ

ขอขอบคุณลูกค้าทุกท่านในทุกที่ทั่วโลกที่ใช้ Photoshop สร้างสรรค์ภาพที่สวยงาม  ผู้ใช้ทุกคนคือผู้มอบแรงบันดาลใจให้แก่เรา และเราจะมุ่งมั่นทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยให้ผู้ใช้รังสรรค์ผลงานตามแรงบันดาลใจได้ทุกที่ทุกเวลา


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

Adobe Real-Time CDP สร้างความเป็นส่วนตัวให้กับเศรษฐกิจดิจิทัล เสริมศักยภาพแบรนด์ทั่วโลก

กรุงเทพ, 5 เมษายน 2565 — ที่งาน Adobe Summit ซึ่งเป็นงานประชุมเกี่ยวกับดิจิทัล มาร์เก็ตติ้งและประสบการณ์ดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก (Nasdaq:ADBE) ได้เปิดเผยรายชื่อลูกค้ารายใหม่ และนวัตกรรมใหม่ๆ ใน Adobe Real-Time Customer Data Platform (CDP) ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากแบรนด์ชั้นนำในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมหลัก เช่น ค้าปลีก การดูแลสุขภาพ บริการด้านการเงิน เทคโนโลยี สื่อและบันเทิง  นวัตกรรมใหม่ที่เผยโฉมในงาน Adobe Summit 2022 ทำให้ Adobe Real-Time CDP มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น โดยประกอบด้วยฟีเจอร์ที่หลากหลายซึ่งจะช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลลูกค้าได้อย่างเต็มศักยภาพ  ส่วนหนึ่งของแบรนด์ล่าสุดที่เลือกใช้เทคโนโลยีของอะโดบีได้แก่ Major League Baseball™, The Coca-Cola Company, Coles, General Motors, Dick’s Sporting Goods, EY, Panera Bread, T.Rowe Price, ServiceNow, TSB Bank, Real Madrid และ Suncorp 

อามิท อาฮูจา รองประธานอาวุโสฝ่ายแพลตฟอร์มและผลิตภัณฑ์ Adobe Experience Cloud ของอะโดบี กล่าวว่า เพื่อตอบสนองต่อความคาดหวังของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในระบบเศรษฐกิจดิจิทัล แบรนด์ต่างๆ จำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ด้านข้อมูลและปรับปรุงขีดความสามารถด้านการปรับแต่งประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคล  การที่แบรนด์ชั้นนำระดับโลกจำนวนมากไว้วางใจเลือกใช้ Adobe Real-Time CDP แสดงให้เห็นว่าข้อมูลลูกค้าแบบเรียลไทม์และการบูรณาการอย่างกลมกลืนบน Adobe Experience Cloud มีความสำคัญอย่างมากต่อการสร้างสรรค์ประสบการณ์ดิจิทัลส่วนตัวที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ 

Adobe Real-Time CDP ช่วยให้แบรนด์ต่างๆ สามารถตรวจสอบและจัดการโปรไฟล์ลูกค้า อัพเดตข้อมูลแบบเรียลไทม์ และกลั่นกรองข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้าผ่านทางแอปพลิเคชั่น Adobe Experience Cloud โดยครอบคลุมทุกขั้นตอนการดำเนินการของลูกค้า 

มิลา ดิอันโตนิโอ หัวหน้านักวิเคราะห์ ฝ่ายแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชั่นธุรกิจของ Omdia กล่าวว่า “Adobe Real-Time CDP เป็นแพลตฟอร์มข้อมูลลูกค้าที่ครองตำแหน่งผู้นำตลาด ช่วยให้แบรนด์ต่างๆ สามารถสร้างโปรไฟล์แบบครบวงจรสำหรับการปรับแต่งประสบการณ์ลูกค้าในทุกขั้นตอนการดำเนินการของลูกค้า เพื่อให้ลูกค้าเกิดความเชื่อมั่นและภักดีต่อแบรนด์  การปรับใช้ Real-Time CDP อย่างกว้างขวางในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรมจะช่วยให้แบรนด์ต่างๆ สามารถนำเสนอประสบการณ์เชิงรุกที่เหมาะสมให้แก่ลูกค้าหลายล้านคนในแบบเรียลไทม์ 

ความสามารถใหม่ๆ ของ Real-Time CDP ขับเคลื่อนประสบการณ์ลูกค้าแห่งอนาคต 

ด้วย Real-Time CDP อะโดบีช่วยยกระดับศักยภาพของแบรนด์ต่างๆ ในการดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย ด้วยการปลดล็อคความสามารถใหม่ๆ เช่น การเก็บรวบรวมข้อมูล การเพิ่มเติมรายละเอียด และการกระจายข้อมูลทางการตลาดในขอบเขตที่กว้างขวาง โดยการนำเสนอข้อมูลแบบเรียลไทม์ พร้อมทั้งตรวจสอบประเมินเซ็กเมนต์กลุ่มเป้าหมายกว่า 24 ล้านล้านครั้ง และมีการประมวลผลข้อมูลโดยเฉลี่ยกว่าหนึ่งเพทาไบต์ในแต่ละวัน  นวัตกรรมใหม่ที่นำเสนอได้แก่: 

  • การปรับแต่งเฉพาะบุคคลแบบทันทีด้วย Adobe Target: Adobe Target ช่วยให้แบรนด์สามารถใช้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้าได้อย่างฉับไว  การบูรณาการ Adobe Real-Time CDP เข้ากับ Adobe Target ทำให้แบรนด์ต่างๆ สามารถใช้ประโยชน์จากโปรไฟล์ลูกค้าที่สมบูรณ์ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลออนไลน์และออฟไลน์เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า  ข้อมูลการติตด่อสื่อสารกับลูกค้าผ่านช่องทางดิจิทัลถูกเก็บรวบรวมและเชื่อมโยงเข้ากับโปรไฟล์ลูกค้า จากนั้นก็จะนำเอาข้อมูลโปรไฟล์ดังกล่าวไปใช้ในการแบ่งเซ็กเมนต์ของกลุ่มเป้าหมายเพื่อนำเสนอคอนเทนต์แบบเฉพาะบุคคล โดยทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในเวลาเพียงเสี้ยววินาที  การดำเนินการดังกล่าวช่วยให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าและแปรเปลี่ยนเป็นประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคลบนเว็บไซต์และโมบายล์แอปภายในชั่วพริบตา 
  • การปรับใช้คำยินยอมด้านการตลาดจากลูกค้า และการตั้งค่า: ในการนำเสนอประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคลให้แก่ลูกค้าเพื่อสร้างความไว้วางใจ แบรนด์ต่างๆ จำเป็นที่จะต้องเก็บรวบรวม ใช้งาน และจัดเก็บข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้า รวมไปถึงข้อมูลคำยินยอมจากลูกค้  ด้วยแพลตฟอร์มการจัดการคำยินยอมของ OneTrust ที่บูรณาการเข้ากับ Adobe Experience Platform แบรนด์ต่างๆ จะสามารถสร้างโปรไฟล์แบบครบวงจรที่ประกอบด้วยข้อมูลคำยินยอมและการตั้งค่า  การบูรณาการเข้ากับ OneTrust โดยตรงจะช่วยให้แบรนด์ต่างๆ สามารถดึงเอาข้อมูลคำยินยอมจากลูกค้าใส่เข้าไปใน Real-Time CDP ซึ่งจะเพิ่มความสะดวกในการปรับใช้คำยินยอมและการตั้งค่าของผู้บริโภค รวมถึงการรวบรวมข้อมูลข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญจากการตั้งค่าของผู้บริโภคเพื่อนำเสนอประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้น โดยคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวของผู้บริโภคเป็นสำคัญ 
  • Real-Time CDP Connections: ตอนนี้แบรนด์ต่างๆ สามารถเพิ่มความคล่องตัวในการเก็บรวบรวมข้อมูล การเพิ่มเติมรายละเอียด และการกระจายข้อมูล ด้วยการติดตั้งใช้งานแบบ Low-Code ที่รวดเร็ว เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการสร้างมูลค่าสำหรับการปรับแต่งแบบเฉพาะบุคคลในแบบเรียลไทม์โดยอ้างอิงเหตุการณ์เชิงพฤติกรรมของผู้บริโภค  Real-Time CDP Connections ให้ประสิทธิภาพการทำงานแบบเรียลไทม์ด้วยเซิร์ฟเวอร์ของ Adobe Experience Platform Edge Network ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ตามพื้นที่ต่างๆ ช่วยให้สามารถกระจายข้อมูลที่เที่ยงตรงได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งแบรนด์ต่างๆ ก็สามารถส่งข้อมูลจากเซิร์ฟเวอร์ของอะโดบีไปยังปลายทางที่เป็นระบบของอะโดบี หรือเป็นบริษัทอื่นได้อีกด้วย 
  • B2B Intelligence: ด้วย Adobe Senseiซึ่งเป็นเอนจิ้น AI ของอะโดบี แบรนด์ต่างๆ จึงสามารถปรับเพิ่มขนาดกิจกรรมด้านการตลาดและนำเสนอประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคลในขอบเขตที่กว้างขึ้น  Adobe Real-Time CDP B2B Edition ช่วยให้องค์กรธุรกิจได้รับทราบข้อมูลข่าวกรองเชิงคาดการณ์เกี่ยวกับความตั้งใจของลูกค้าในการซื้อสินค้าหรือบริการ  และล่าสุด ด้วยการบูรณาการเข้ากับ Adobe Marketo Measure จะช่วยให้บริษัทที่ทำธุรกิจแบบ B2B ได้รับทราบข้อมูลที่ดียิ่งขึ้นเกี่ยวกับช่องทางและการสร้างรายได้ 
  • สร้างโปรไฟล์ลูกค้าที่รอบด้านด้วยข้อมูลสำคัญจาก Adobe Commerce: เพื่อช่วยให้แบรนด์ต่างๆ สามารถปรับแต่งประสบการณ์ช้อปปิ้งได้ดียิ่งขึ้นAdobe Commerce จึงเชื่อมโยงข้อมูลการค้า เช่น ประวัติการเรียกดูข้อมูลและการซื้อของลูกค้า เข้ากับ Real-Time CDP และแอปพลิเคชั่น Adobe Experience Cloud อื่นๆ  การเชื่อมโยงดังกล่าวช่วยให้แบรนด์ต่างๆ สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า สร้างโปรไฟล์ลูกค้าที่มีรายละเอียดรอบด้าน และนำเสนอประสบการณ์ช้อปปิ้งแบบเฉพาะบุคคล เพื่อผลักดันการขาย ดึงดูดลูกค้า และการสร้างความภักดีต่อแบรนด์  เทคโนโลยีดังกล่าวคาดว่าจะพร้อมใช้งานในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ 

การตอบรับจากลูกค้า 

แบรนด์ชั้นนำในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรมใช้ Real-Time CDP เพื่อปรับแต่งประสบการณ์ในขอบเขตที่กว้างขึ้น: 

  • Coles: เครือข่ายห้างค้าปลีกและซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำของออสเตรเลีย Coles ร่วมมือกับอะโดบี เพื่อปฏิวัติประสบการณ์ช้อปปิ้งในซูเปอร์มาร์เก็ต โดย Coles มีวิสัยทัศน์ที่จะปรับปรุงองค์กรให้กลายเป็นผู้ค้าปลีกที่น่าเชื่อถือมากที่สุดในออสเตรเลีย ด้วยการปรับใช้ Real-Time CDP ทำให้ Coles สามารถผนวกรวมข้อมูลลูกค้าเข้าด้วยกันในรูปแบบ single view เพื่อนำเสนอประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคลให้แก่ลูกค้า โดยสอดคล้องตามกฎระเบียบว่าด้วยความเป็นส่วนตัว และกระชับความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์และลูกค้าให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น 
  • General Motors: ผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำ General Motors (GM) พลิกโฉมอนาคตของยานยนต์ส่วนบุคคล ด้วยการลงทุน 27 พันล้านดอลลาร์สำหรับการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า  ทั้งนี้ตลอดอายุการใช้งานของรถยนต์ ผู้บริโภคคาดหวังว่าจะได้รับประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคลที่โดนใจจากผลิตภัณฑ์ที่หลายๆ คนลงทุนซื้อเป็นครั้งแรก  ด้วยเหตุนี้ GM จึงขยายช่องทางดิจิทัลเพื่อรองรับการดำเนินการดังกล่าว และใช้ประโยชน์จาก Real-Time CDP เพื่อผนวกรวมข้อมูลลูกค้าจากหลากหลายช่องทางการติดต่อ และนำข้อมูลไปใช้ในการปรับแต่งประสบการณ์ออนไลน์ด้วย 
  • Major League Baseball™: Major League Baseball (MLB) ยกระดับประสบการณ์สำหรับแฟนเบสบอลโดยอาศัยเทคโนโลยีของอะโดบี  โปรไฟล์ลูกค้าแบบครบวงจรใน Real-Time CDP ช่วยให้ MLB™ สามารถนำเสนอประสบการณ์ที่ปรับแต่งอย่างเหมาะสมให้แก่แฟนๆ เบสบอล รวมไปถึงโปรโมชั่นแบบเฉพาะบุคคล และการแจ้งเตือนที่สอดรับกับความต้องการของแฟนเบสบอลแต่ละคน 
  • Real Madrid: ยักษ์ใหญ่ด้านการกีฬาของสเปน Real Madrid C.F. ปรับใช้แนวทางที่แปลกใหม่และทันสมัยในการ ดึงดูดแฟนบอล โดยใช้ Adobe Experience Cloud ซึ่งเป็นหัวใจหลักของการทรานฟอร์เมชั่น ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแฟนบอลจะถูกเก็บรวบรวมไว้ใน Adobe Real-Time CDP แล้วนำไปใช้บนช่องทางดิจิทัลที่หลากหลายเพื่อนำเสนอคอนเทนต์เฉพาะบุคคลแบบสูงสุดให้แก่แฟนบอล โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อดึงดูด สร้างความตื่นเต้น และกระชับความสัมพันธ์กับแฟนบอลให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น 
  • TSB Bank: TSB Bank ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์ชั้นนำของสหราชอาณาจักร ใช้ Real-Time CDP เพื่อตอบสนองต่อความคาดหวังของลุ่มลูกค้าที่ใช้ช่องทางดิจิทัลเป็นหลักซึ่งมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ระบบ Real-Time CDP ช่วยให้ TSB Bank สามารถตรวจสอบข้อมูลลูกค้าแต่ละรายได้อย่างครบถ้วนด้วย single view และมีการอัพเดตข้อมูลแบบเรียลไทม์  จากนั้นข้อมูลโปรไฟล์ลูกค้าจะถูกนำไปใช้ในการกำหนดข้อความการติดต่อสื่อสารที่เหมาะสมที่สุดซึ่งจะถูกส่งให้ลูกค้าแต่ละรายในช่วงเวลาที่เหมาะสมในแต่ละขั้นตอนการดำเนินการของลูกค้า ซึ่งจะช่วยดึงดูดลูกค้าและทำให้ลูกค้ามีความภักดีต่อธนาคารมากยิ่งขึ้น 

 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

Adobe เผย “10 เทรนด์เทคโนโลยีอนาคตในมุมมองด้านครีเอทีฟ”

สิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้มาตลอด ปีที่ผ่านมา คือ รูปแบบการทำงานและการใช้ชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไป และจะยิ่งเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างมากใน 5 ปีข้างหน้า ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ เราได้แบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับไอเดียใหม่ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น แทนที่จะกล่าวถึงเทรนด์ที่เห็นอย่างชัดเจน โดยการคาดการณ์ The near future of technology ครอบคลุมมุมมองต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นและส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คน รวมทั้งสิ่งที่แบรนด์จะต้องตระหนักถึง ดังนี้:

1. คำแนะนำที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะเข้ามาแทนที่รายการ​ Favorites

รายการโปรด​ หรือ “Favorites” จะถูกแทนที่ด้วย AI ถ้าเรามองย้อนกลับไป เราจะพบว่าการรวบรวมและเรียกใช้ “รายการโปรด” เป็นความพอใจในสิ่งที่มีอยู่ กล่าวคือ เราพอใจสิ่งต่างๆ ที่เราชอบอยู่แล้ว แทนที่จะสำรวจสิ่งใหม่ๆ เพื่อขยายรสนิยมหรือความชอบของเราให้หลากหลายมากขึ้

เมื่อไม่นานมานี้ แทนที่ผมจะบันทึกเพลย์ลิสต์ที่พบเจอและชื่นชอบบน Spotify แต่​กลับยินยอมที่จะไว้ใจอัลกอริธึม ซึ่งเหมือนกับฟีเจอร์การฟังเพลงจากวิทยุแต่มีการ “ยกระดับ” ขีดความสามารถให้ดียิ่งขึ้น และสิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับแง่มุมอื่นๆ ในชีวิตประจำวันของเรา เช่น ประสบการณ์การเดินทางที่ชื่นชอบจะนำไปสู่ recommendation ซึ่งจะเข้ามาแทนที่การค้นหาข้อมูลบน Google

ทุกสิ่งที่คุณชื่นชอบจะกลายเป็นข้อจำกัดหรือการตีกรอบให้กับชีวิตของคุณ​ ​โดยคุณอาจจะสนใจอยู่แต่เรื่องเหล่านี้จนไม่มีโอกาสที่จะสำรวจประสบการณ์ใหม่ๆ ที่อาจจะดีกว่า (ตามกฎของความเป็นไปได้)  ยิ่งเราจำกัดตัวเองไว้เฉพาะที่ “รายการโปรด” เราก็ยิ่งไม่มีโอกาสที่จะค้นพบประสบการณ์ที่ดีกว่า ซึ่งตรงจุดนี้ AI สามารถช่วยคุณได้

2. คนรุ่นใหม่จะประกอบอาชีพที่มีหลากหลายบทบาท หรือ “Polygamous Careers” และทำให้โลกขององค์กรเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

คนรุ่นใหม่ที่ก้าวเข้าสู่โลกของการทำงานจะเลือกประกอบอาชีพหลากหลายด้าน หรือที่เรียกว่า “Polygamous Careers”  ความต้องการที่จะสร้างรายได้และเติมเต็มชีวิตผ่านการทำงานในหลายๆ ด้าน​จะช่วยดึงดูดพนักงานให้อยู่กับองค์กร นอกจากนี้ยังช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพในสถานที่ทำงาน  และช่วยให้บริษัทสามารถสรรหาบุคลากรชั้นนำที่ยากจะเข้าถึง อาชีพการงานของแต่ละคนจะมีลักษณะเป็นพอร์ตโฟลิโอที่ระบุผลงานจากโครงการต่างๆ ไม่ว่าคุณจะเป็นดีไซเนอร์ วิศวกร พนักงานขาย หรือนักลงทุนก็ตาม 

ยกตัวอย่างเช่น Polywork เป็นพัฒนาการที่ทันสมัยของ LinkedIn โดยมีการรวบรวมข้อมูลโปรไฟล์ของบุคคลอย่างละเอียดในระดับโครงการย่อยและผลงานต่างๆ แทนที่จะระบุเฉพาะตำแหน่งงาน ดังนั้นจึงอาจมีการระบุรายละเอียดต่างๆ ของงานอย่างเช่น เขียนโค้ด” “อัพเดตแอป iOS” หรือ “เป็นวิทยากรในการประชุมสัมมนา” ในโลกของการทำงานแบบ Polygamous Career เหตุการณ์สำคัญเหล่านี้มีความสำคัญมากกว่า และอีกหนึ่งบริษัทที่น่าสนใจก็คือ Braintrust ซึ่งเป็นเครือข่ายที่ “บุคลากรเป็นเจ้าของ” โดยบริษัทจะสามารถว่าจ้างกลุ่มฟรีแลนซ์และทำงานร่วมกันได้โดยไม่ต้องผ่านคนกลางหรือเสียค่าธรรมเนียมในการสรรหาบุคลากร และท้ายที่สุดแล้ว เราก็จะได้รับประโยชน์เพิ่มมากขึ้นจากการทำงานที่เราชอบ หรือ “Tune-In Jobs” (รู้สึกเต็มอิ่มและมีส่วนร่วมอย่างมากกับงานที่ทำอยู่) ซึ่งต่างจาก “Tune-Out Jobs” (ซึ่งเราจะสนใจแต่เฉพาะเวลาเข้า-ออกงาน)  และโลกของเราก็จะพัฒนาไปข้างหน้าโดยอาศัยบุคลากรที่มีส่วนร่วมกับงานอย่างจริงจัง

3. การเติบโตของประสบการณ์แบบ Immersive จะทำให้การสร้างผลงาน มิติกลายเป็นกระแสหลัก

“เมต้าเวิร์ส” (Metaverse) ทำให้การเล่นเกม​ การติดต่อกับเพื่อนๆ และทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานภายในโลกเสมือนจริงเป็นแบบเรียลไทม์ คณะกรรมการยังคงอยู่ระหว่างการพิจารณาว่าอุปกรณ์ใดจะถูกใช้ในการสัมผัสประสบการณ์ดังกล่าวที่สถานศึกษา ที่ทำงาน และที่บ้าน แต่เทรนด์นี้จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และทุกคนจะเข้าไปมีส่วนร่วมเหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับโทรศัพท์มือถือ อย่างไรก็ตามประสบการณ์นี้จะน่าเบื่อและไม่ได้รับความนิยม ถ้าหากไม่มีการใส่คอนเทนต์แบบอินเทอร์แอคทีฟ 3 มิติที่ดึงดูดและมีการปรับแต่งแบบเฉพาะบุคคล  รวมไปถึงสื่อประเภท Immersive แต่ปัญหาคือ คอนเทนต์ 3 มิติเป็นสิ่งที่สร้างยาก โดยเมื่อก่อนนี้ ในการสร้างวัตถุ 3 มิติ จะต้องใช้โปรแกรมสร้างแบบจำลองที่ซับซ้อน และมีการคำนวณทางคณิตศาสตร์มากมาย จากนั้นก็จะต้องใช้โปรแกรมอื่นๆ อีกหลายโปรแกรมสำหรับการวาดภาพประกอบและเรนเดอร์

เราได้เรียนรู้ว่านักออกแบบส่วนใหญ่ต้องการที่จะเริ่มต้นจากวัตถุ 3 มิติในสต็อก แทนที่จะต้องสร้างขึ้นใหม่ตั้งแต่ต้น และวัตถุ 3 มิติในสต็อกที่ว่าจะนี้จะต้องสามารถกำหนดค่าพารามิเตอร์ ควบคุมจัดการได้ง่าย​เพื่อรองรับการทำงานครีเอทีฟ โดยปราศจากความยุ่งยากซับซ้อน ชุด Substance 3D ที่ประกอบด้วยเครื่องมือที่จะช่วยให้คุณสามารถปั้นชิ้นงานวัตถุ 3 มิติ (เหมือนกับงานปั้นดิน) ด้วยการสวมใส่เฮดเซ็ตสำหรับ Virtual Reality (VR) จากนั้นก็ปรับแต่งเพิ่มเติมในโปรแกรมเดสก์ท็อปเพื่อทำให้ดูสมจริงมากขึ้น เราทุกคนจะสามารถสร้างสรรค์ผลงานในรูปแบบ 3 มิติได้ทันทีที่ประสบการณ์แบบ Immersive กลายเป็นที่แพร่หลายในวงกว้าง

4. “Stakeholder Economy” จะขับเคลื่อนแบรนด์เกิดใหม่และธุรกิจท้องถิ่น และส่งผลกระทบต่อบริษัทยักษ์ใหญ่บนอินเทอร์เน็ต​ และตลาดซื้อขายสินค้าทั่วโลก

แบรนด์ต่างๆ จะถูกกำหนดด้วยมีม คอนเทนต์ และการสนทนาในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ องค์กรธุรกิจและโครงการใหม่ๆ ที่มุ่งเน้นชุมชนก็จะมีลักษณะกระจายศูนย์มากขึ้นเช่นกัน โดยโครงสร้างองค์กรใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีบล็อกเชนจะทำให้เจ้าของและลูกค้าเป็น​ stakeholders

5. ปัจจุบัน แบรนด์ต่างๆ ถูกกำหนดด้วยการสร้างคอนเทนต์ของมวลชน ซึ่งต่างจากการใช้บริการของเอเจนซี่ด้านครีเอทีฟและการซื้อโฆษณา และทุกวันนี้ แบรนด์ต่างๆ จะนำเสนอภาพลักษณ์ที่ดีและสดใหม่ได้จำเป็นต้องอาศัยคอนเทนต์ล่าสุดที่เกิดขึ้น

ถ้าแบรนด์หรือบริษัทที่คุณชื่นชอบสามารถให้คุณเป็นเจ้าของได้ ประโยชน์ที่ได้รับจากการเป็นเจ้าของร่วมกันในบริษัทขนาดเล็กอาจกลายเป็นภัยต่อบริษัทขนาดใหญ่ ถ้า​ ​stakeholders ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคนในธุรกิจดังกล่าวมีแรงจูงใจที่จะช่วยสร้าง ปรับปรุง ทำตลาด และสนับสนุนแบรนด์นั้นๆ ก็ย่อมจะช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน​ และในท้ายที่สุดแล้ว ธุรกิจที่อาศัยการมีส่วนร่วมของคนในชุมชนแบบ “many-to-many” น่าจะประสบความสำเร็จในการทำตลาดได้ดีกว่าธุรกิจแบบ “one-to-many”

เราทุกคนจะเลือกรับโฆษณามากขึ้นด้วยประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคล

เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะทำการปรับแต่งแบบเฉพาะบุคคล (Personalization) ได้เป็นอย่างดีจนทำให้การดูโฆษณาเป็นที่นิยมมากขึ้น​ การเจอโฆษณายาสีฟันไวท์เทนนิ่งหรือคอร์สลดน้ำหนักที่น่ารำคาญใจครั้งแล้วครั้งเล่าย่อมทำให้คนเลือกที่จะไม่ดูโฆษณา อย่างไรก็ดี ประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคล จะช่วยทำให้เกิด​การโฆษณารูปแบบใหม่ และโดยมากแล้วเราก็ชอบประสบการณ์แบบนี้มากกว่า

6. การบริการที่ เพิ่มอำนาจให้แก่ประชาชน” เพื่อต่อกรกับผู้มีอำนาจ

ผมรู้สึกตื่นตาตื่นใจอย่างมากกับการเติบโตของผลิตภัณฑ์คอนซูเมอร์และเครือข่ายที่มุ่งขจัดอุปสรรค หรือโมเดลธุรกิจที่ก่อให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน และเราจะเห็นสิ่งเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น ตัวอย่างเช่น​แอป DoNotPay ซึ่งมีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความช่วยเหลือแก่ผู้บริโภคในการต่อสู้กับระบบราชการ และหาหนทางขจัดขั้นตอนการทำงานของภาครัฐเพื่อบรรเทาทุกข์ให้แก่ประชาชน บริการทั้งหมดนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองให้แก่ประชาชน แทนที่จะต้องรอรับบริการในระบบที่อยู่เกินอำนาจการควบคุมของประชาชน ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวนอกจากจะช่วยเหลือประชาชนแล้ว ยังเปิดโอกาสให้หน่วยงานภาครัฐและบริษัทขนาดใหญ่เข้ามามีบทบาทและดำเนินการอย่างรับผิดชอบ

7. ทุกส่วนงานขององค์กรจะแปรเปลี่ยนเป็น​ Immersive Experience รองรับ​multi-player

สิ่งที่คนไม่ค่อยพูดถึงกันก็คือเรื่องของค่าใช้จ่ายและข้อเสียของระบบผู้เล่นหลายคน (Multi-player) ไม่ว่าจะเป็นแอปที่มีประสิทธิภาพน้อยลงเมื่อรองรับการทำงาน​ร่วมกันมากขึ้น หรือโปรโตคอลที่อาศัยฉันทามติ​ (consensus)​บนบล็อกเชน อย่างไรก็ดี คนรุ่นใหม่มีทัศนคติที่เปลี่ยนไปเกี่ยวกับคุณประโยชน์และข้อเสียที่ตามมา กล่าวคือ คนกลุ่มนี้ต้องการที่จะทำงานร่วมกันมากกว่า แม้ว่าจะมีปัญหาและความล่าช้าเกิดขึ้น เมื่อเทียบกับการทำงานโดยลำพังเพียงคนเดียว แต่ทำได้เร็วกว่า

8. คนรุ่นใหม่จะชื่นชอบรูปแบบการใช้ชีวิต​และการทำงานแบบมีอิสระมากขึ้น ​(Nomad)

คนหนุ่มสาววัยยี่สิบกว่าเลือกที่จะใช้ชีวิตอยู่ตามบ้านเช่าหรือเปลี่ยนที่พักไปเรื่อยๆ ตามที่ต่างๆ ทั่วโลก ทำงานจากระยะไกล และดื่มด่ำกับวัฒนธรรมในชุมชนที่อาศัยอยู่เพิ่มมากขึ้น  ประสบการณ์ดังกล่าวจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขา และกระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ การยอมรับความหลากหลายอย่างเปิดกว้าง และการค้นหาตัวเองจะส่งผลดีต่อชีวิตส่วนตัวและอาชีพการงาน มีผลิตภัณฑ์ หรือเครือข่ายประเภทใดบ้างที่จะช่วยให้ทุกคนเข้าถึงประสบการณ์ดังกล่าวได้ง่ายขึ้นและเสียค่าใช้จ่ายน้อยลง? แน่นอนว่าผลิตภัณฑ์และองค์กรนายจ้างที่ปรับเปลี่ยนไปสู่ทิศทางนี้จะประสบความสำเร็จในอนาคต

9. โมเดลแฟรนไชส์แบบย้อนกลับและ “Eduployment” จะขับเคลื่อนการเติบโตและความยืดหยุ่นของธุรกิจขนาดเล็ก

แนวคิดเรื่อง “Eduployment” จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะปลดล็อคอาชีพหลายล้านตำแหน่งในช่วงเวลาหลายปีนับจากนี้  Eduployment เป็นการบูรณาการเชิงลึกของการทำธุรกิจ การศึกษา และการหางานหรือเปิดบริษัทใหม่  ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ บริษัท Nana ซึ่งฝึกอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า (เช่น เครื่องล้างจาน) และช่วยให้ได้รับงานซ่อมแซมจากผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า ส่วนบริษัท Hoist จะฝึกอบรมให้คุณเป็นช่างทาสี รวมถึงทักษะด้านอื่นๆ พร้อมทั้งจัดหาอุปกรณ์ทุกอย่างที่จำเป็น และช่วยให้คุณหางานได้ภายในเวลา 30 วัน ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วเปรียบเสมือนการทำธุรกิจแฟรนไชส์ 

10. ยุคของอัตลักษณ์ที่หลากหลาย (Multiple Identities)เราค้นหา ยอมรับ และแสดงออกซึ่งตัวตนที่หลากหลายของเรา

ยุคสมัยล่าสุดของโซเชียลเน็ตเวิร์กยอมรับ หรืออย่างน้อยก็รองรับการใช้นามแฝง แต่ในยุคหน้า โซเชียลเน็ตเวิร์กจะถูกปรับปรุงให้สอดคล้องกับความจริงที่ว่าผู้ใช้ทุกคนมีอัตลักษณ์ที่หลากหลาย  แน่นอนว่าโดยธรรมชาติแล้วมนุษย์เราไม่ต้องการที่จะถูกจำกัดหรือจำแนกด้วยอัตลักษณ์เพียงหนึ่งเดียวที่ถูกกำหนดโดยคนอื่นๆ รอบตัวเรา  แม้ว่าเรามีจินตนาการและความต้องการที่จะเป็นใครสักคนในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างหลากหลาย ซึ่งต่างจากสิ่งที่คนอื่นๆ บอกว่าเราเป็น แต่ก็มีอุปสรรคและแรงเสียดทาน ข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์และสถานการณ์แวดล้อม (ภูมิลำเนา รูปร่างหน้าตา คนที่คุณพบเจอ) ที่ถูกกำหนดอย่างตายตัวมากเกินไป และจะต้องใช้ความกล้าหาญ ความมุ่งมั่น และความท้าทายอย่างมากเพื่อจะสามารถหลุดจากกรอบที่ว่านี้

Scott Belsky, Chief Product Officer และรองประธานบริหารอะโดบี​ ครีเอทีฟคลาวด์

###สก็อต เบลสกี้ เป็นผู้ประกอบการ (Behance, 99U), ผู้บริหาร (อะโดบี), ผู้แต่งหนังสือ (The Messy Middle, Making Ideas Happen) และนักลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพกว่า 80 แห่ง (รวมถึงธุรกิจหลายแห่งที่กล่าวถึงในบทความนี้) และมีความหลงใหลในผลิตภัณฑ์หลากหลาย​ ผู้สนใจสามารถติดตามการสนทนาและค้นหาสก็อตได้ทา Twitter ดูโพสต์ล่าสุดอื่นๆ อย่างเช่น “What is Seeing The Matrix for Product Leaders?” “8 Themes for the Future of Tech” และอ่านหนังสือเล่มล่าสุดของเขา — The Messy Middle หรือลงทะเบียนเพื่อรับจดหมายข่าวเกี่ยวกับข้อมูลเชิงลึก


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

อะโดบีเผยเทรนด์ช้อปปิ้งปลายปี คาดผู้บริโภคทั่วโลกทำสถิติช้อปสูงสุด 30 ล้านล้านบาท “ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง” กลายเป็นเทรนด์ยอดนิยมในหมู่ผู้บริโภค

วันนี้อะโดบีได้เผยแพร่ข้อมูลคาดการณ์เกี่ยวกับช้อปปิ้งออนไลน์ สำหรับช่วงเทศกาลปลายปี 2564 (1 พฤศจิกายน – 31 ธันวาคม) โดยเป็นส่วนหนึ่งของรายงานดัชนีเศรษฐกิจดิจิทัลของอะโดบี (Adobe Digital Economy Index) ซึ่งข้อมูลที่เกี่ยวกับอี-คอมเมิร์ซในสหรัฐฯ และทั่วโลกนั้นได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลธุรกรรมออนไลน์ของผู้บริโภคโดยตรง (direct consumer transactions online) ทั้งนี้ รายงานวิเคราะห์ดังกล่าวอ้างอิงข้อมูลจาก Adobe Analytics จากการเยี่ยมชมเว็บไซต์ผู้ค้าปลีกของสหรัฐฯ มากกว่าหนึ่งล้านล้านครั้ง รวมถึงสินค้ากว่า 100 ล้านรายการใน 18 หมวดหมู่ ส่วนข้อมูลทั่วโลกนั้นได้จากธุรกรรมกว่า 100 ประเทศใน 3 ภูมิภาค ซึ่งนับเป็นการศึกษาที่ครอบคลุมมากกว่าบริษัทเทคโนโลยี หรือหน่วยงานวิจัยอื่นๆ

อะโดบีคาดการณ์ยอดขายสินค้าออนไลน์ในสหรัฐฯ ช่วงเทศกาลช้อปปิ้งปลายปีจะแตะ 207 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 6.8 ล้านล้านบาท) ระหว่างวันที่ 1 พฤศจิกายน ถึง 31 ธันวาคม ซึ่งนับเป็นสถิติใหม่ โดยเพิ่มขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์จากปี 2653 และถือเป็นอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่งหลังจากหนึ่งปีที่สถานการณ์การแพร่ระบาดส่งผลให้อี-คอมเมิร์ซกลายเซอร์วิสที่มีความจำเป็นต่อผู้บริโภค ขณะที่ยอดใช้จ่ายออนไลน์ทั่วโลกอาจแตะ 910 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 30 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้น 11 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (YoY)  นอกจากนี้ อะโดบีคาดการณ์ว่ายอดใช้จ่ายทั่วโลกตลอดปี 2564 จะมากกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์ (ประมาณ 4.1 ล้านล้านดอลลาร์) หรือประมาณ 133 ล้านล้านบาท ซึ่งนับเป็นสถิติใหม่สำหรับอี-คอมเมิร์ซ

 

ขณะที่อี-คอมเมิร์ซได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมากขึ้นในสหรัฐฯ แต่ความสนใจช้อปปิ้งในช่วงเทศกาลหลักๆ ได้รับความนิยมน้อยลง ตัวอย่างเช่น ช่วงสัปดาห์ Cyber Week (ช่วงวันขอบคุณพระเจ้าถึงวัน Cyber Monday) คาดว่าจะมียอดใช้จ่ายออนไลน์ 36 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 17 เปอร์เซ็นต์ตลอดเทศกาล อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตดังกล่าวลดลง โดยอยู่ที่เพียง 5 เปอร์เซ็นต์ YoY สำหรับช่วงระยะเวลา 5 วัน (น้อยกว่าอัตราการเติบโตโดยรวมของช่วงเทศกาล ซึ่งอยู่ที่ 10 เปอร์เซ็นต์ YoY)  อะโดบีคาดว่าช่วง Cyber Monday จะมียอดใช้จ่าย 11.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (เพิ่มขึ้น 4 เปอร์เซ็นต์ YoY) และจะยังคงเป็นวันที่มียอดใช้จ่ายสูงสุดสำหรับเทศกาล ขณะที่ช่วง Black Friday คาดว่าจะมียอดใช้จ่ายอยู่ที่ 9.5 พันล้านดอลลาร์ (เพิ่มขึ้น 5 เปอร์เซ็นต์ YoY) และวันขอบคุณพระเจ้ามียอดใช้จ่ายอยู่ที่ 5.4 พันล้านดอลลาร์ (เพิ่มขึ้น 6 เปอร์เซ็นต์ YoY)  วันช้อปปิ้งหลักๆ ทั้งสามวันดังกล่าวมีอัตราการเติบโตน้อยกว่าเทศกาลโดยรวม

ปัญหาด้านซัพพลายเชนส่งผลกระทบต่อเทศกาลช้อปปิ้ง

ความต้องการช้อปปิ้งออนไลน์ของผู้บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้น ในขณะที่ผู้ค้าปลีกกำลังประสบปัญหาต่างๆ ในด้านซัพพลายเชน เช่น ปัญหาความหนาแน่นของสินค้าและตู้คอนเทนเนอร์ของท่าเรือ การขนส่งที่ล่าช้า และการผลิตสินค้าในต่างประเทศที่หยุดชะงัก  ขณะเดียวกันผู้บริโภคก็รู้สึกได้ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยเมื่อเทียบกับช่วงก่อนที่จะเกิดการแพร่ระบาด (มกราคม 2563) ข้อความแจ้งเตือนว่าสินค้าหมดสต็อกมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นถึง 172 เปอร์เซ็นต์ช่วงเทศกาล ทั้งนี้ อะโดบีคาดการณ์ว่าตัวเลขดังกล่าวจะยังคงทรงตัวอยู่ในระดับนี้ต่อไป และอาจเพิ่มขึ้นสำหรับสินค้าบางรายการตลอดช่วงเทศกาล จากสินค้า 18 หมวดหมู่ที่อะโดบีทำการตรวจสอบ พบว่าในปัจจุบัน สินค้าประเภทเครื่องแต่งกายเป็นสินค้าที่หมดสต็อกมากที่สุด ตามด้วยสินค้าประเภทอุปกรณ์กีฬา ผลิตภัณฑ์สำหรับทารก และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์

 

นอกจากนี้ ปัญหาซัพพลายเชนก็ส่งผลให้ราคาสินค้าออนไลน์ปรับสูงขึ้น โดยอะโดบีคาดว่าผู้บริโภคในสหรัฐฯ จะต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 9 เปอร์เซ็นต์ในช่วง Cyber Week ของปีนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งเป็นผลมาจากส่วนลดที่น้อยลง อีกทั้งยังเกิดสถานการณ์เงินเฟ้อในภาคธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ซึ่งเป็นปัญหายืดเยื้อที่เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี อะโดบีคาดว่าส่วนลดจะอยู่ที่ 5 เปอร์เซ็นต์ ถึง 25 เปอร์เซ็นต์สำหรับสินค้าหมวดหมู่ต่างๆ ในช่วงปลายปีนี้ เปรียบเทียบกับส่วนลดโดยเฉลี่ย 10 เปอร์เซ็นต์ ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ในปีที่ผ่านมา

กรณีดังกล่าวสืบเนื่องมาจากราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น โดยเป็นผลมาจากสถานการณ์เงินเฟ้อในภาคธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2563 (16 เดือนติดต่อกัน) โดยราคาสินค้าออนไลน์เพิ่มสูงขึ้น 3.3 เปอร์เซ็นต์ในช่วงเริ่มเข้าสู่เทศกาลปลายปี (กันยายน 2564) หลายปีที่ผ่านมา ราคาสินค้าออนไลน์ลดลงโดยเฉลี่ย 5 เปอร์เซ็นต์ YoY ก่อนที่จะเข้าสู่ช่วงเทศกาลปลายปี  อย่างไรก็ตาม ราคาสินค้าอี-คอมเมิร์ซไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นเร็วเท่าสินค้าออฟไลน์ อย่างไรก็ตามดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index) ล่าสุดเพิ่มขึ้น 5.4 เปอร์เซ็นต์ YoY (กันยายน 2021)

แพทริค บราวน์ รองประธานฝ่ายการตลาดและข้อมูลเชิงลึกของอะโดบี กล่าวว่า “เทศกาลช้อปปิ้งปลายปีกำลังกลับมาอีกครั้งภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาด การที่มีสินค้าจำนวนจำกัด ราคาสินค้าที่แพงขึ้น และความกังวลของผู้บริโภคกับการขนส่งที่ล่าช้าทำให้อี-คอมเมิร์ซเติบโตสูงขึ้นอีกครั้ง เพราะช่องทางดังกล่าวสามารถสร้างความยืดหยุ่นแก่ผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้า และเลือกช่วงเวลาที่ซื้อได้”

ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับส่วนลด และช่วงวันที่เหมาะกับการช้อปปิังมากที่สุด:

ส่วนลดตามหมวดหมู่สินค้า: อะโดบีคาดว่าสินค้าทุกประเภทที่นิยมให้เป็นของขวัญจะมีส่วนลดน้อยลง ตามข้อมูลจากดัชนีเศรษฐกิจดิจิทัล ตัวอย่างเช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์จะลดสูงสุดได้เพียง 22 เปอร์เซ็นต์สำหรับช่วงเทศกาลปลายปี ลดลงจาก 27 เปอร์เซ็นต์ในปี 2563  ส่วนสินค้าประเภทอื่นๆ ได้แก่ คอมพิวเตอร์มีส่วนลดสูงสุดอยู่ที่ 25 เปอร์เซ็นต์ (เทียบกับ 30 เปอร์เซ็นต์ในปี 2563), โทรทัศน์ 15 เปอร์เซ็นต์ (เทียบกับ 18 เปอร์เซ็นต์), เครื่องใช้ไฟฟ้า 16 เปอร์เซ็นต์ (เทียบกับ 20 เปอร์เซ็นต์), ของเล่น 16 เปอร์เซ็นต์ (เทียบกับ 19 เปอร์เซ็นต์), สินค้าประเภทเครื่องกีฬา 14 เปอร์เซ็นต์ (เทียบกับ 20 เปอร์เซ็นต์), เครื่องแต่งกาย 15 เปอร์เซ็นต์ (เทียบกับ 20 เปอร์เซ็นต์), เฟอร์นิเจอร์ 7 เปอร์เซ็นต์ (เทียบกับ 9 เปอร์เซ็นต์) และอุปกรณ์เครื่องมือ 8 เปอร์เซ็นต์ (เทียบกับ 11 เปอร์เซ็นต์)

ช่วงเวลาที่เหมาะแก่การช้อป: อะโดบีได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคกว่า 1,000 คนในสหรัฐฯ และพบว่า 67 เปอร์เซ็นต์รู้สึกเป็นกังวลว่าในปีนี้ของขวัญจะมีราคาแพงขึ้น  ส่วนลดช่วงเทศกาลคาดว่าจะเริ่มต้นในเดือนตุลาคม โดยอยู่ในช่วง 5 เปอร์เซ็นต์ ถึง 15 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่ผู้ค้าปลีกกำลังมองหาหนทางที่จะแก้ไขปัญหาท้าทายด้านซัพพลายเชน  อย่างไรก็ดี ส่วนลดสูงสุด (5 เปอร์เซ็นต์ ถึง 25 เปอร์เซ็นต์) คาดว่าจะยังคงเกิดขึ้นในช่วงวันขอบคุณพระเจ้าและ Cyber Monday

สินค้าบางประเภท เช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ คาดว่าจะมีส่วนลดสูงสุดก่อนวัน Cyber Monday  ส่วนช่วงวันที่เหมาะแก่การช้อปสินค้าประเภทต่างๆ ได้แก่ วันขอบคุณพระเจ้า (25 พ.ย.) สำหรับของเล่น, Black Friday (26 พ.ย.) สำหรับเฟอร์นิเจอร์/เครื่องนอน และเครื่องมือ/อุปกรณ์แต่งบ้าน, วันเสาร์ (27 พ.ย.) สำหรับสินค้าอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า, วันอาทิตย์ (28 พ.ย.) สำหรับเครื่องแต่งกายและสินค้าประเภทเครื่องกีฬา, Cyber Monday (29 พ.ย.) สำหรับโทรทัศน์ และวันพุธ (1 ธ.ค.) สำหรับคอมพิวเตอร์

อินไซต์เกี่ยวกับบริการซื้อก่อน จ่ายทีหลัง, ของขวัญยอดนิยม, รับสินค้าหน้าร้านแบบไดร์ฟทรู และอื่นๆ:

ซื้อก่อน จ่ายทีหลัง: ผู้บริโภคให้การตอบรับที่ดีต่อรูปแบบการชำระเงินแบบใหม่ที่เรียกว่า “บริการซื้อก่อน จ่ายทีหลัง (Buy Now Pay Later – BNPL)” ซึ่งจะช่วยเพิ่มเงินสดหมุนเวียนสำหรับการจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลปลายปี  รายได้ออนไลน์จาก BNPL ในปีนี้เพิ่มขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปี 2563 และเพิ่มขึ้น 45 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปี 2562 ตามข้อมูลจาก Adobe Analytics  นอกจากนั้น ผู้บริโภคยังใช้บริการ BNPL สำหรับสินค้าที่มีราคาสูงน้อยลง โดยมูลค่าขั้นต่ำของคำสั่งซื้อลดลง 12 เปอร์เซ็นต์ YoY ไปอยู่ที่ 225 ดอลลาร์  ทั้งนี้ จากการสำรวจของอะโดบี พบว่าผู้ตอบแบบสอบถาม 25 เปอร์เซ็นต์ใช้บริการ BNPL ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา โดยสินค้าหมวดเครื่องแต่งกาย (ระบุโดยผู้ตอบแบบสอบถาม 43 เปอร์เซ็นต์), สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ (33 เปอร์เซ็นต์) และของชำ (30 เปอร์เซ็นต์) เป็นหมวดหมู่สินค้าที่มีการใช้บริการดังกล่าวมากที่สุด

บริการรับสินค้าหน้าร้านแบบไดร์ฟทรู กลายเป็นดาวเด่นอีกครั้ง: ในเดือนธันวาคม 2563 มีการใช้บริการรับสินค้าที่สั่งซื้อทางออนไลน์จากร้านค้าแบบไดร์ฟทรู (Curbside Pickup) ราว 25 เปอร์เซ็นต์ของคำสั่งซื้อออนไลน์ทั้งหมด เนื่องจากผู้บริโภคมองหาวิธีการช้อปปิ้งอย่างปลอดภัย  และในช่วงเทศกาลปลายปีที่กำลังจะมาถึง คาดว่าปัญหาความล่าช้าในการจัดส่งจะทำให้ผู้บริโภคหันมาใช้บริการนี้เพิ่มมากขึ้น โดยจากผลการสำรวจของอะโดบี ชี้ว่า 65 เปอร์เซ็นต์ของผู้บริโภคมีความกังวลใจเกี่ยวกับความล่าช้าในการจัดส่งสินค้า และอะโดบีคาดว่าบริการ Curbside Pickup จะมียอดใช้งานสูงสุดในช่วงวันที่ 22-23 ธันวาคม (ก่อนวันคริสต์มาสอีฟ) โดยจะทำสถิติสูงสุดที่ 40 เปอร์เซ็นต์ของคำสั่งซื้อออนไลน์ทั้งหมด แต่ในเดือนพฤศจิกายน 2564 คาดว่าอัตราการใช้บริการจะทรงตัวอยู่ที่ 25 เปอร์เซ็นต์

ของขวัญยอดนิยม: จากข้อมูลของอะโดบี รวมถึงข้อมูลวิเคราะห์แนวโน้มตลาดและกระแสโซเชียลมีเดีย คาดว่าของเล่นยอดนิยมในช่วงเทศกาลปลายปีได้แก่ Tamagotchi Pix, Pop Fidget, Got2Glow Fairy Finder, Baby Yoda, และ Gabby’s Dollhouse  ส่วนอุปกรณ์เล่นเกมยอดนิยมได้แก่ Nintendo Switch OLED, PlayStation 5, Xbox Series S/X และ Stream Deck  ขณะที่เกมยอดนิยมคาดว่าจะเป็น Metroid Dread, Battlefield 2042, Pokemon Brilliant Diamond & Shining Pearl, Halo Infinite และ FIFA 22  ส่วนของขวัญยอดนิยมอื่นๆ ได้แก่ Airpods Max, ถ้วยกาแฟอัจฉริยะ, หม้ออเนกประสงค์ Instant Pot, หม้อทอดไร้น้ำมัน, กระบอกน้ำอัจฉริยะ, โดรน และเครื่องเล่นแผ่นเสียง

ให้ความสนใจหน้าจอที่ใหญ่ขึ้น: ปัจจุบันผู้บริโภคใช้เวลาอยู่บ้านและทำงานหน้าแล็ปท็อปมากขึ้น ส่งผลให้ยอดช้อปปิ้งของสมาร์ทโฟนไม่มากนัก อะโดบีคาดว่ายอดซื้อสมาร์ทโฟนจะครองสัดส่วน 42 เปอร์เซ็นต์ของรายได้โดยรวมในช่วงเทศกาลปลายปีนี้ (86 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) และเพิ่มขึ้น 5 เปอร์เซ็นต์จากปี 2563

การใช้เวลาอยู่ที่บ้านมากขึ้นส่งผลให้ผู้บริโภคสนใจจอทีวีขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะต้องการสัมผัสประสบการณ์โฮมเธียเตอร์ โดยความต้องการทีวีขนาด 70-79 นิ้วมีสัดส่วน 22 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายในปี 2563 เพิ่มขึ้นจาก 16 เปอร์เซ็นต์ในปี 2562 และ 9 เปอร์เซ็นต์ในปี 2561  ส่วนทีวีขนาด 80 นิ้วขึ้นไปคิดเป็นสัดส่วน 3 เปอร์เซ็นต์ของยอดขายในปี 2563 เพิ่มขึ้นจาก 1 เปอร์เซ็นต์ในปี 2562 และ 1 เปอร์เซ็นต์ในปี 2561

ผู้บริโภคสนุกกับการช้อปปิ้งมากขึ้น: โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้บริโภคในสหรัฐฯ จะใช้เวลา 12 ชั่วโมงเต็มไปกับการช้อปออนไลน์ในช่วงเทศกาลปลายปีนี้  โดย “นาทีทอง” ของอี-คอมเมิร์ซ (19:00–23:00 น. ตามเวลาฝั่งแปซิฟิกของวัน Cyber Monday) ผู้บริโภคจะใช้จ่ายเงินเกือบ 3 พันล้านดอลลาร์ผ่านทางออนไลน์ (2.9 พันล้านดอลลาร์) ในช่วงเวลาเพียง 4 ชั่วโมง ซึ่งมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับช่วงเวลาหนึ่งวันเต็มตามปกติในเดือนสิงหาคม 2564 (1.9 พันล้านดอลลาร์)  และในชั่วโมงที่มียอดขายสูงสุดของ Cyber Monday (20:00–12:00 น. ตามเวลาฝั่งแปซิฟิก) ผู้บริโภคจะใช้จ่ายเงินกว่า 12 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในทุกๆ หนึ่งนาที

“ประสบการณ์” คือของขวัญชิ้นใหม่: จากผลการสำรวจของอะโดบี พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามกว่าครึ่งหนึ่ง (51 เปอร์เซ็นต์) มีแผนที่จะซื้อสินค้าที่จับต้องได้เป็นของขวัญให้แก่คนอื่นๆ ในช่วงเทศกาลปลายปีนี้ ขณะที่เกือบหนึ่งในห้า (17 เปอร์เซ็นต์) มีแผนที่จะให้ของขวัญในรูปแบบของประสบการณ์แทน โดยของขวัญยอดนิยมจำพวกนี้ได้แก่ บริการสปา ทรีทเมนต์ (ระบุโดยผู้ตอบแบบสอบถาม 25 เปอร์เซ็นต์), ตั๋วคอนเสิร์ต (25 เปอร์เซ็นต์), ตั๋วชมการแข่งขันกีฬา (22 เปอร์เซ็นต์), ตั๋วเครื่องบิน (21 เปอร์เซ็นต์) และคอร์สเรียนทำอาหาร (16 เปอร์เซ็นต์)

ระเบียบวิธีที่ใช้ในการศึกษา: ดัชนีเศรษฐกิจดิจิทัลของอะโดบีนำเสนอชุดข้อมูลเชิงลึกที่ครบถ้วนสมบูรณ์มากที่สุด โดยอ้างอิงข้อมูลวิเคราะห์จาก Adobe Analytics ซึ่งครอบคลุมการ visit เว็บไซต์ค้าปลีกในสหรัฐฯ มากกว่าหนึ่งล้านล้านครั้ง และสินค้ากว่า 100 ล้านรายการใน 18 หมวดหมู่ ซึ่งนับเป็นข้อมูลที่มากกว่าบริษัทเทคโนโลยีหรือหน่วยงานวิจัยอื่นๆ  นอกจากนี้ ข้อมูลทั่วโลกได้อ้างอิงธุรกรรมในกว่า 100 ประเทศในทวีปอเมริกา, เอเชีย-แปซิฟิก (APAC), ยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา (EMEA)  ข้อมูลสำรวจความคิดเห็นจากการตอบแบบสอบถามของผู้บริโภค (อายุเกินกว่า 18 ปี) ในสหรัฐฯ 1,012 คน ในช่วงวันที่ 23 กันยายน ถึง 1 ตุลาคมที่ผ่านมา


Exit mobile version