Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์ สิ่งประดิษฐ์ในประเทศ

วว. พัฒนา “เครื่องทับกล้วยแผ่นบางสำหรับ SMEs” ช่วยประหยัดพลังงาน เพิ่มอัตราการผลิต

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) โดย ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมอาหารสุขภาพ (ศนอ.) ประสบผลสำเร็จในการวิจัยและพัฒนา เครื่องทับกล้วยแผ่นบางสำหรับผู้ประกอบการ SMEs  โดยพัฒนาต่อยอดจากเครื่องทับกล้วยแบบกึ่งอัตโนมัติ รุ่นที่ 1”

หลักการทำงาน  เครื่องทับกล้วยแผ่นบาง เป็นนวัตกรรมที่สามารถทดแทนการใช้แรงงานคนในขั้นตอนการกดทับกล้วย ช่วยลดความเมื่อยล้า ช่วยเพิ่มอัตราการผลิต นอกจากนี้ยังได้ชิ้นกล้วยที่มีขนาดความบางสม่ำเสมอเท่ากันทุกแผ่น และสามารถปรับตั้งความหนาบาง ของชิ้นกล้วยได้บางสุดถึง 1 มิลลิเมตร โดย วว. พัฒนา  เครื่องทับกล้วยแผ่นบางสำหรับให้เลือกใช้งานจำนวน 2 รุ่น ดังนี้

รุ่นเล็กแบบตั้งโต๊ะ

1) สำหรับทับกล้วย ครั้งละ 1-2 แผ่น อัตราการทำงาน 30-50 แผ่น/ชั่วโมง

2) ระบบแผ่นกดทับกล้วย แบบหมุนทับชิ้นงาน ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์แบบแกนชักเดี่ยว

3) ใช้พลังงานไฟฟ้า 50 W 220 V แรงกดสูงสุด 200 กิโลกรัม

4) ติดตั้งระบบ Safety Switch แบบปุ่มกดคู่ ป้องกันมือกดโดยไม่ตั้งใจ

รุ่นกลางแบบมีขาตั้ง

1) สำหรับทับกล้วย ครั้งละ 2-4 แผ่น อัตราการทำงาน 100-200 แผ่น/ชั่วโมง

2) ระบบแผ่นกดทับกล้วย แบบเคลื่อนที่ขึ้นทับชิ้นงาน ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์แบบแกนชักคู่

3) ใช้พลังงานไฟฟ้า 120 W 220 V แรงกดสูงสุด 500 กิโลกรัม

4) ติดตั้งระบบ Safety Switch แบบปุ่มกดคู่ ป้องกันมือกดโดยไม่ตั้งใจ

วว. โดย ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมอาหารสุขภาพ มุ่งเน้นวิจัยและพัฒนา บริการ วิเคราะห์ ทดสอบ และให้คำปรึกษาด้านอาหารและเครื่องดื่มฟังก์ชั่น   ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และสารสำคัญจากธรรมชาติในอาหาร โดยมีทีมนักวิจัยที่มีความเชี่ยวชาญในหลากหลายสาขา มีเครือข่ายความร่วมมือจากภายในประเทศและต่างประเทศ มุ่งมั่นสร้างสรรค์ผลงานด้านผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ  เสริมสร้างให้ผู้ประกอบการไทยนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์และต่อยอดในเชิงพาณิชย์ สามารถแข่งขันได้ทั้งตลาดภายในประเทศและตลาดโลก

วว. พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตเครื่องทับกล้วยแผ่นบางสู่เชิงพาณิชย์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call center  โทร. 0 2577 9000  หรือที่  0 2577 9133  (วีรยุทธ  พรหมจันทร์)


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

วว. ถ่ายทอดองค์ความรู้วิธีการ/เทคนิคการผสมสารฝนหลวงทางเลือก ให้แก่บุคลากรกรมฝนหลวงและการบินเกษตร

ดร.ประทีป  วงศ์บัณฑิต  รองผู้ว่าการวิจัยและพัฒนาด้านพัฒนาอย่างยั่งยืน  สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม  (อว.)  เป็นประธานเปิดการประชุมถ่ายทอดองค์ความรู้วิธีการและเทคนิคการผสมสารฝนหลวงทางเลือก  ให้แก่บุคลากร กรมฝนหลวงและการบินเกษตร  นำโดย นายฉันติ  เดชโยธิน  ผู้เชี่ยวชาญด้านวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์บรรยากาศประยุกต์  เพื่อเป็นแนวทางในการผลิตสารฝนหลวงทางเลือก  พร้อมนำไปขยายผลและพัฒนาด้านอื่นๆ เพิ่มเติมต่อไป ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมภายใต้ โครงการการใช้สารฝนหลวงทางเลือกสำหรับการปฏิบัติการฝนหลวง จากพระราชดำริส่วนพระองค์ใน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อสร้างฝนเทียมสำหรับบรรเทาความแห้งแล้งให้กับเกษตรกร

วว. โดย ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมวัสดุ  (ศนว.)  ได้มีโอกาสร่วมนำความรู้ความสามารถทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาช่วยในการวิจัยและพัฒนาสารฝนหลวงทางเลือก เพื่อร่วมสืบสานและต่อยอดโครงการในพระราชดำริดังกล่าว จากการวิจัยและพัฒนาสารฝนหลวงทางเลือกของ วว. ร่วมกับเจ้าหน้าที่กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ประสบผลสำเร็จในการพัฒนาสารฝนหลวงทางเลือกสูตร AR23 ซึ่งผ่านการทดลองในห้องปฏิบัติการและทดลองนำขึ้นปฏิบัติการฝนหลวงไปแล้วนั้น ผลการทดลองที่ได้แสดงให้เห็นว่ามีความเป็นไปได้อย่างมากในการนำสารฝนหลวงทางเลือกที่พัฒนาขึ้น ไปใช้ในการปฏิบัติการฝนหลวงในสภาวะอากาศที่มีความชื้นสัมพัทธ์ต่ำกว่า 60% ซึ่งสามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการขึ้นปฏิบัติการได้  โอกาสนี้ ดร.อาริสา  ใจอยู่  นักวิจัยอาวุโส  นายบวร  นฤทัย และนางสาวณัฐพร  ชิติชัยรัตนภูมิ  นักวิจัย  ศนว. ร่วมเป็นวิทยากรบรรยายถ่ายทอดความรู้ฯ  ในวันที่  9  มกราคม 2567  ห้องประชุม RD 2-3  วว. เทคโนธานี คลองห้า .ปทุมธานี


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

วว. จัดอบรมมาตรฐานการทดสอบ วิจัยพัฒนาระบบรางให้แก่หน่วยงานสถาบันวิจัยการก่อสร้างแห่งชาติมาเลเซีย

ดร.อาณัติ  หาทรัพย์  ผู้อำนวยการศูนย์ทดสอบมาตรฐานระบบขนส่งทางราง (ศทร.) สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)  พร้อมคณะนักวิชาการ ศทร. ได้เดินทางไปจัดโปรแกรมอบรมด้านมาตรฐานการทดสอบและการวิจัยพัฒนาระบบรางให้แก่หน่วยงานสถาบันวิจัยการก่อสร้างแห่งชาติมาเลเซีย – Construction Research  Institute  of  Malaysia  (CREAM)  เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2565    กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย  โดยการจัดโปรแกรมอบรมในครั้งนี้  ศทร. วว. ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีในหัวข้อ ด้านมาตรฐานและการทดสอบชิ้นส่วนงานทางรถไฟ  เช่น หมอนคอนกรีตอัดแรง เครื่องยึดเหนี่ยวราง ฯลฯ ซึ่งจัดขึ้นภายใต้ความร่วมมือระหว่าง วว. และ CREAM  ซึ่ง CREAM ต้องการหน่วยงานเชี่ยวชาญจากต่างประเทศให้การอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพของบุคลากรภายในสังกัดและขยายงานทดสอบให้มากขึ้น รวมทั้งปฏิบัติงานทดสอบให้เป็นไปตามมาตรฐานห้องปฏิบัติการสากล เช่น   ISO 17025  เป็นต้น

โปรแกรมการอบรมดังกล่าวประกอบด้วยภาคบรรยายและภาคปฏิบัติการในห้องปฏิบัติการทดสอบงานโครงสร้างของ CREAM โดย ดร.อาณัติ บรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับมาตรฐานการทสอบหมอนคอนกรีตต่างๆ ทั้งการทดสอบภาคสถิตและพลวัตร อาทิเช่น ISO 22480 , BS EN 13230 , AREMA  2010, Australian Standard เป็นต้น รวมทั้งทฤษฎีของการออกแบบหมอนคอนกรีตเบื้องต้น ซึ่งหัวข้อการบรรยายได้รับความสนใจจากคณะวิศวกรและช่างเทคนิคจาก CREAM เป็นอย่างมาก รวมทั้งมีคำถามและมีการแลกเปลี่ยนความรู้ตลอดช่วงการบรรยาย  ในส่วนภาคปฏิบัติการคณะนักวิชาการ ศทร.วว. ได้ถ่ายทอดเทคนิคการติดตั้ง การจัดวาง การตรวจสอบ และขั้นตอนการทำงานทดสอบต่างๆ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของ CREAM สามารถจัดทำขั้นตอนการทำงาน หรือ Work instruction สำหรับการทดสอบได้ต่อไป

อนึ่ง  ศทร.วว. และ CREAM ได้ลงนามบันทึกความร่วมมือเมื่อวันที่  20  สิงหาคม  2565  โดยมีขอบเขตความร่วมมือ  5 ด้าน  ดังนี้  1) การพัฒนามาตรฐานการรถไฟ เช่น ร่วมแบ่งปัน พัฒนาและร่างมาตรฐานการรถไฟในระดับชาติหรือระดับภูมิภาค  2) การส่งเสริมอุตสาหกรรมรถไฟ เช่น การก่อสร้างหรือการดำเนินงานและการบำรุงรักษา 3) การสร้างขีดความสามารถในการทดสอบและรับรองวัสดุ ผลิตภัณฑ์ และบุคลากรทางรถไฟ  4) การวิจัยและพัฒนาระบบการขนส่งทางราง เช่น เทคโนโลยีการตรวจสอบและติดตาม การบำรุงรักษาสมัยใหม่ วัสดุที่เป็นนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับรถไฟ เป็นต้น และ 5) การพัฒนาบุคลากรทางด้านระบบขนส่งทางราง เช่น co-degree/non-degree/ up-skill/re-skill หรือฝึกอบรมวิชาชีพ หรือการถ่ายทอดเทคโนโลยีในระบบราง เป็นต้น ดังนั้นการจัดโปรแกรมอบรมครั้งนี้ ของ ศทร.วว. นับเป็นอึกหนึ่งความก้าวหน้าของความร่วมมือด้านการพัฒนาระบบราง ระหว่างประเทศไทยและประเทศมาเลเซีย เพื่อร่วมกันผลักดันระบบสนับสนุนอุตสาหกรรมรางให้มีความยั่งยืนต่อไป    สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและรับบริการจาก ศูนย์ทดสอบมาตรฐานระบบขนส่งทางราง  วว. ได้ที่  โทร.0 2577 9000, 02577 9143 ต่อ 201 และ 304  E-mail : patcharee_a@tistr.or.th  https://www.tistr.or.th/rttc/  Facebook Page : https://www.facebook.com/RTTC.TISTR


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

วว. ขับเคลื่อน BCG หนุนใช้ “สารชีวภัณฑ์” ช่วยยกระดับผลิตผลทางการเกษตร

ชีวภัณฑ์เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะมาจาก พืช สมุนไพร จุลินทรีย์  มีหลายรูปแบบ ที่คุ้นเคยและเป็นที่รู้จักโดยทั่วไป คือ EM (Effective  microorganisms) เป็นกลุ่มจุลินทรีย์มีหน้าที่ในด้านการย่อยสลายเศษซากพืช ช่วยเร่งปฏิกิริยาในการผลิตปุ๋ย  เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่ผลิตฮอร์โมน หรือเป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่ใช้ในการหมักร่วมกับสมุนไพรเพื่อนำไปใช้เป็นปุ๋ยนำ หรือใช้ป้องกันกำจัดแมลง  มีหลายหน่วยงานภาครัฐที่ผลิต EM และนำไปใช้ในเชิงสังคม อาทิ พด. 1-12 ของกรมพัฒนาที่ดิน ปม.1 และ ปม. 2 ของกรมประมง และ PGPR 1 PGPR 2 และ PGPR 3 ของกรมวิชาการเกษตร เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีจุลินทรีย์เดี่ยวๆ โดยทั่วไปที่ผลิตขายเชิงพาณิชย์และผ่านการขึ้นทะเบียนกับสำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร จะมี 5 สายพันธุ์หลัก คือ ไตรโคเดอร์มา บิววาเรีย เมธาไรเซียม บีที และบีเอส ซึ่งจุลินทรีย์ทั้ง 5 ชนิดนี้จะนำไปใช้ในการควบคุมศัตรูพืช คือ โรคและแมลงของพืช 

ปัจจุบันภาครัฐรณรงค์ให้เกษตรกรทำการเกษตรมุ่งเน้น ระบบการผลิตพืชแบบเกษตรปลอดภัย เกษตรอินทรีย์ โดยใช้ชีวภัณฑ์ในการควบคุมศัตรูพืชมากขึ้นเพื่อการขับเคลื่อนเกษตรกรรมของประเทศให้ยั่งยืน

กระทรวงการอุดมศึกษา  วิทยาศาสตร์  วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นองค์กรหลักในการขับเคลื่อนประเทศเชิงบูรณาการในทุกมิติ   มุ่งใช้ความได้เปรียบเชิงทรัพยากรและวัฒนธรรมโดยการขับเคลื่อนนโยบาย BCG เป็นฐานในการพัฒนา ที่มีเป้าหมายร่วมคือก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลาง สู่ประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างยั่งยืนภายใน 7 ปี 

สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) ซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดของกระทรวง อว. ได้นำนโยบายเศรษฐกิจ BCG  เป็นธงดำเนินงานองค์กร และมีองค์ความรู้ความเชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ สร้างความเข้มแข็งให้กับทุกภาคส่วนของประเทศ โดยเฉพาะภาคการเกษตรที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างงาน สร้างอาชีพอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการดำเนินงานโดย ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมเกษตรสร้างสรรค์ ในส่วนของ ศูนย์นวัตกรรมผลิตหัวเชื้อจุลินทรีย์เพื่ออุตสาหกรรมอาหาร  หรือ  ICPIM 2   ที่มีสายการผลิตชีวภัณฑ์ครอบคลุมตอบโจทย์ทั้งสายการผลิตเชื้อราและแบคทีเรีย 

รูปแบบของชีวภัณฑ์ที่ได้จากการผลิตโดย โรงงาน  ICPIM 2   มีจำนวน  3  รูปแบบ คือ หัวเชื้อเหลว  หัวเชื้อน้ำ และหัวเชื้อผง ในส่วนของบรรจุภัณฑ์มี 3 ขนาด คือ  เล็ก กลาง และใหญ่ สามารถตอบโจทย์ผู้ใช้ชีวภัณฑ์ทั้งรายย่อยและรายใหญ่ มีกำลังการผลิตรวมต่อปีมากถึง 115,000 ลิตร

“ICPIM 2”   มีศักยภาพตอบโจทย์ให้กับภาคอุตสาหกรรมของไทย  โดย  วว. มีหลายส่วนงานที่ร่วมบูรณาการดำเนินงาน ครอบคลุมและรองรับงานด้านชีวภัณฑ์ครบวงจร  ได้แก่  ศูนย์จุลินทรีย์   มีสายพันธ์จุลินทรีย์ในคลังมากกว่า  11,000 สายพันธุ์ เพื่อนำไปวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ใหม่  มีโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ พร้อมให้บริการจัดเก็บรักษาสายพันธุ์จุลินทรีย์ให้กับผู้ประกอบการ  มีศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมผลิตภัณฑ์สมุนไพร  ซึ่งมีห้องปฏิบัติการที่ได้รับมาตรฐานตาม OECD  GLP  GUIDLINE  ในการให้บริการวิเคราะห์ทดสอบความเป็นพิษของจุลินทรีย์ และในส่วนของ โรงงาน ICPIM 2   ให้บริการครบวงจรทั้งในด้านการวิจัยและพัฒนาสายพันธุ์จุลินทรีย์ใหม่ๆ ในระดับห้องปฏิบัติการ และทดสอบกระบวนการผลิต ขยายจุลินทรีย์ในระดับกึ่งอุตสาหกรรม

 นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาบุคลากรที่เกี่ยวข้องในงานด้านชีวภัณฑ์ โดยมีความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา รับน้องๆในระดับอุดมศึกษามาเรียนรู้  ฝึกงาน  รวมถึงทำวิจัยในด้านต่างๆ ของการพัฒนางานด้านชีวภัณฑ์ ทั้งในระดับห้องปฏิบัติการ  โรงงาน และภาคสนาม เพื่อเป็นแรงงานรองรับการพัฒนาของอุตสาหกรรมเกษตรและชีวภาพต่อไปในอนาคต

. (วิจัย) ดร.ชุติมา   เอี่ยมโชติชวลิต    ผู้ว่าการ วว.   กล่าวถึงข้อดีของสารชีวภัณฑ์ที่ วว. ผลิตว่า ผ่านการวิจัยและพัฒนาในเรื่องของประสิทธิภาพในการควบคุมศัตรูพืช รวมถึงทดสอบความเป็นพิษในห้องปฏิบัติการที่ได้มาตรฐาน ISO/IEC  17025 ตามหลัก OECD GLP GUILDLINE และผ่านการผลิตในโรงงานด้วยเครื่องจักรระดับกึ่งอุตสาหกรรมที่ได้มาตรฐาน กระบวนการผลิตสะอาด ปราศจากเชื้ออื่นปนเปื้อน 

ทั้งนี้ วว. ได้นำสารชีวภัณฑ์ที่วิจัย พัฒนาและผลิต ร่วมสนับสนุนการดำเนินงานของหน่วยงานพื้นที่กลุ่มอารักขาพืช สำนักงานเกษตรจังหวัด  รวมจำนวน 1.3 ล้านลิตร เพื่อป้องกันกำจัดศัตรูพืชทดแทนสารเคมีทางการเกษตร ลดสารพิษตกค้าง เพิ่มความปลอดภัย ยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่เกษตรกรผู้ใช้ ผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม  และลดการนำเข้าสารเคมีจากต่างประเทศ  โดย วว. ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตสารชีวภัณฑ์ให้แก่เกษตรกรในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม และอยุธยา ครอบคลุม   4  กลุ่มพืชเศรษฐกิจ ได้แก่  ไม้ผล พืชไร่ (ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง)  พืชสมุนไพรและพืชผัก  รวมทั้งได้พัฒนากระบวนการขยายชีวภัณฑ์ทั้งในระดับห้องปฏิบัติการเพื่อขยายสู่การผลิตเชิงพาณิชย์และระดับชุมชน 

นอกจากนี้ วว. ยังได้เข้าร่วมดำเนิน โครงการภายใต้แผนงาน/โครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติโครงการยกระดับเศรษฐกิจในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคกลางตะวันตก ด้วย BCG โมเดลในปีงบประมาณ 2564   จากการดำเนินงานดังกล่าวได้ส่งผลกระทบเชิงเศรษฐกิจและสังคม  ดังนี้  

 1) มีเกษตรกรกว่า  200  ราย  นำเทคโนโลยีไปใช้ในการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ด้วยการพัฒนาปัจจัยการผลิตหมุนเวียนสำหรับเกษตรกรแปลงใหญ่เพิ่มขึ้นได้   5  ปัจจัยการผลิต   จำนวน   6   เทคโนโลยี   ดังนี้  เทคโนโลยีการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการหน่อไม้ฝรั่งเพื่อการส่งออก   เทคโนโลยีการผลิตข้าวเสริมซีลีเนียม   เทคโนโลยีการพัฒนาวัสดุเพาะเห็ด (ฟางข้าวเสริมซีลีเนียม กากมันสำปะหลัง)  เทคโนโลยีการเพิ่มคุณภาพผลผลิตอ้อยด้วยปุ้ยอินทรีย์เคมีเสริมจุลินทรีย์ละลายฟอสเฟต   เทคโนโลยีการเพิ่มคุณภาพและเพิ่มผลผลิตพืซด้วยสารควบคุมการเจริญเติบโต  (มันสำปะหลัง กล้วย)  และเทคโนโลยีขยายชีวภัณฑ์ในถังชุมชนโมเดล วว. 

 2) สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลผลิตทางการเกษตร โดยมีเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และบริษัท รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิต functional food และบรรจุภัณฑ์ 

 3)  มีผู้ประกอบการร่วมลงทุนด้าน  R&D  ภายใต้ BCG  Model 

 4)  เกิดต้นแบบผลิตภัณฑ์ functional   food และเวชสำอาง จำนวน  10  ผลิตภัณฑ์ และต้นแบบบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จำนวน  2  ต้นแบบ  ส่งผลให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมจากการดำเนินงานจำนวน  370   ล้านบาท

“…ประโยชน์ของการใช้สารชีวภัณฑ์ เป็นการยกระดับผลิตผลทางการเกษตรรองรับนโยบายของรัฐบาล มุ่งสู่ระบบการผลิตพืชปลอดภัย และระบบการผลิตพืชอินทรีย์ เพิ่มมูลค่าของผลิตผลทางการเกษตร ลดต้นทุนการผลิตให้กับเกษตรกร ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ ลดการตกค้างของสารเคมีในพืชผลการเกษตร ปลอดภัยทั้งผู้ผลิต ผู้บริโภค ต่อสิ่งแวดล้อม ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชากรไทย…” ผู้ว่าการ วว. กล่าวสรุปถึงประโยชน์ของสารชีวภัณฑ์ที่มีต่อภาคเกษตรกรรม

สอบถามเกี่ยวกับสารชีวภัณฑ์  ได้ที่ ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมเกษตรสร้างสรรค์ วว.  โทร. 0 2577  9016, 02-577 9021   โทรสาร 0 2577  9009  E-mail : tistr@tistr.or.th


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

วว. ขับเคลื่อน BCG เพิ่มมูลค่าวัสดุเหลือทิ้งภาคการเกษตร วิจัยพัฒนาเป็นกระถางเพาะชำย่อยสลายได้

กระทรวงการอุดมศึกษา  วิทยาศาสตร์  วิจัยและนวัตกรรม  (อว.)  โดย  สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย  (วว.)  มุ่งขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ BCG  ประสบผลสำเร็จในการเพิ่มมูลค่าวัสดุเหลือทิ้งจากภาคการเกษตร นำมาวิจัยพัฒนาเป็นกระถางเพาะชำที่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อทดแทนและลดการใช้ถุงเพาะชำที่ทำจากพลาสติก ระบุผลิตภัณฑ์มีความแข็งแรง ทนทาน มีความยืดหยุ่น ทำให้รากพืชสามารถชอนไชออกจากก้นกระถาง/ด้านข้างของกระถางได้ มีความสามารถในการอุ้มน้ำ ระบายความร้อนได้ดี ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช 

. (วิจัย) ดร. ชุติมา   เอี่ยมโชติชวลิต   ผู้ว่าการ  วว.  กล่าวว่า  นโยบายเศรษฐกิจ BCG เป็นธงการดำเนินงานของ วว. เพื่อร่วมขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลให้สำเร็จ สามารถตอบโจทย์ แก้ปัญหา ของประเทศด้วยองค์ความรู้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมกระถางเพาะชำย่อยสลายได้เป็นหนึ่งในผลงานที่เป็นรูปธรรม ซึ่ง วว.  โดย ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมวัสดุ ประสบผลสำเร็จในการเพิ่มมูลค่าวัสดุเหลือทิ้งจากภาคการเกษตร  ได้แก่  ใยมะพร้าว   แกลบ  เปลือกข้าวโพด  ฟางข้าว  หญ้าเนเปีย  เยื่อกล้วย ชานอ้อย  ผักตบชวา และไผ่ เป็นต้น  นำมาวิจัยและพัฒนาขึ้นรูปเป็นกระถางเพาะชำที่สามารถย่อยสลายได้และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผลิตภัณฑ์มีความแข็งแรงและทนทาน มีความยืดหยุ่นที่ดี เพื่อให้รากสามารถชอนไชออกจากก้นกระถางและด้านข้างของกระถางได้เป็นอย่างดี รวมถึงมีความสามารถในการอุ้มน้ำ และระบายความร้อนได้ดี ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช

“…ในการเพาะชำไม้ดอกไม้ประดับรวมถึงพืชอื่นๆ ชาวสวนส่วนใหญ่จะเพาะกล้าไม้ลงในถุงเพาะชำหรือกระถางเพาะชำที่ทำมาจากพลาสติก โดยพลาสติกเหล่านั้นเป็นวัสดุที่ย่อยสลายยาก และเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสภาวะโลกร้อน จึงเป็นโจทย์ที่ วว. นำมาแก้ปัญหาและประสบผลสำเร็จในการพัฒนาเป็นกระถางเพาะชำย่อยสลายได้ ซึ่งถือเป็นการนำองค์ความรู้ ประสบการณ์ มาต่อยอดโดยใช้หลักวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาช่วยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์  ที่สามารถ  เข้าใจ  เข้าถึง กระบวนการผลิตได้ไม่ยาก และใช้วัตถุดิบที่มีต้นทุนต่ำในการปรับปรุงคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ และเป็นการเพิ่มมูลค่าของเหลือทิ้งทางการเกษตรตามหลักการ BCG …” ผู้ว่าการ วว. กล่าว

การผลิต กระถางเพาะชำย่อยสลายได้ ผลงานวิจัยพัฒนา วว. จะใช้วัตถุดิบที่มีต้นทุนต่ำ  จากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรมาสับย่อยให้มีขนาดที่เหมาะสมซึ่งขึ้นกับชนิดของพืช    ดังนี้    ใยมะพร้าว  ไม่ต้องตัด  สามารถใช้แบบยาวๆ ได้     แกลบ  นำมาล้างและอบให้แห้ง   เปลือกข้าวโพด  ฉีกตามแนวยาวให้มีความกว้างประมาณ   0.5 – 2.0  เซนติเมตร    ฟางข้าว  นำมาล้างและอบให้แห้ง  จากนั้นนำไปผสมกับตัวประสานอินทรีย์ในปริมาณที่เหมาะสม  เพื่อช่วยในการยึดเกาะของเยื่อและมีความแข็งแรงหลังการขึ้นรูป 

ในส่วนของพืชที่มีเส้นใยอ่อน  เช่น   หญ้าเนเปีย/ผักตบชวา/กาบกล้วย  นำมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ และนำไปปั่นละเอียดจนเป็นเยื่อ  จากนั้นนำเยื่อที่ได้ไปอัดขึ้นรูป ส่วนพืชที่มีโครงสร้างแข็ง  เช่น  ชานอ้อย/ไผ่/ฟางข้าว  นำมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ และต้มด้วยโซเดียมไฮดรอกไซต์ (NaOH) หรือ โซดาไฟ   จะได้เยื่อที่มีความอ่อนนุ่มขึ้นรูปได้  ทั้งนี้เส้นใยและเยื่อข้างต้น จะถูกอัดด้วยเครื่องอัดร้อนระบบไฮดรอลิก (รูปทรงของผลิตภัณฑ์ที่ได้จะขึ้นอยู่กับแม่พิมพ์ที่ใช้)  นอกจากนี้อาจมีการผสมหรือพ่นเคลือบด้วยสารที่เป็นธาตุอาหารพืช เพื่อช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช

“… วว. พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตกระถางเพาะชำย่อยสลายได้ให้แก่ผู้สนในในรูปแบบการฝึกอบรมถ่ายทอดความรู้จากนักวิจัยที่เชี่ยวชาญของ วว. เพื่อนำวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรมาใช้ประโยชน์ให้เกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างอาชีพและสร้างรายได้ที่มั่นคงให้แก่พี่น้องประชาชน อันจะนำไปสู่คุณภาพชีวิตที่ดีและสร้างความเข้มแข็งให้กับเศรษฐกิจโดยรวมด้วยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม…” . (วิจัย) ดร. ชุติมา   เอี่ยมโชติชวลิต   ผู้ว่าการ  วว.  กล่าวสรุป

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม  รับคำแนะนำปรึกษา และรับบริการด้านวิทยาศาสตร์  เทคโนโลยีและนวัตกรรม จาก วว.  ติดต่อได้ที่  โทร. 0 2577 9000 ,0 2577 9439  โทรสาร  0 2577 9426  เว็บไซต์ www.tistr.or.th  อีเมล tistr@tistr.or.th  Line@TISTR


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

วว. จับมือบริษัทอุบลไบโอเอทานอลฯ พัฒนากระบวนการผลิต R&D ใช้ประโยชน์สารชีวภัณฑ์ระดับอุตสาหกรรม

.(วิจัย) ดร.ชุติมา  เอี่ยมโชติชวลิต  ผู้ว่าการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) นายเดชพนต์  เลิศสุวรรณโรจน์  กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน) หรือ UBE ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเชิงบูรณาการนำผลงานวิจัย องค์ความรู้ ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม ไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์และเชิงสังคม โดยมุ่งเน้นพัฒนากระบวนการผลิต วิจัยพัฒนาการใช้ประโยชน์สารชีวภัณฑ์ในระดับภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งการทำเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์ครบวงจร  โดยมีระยะเวลาความร่วมมือ  5  ปี โอกาสนี้ นายสายันต์   ตันพานิช  รองผู้ว่าการวิจัยและพัฒนาด้านอุตสาหกรรมชีวภาพ วว. ดร.อาภากร  สุปัญญา  รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์และจัดการนวัตกรรม วว. นายวุฒิพงศ์  นิลผาย  รองกรรมการผู้จัดใหญ่ UBE  ฝ่ายปฏิบัติการ นางสาวสุรียส  โควสุรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ UBE ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ พร้อมผู้บริหาร บุคลากร ทั้งสองหน่วยงานร่วมเป็นเกียรติ  ในวันที่  18  พฤศจิกายน 2564 ณ ห้องประชุมใหญ่ชั้น 5 อาคาร Admin วว. เทคโนธานี จังหวัดปทุมธานี

“…ความร่วมมือในวันนี้จะเป็นก้าวสำคัญของภาครัฐและเอกชน ที่จะร่วมกันพัฒนาผ่านการสนองตอบนโยบาย BCG ของรัฐบาล ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสินค้าทางการเกษตร การยกระดับภาคอุตสาหกรรมและภาคการเกษตรของประเทศ  โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์สารชีวภัณฑ์และเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ ในระบบเกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในปัจจุบัน  ภายใต้ความร่วมมือนี้ วว. และ UBE จะบูรณาการองค์ความรู้ร่วมกัน ผลักดันให้เกิดการนำงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิยช์และเชิงสังคม  ส่งเสริมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม อย่างเป็นรูปธรรมและยั่งยืน…” .(วิจัย) ดร.ชุติมา  เอี่ยมโชติชวลิต  กล่าว

นายเดชพนต์  เลิศสุวรรณโรจน์  กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อุบล ไบโอ เอทานอล จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า

บริษัทดำเนินธุรกิจด้านเอทานอลเป็นหลัก ได้ส่งเสริมการปลูกมันสำปะหลังออร์แกนิกอยู่แล้ว  และได้ขยายธุรกิจมาทำเกษตรอินทรีย์เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีอนาคต เพราะประเทศไทยเป็นสังคมเกษตร และมีจุดแข็งด้านการเกษตรอยู่แล้ว เราต้องพัฒนาจุดแข็ง โดยการทำเกษตรแบบประณีตพัฒนาไปสู่ความเป็นออร์แกนิก  โดยมีสารชีวภัณฑ์เป็นอาวุธสำหรับเกษตรกร  การที่ วว. สามารถพัฒนาสารชีวภัณฑ์นี้สู่อุตสาหกรรม เป็นการตอบโจทย์ประเทศอย่างแท้จริง เชื่อมั่นว่าในอนาคตจะมีธุรกิจด้านเกษตรอินทรีย์เกิดขึ้นในจังหวัดอื่นๆ นอกเหนือจากจังหวัดอุบลราชธานีที่บริษัทดำเนินการอยู่ ซึ่งจะทำให้เกษตรกรมีสุขภาพดี สามารถขายสินค้าได้ดี มีรายได้ที่เพิ่มขึ้นและที่สำคัญได้ร่วมดูแลสิ่งแวดล้อมโดยรวม

ทั้งนี้ วว. มีความเชี่ยวชาญด้านงานวิจัยพัฒนาและให้บริการตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value chain) ของสารชีวภัณฑ์ครบวงจร ส่งเสริมงานวิจัยสร้างเศรษฐกิจสีเขียว  ส่งเสริมเกษตรปลอดภัย  เกษตรอินทรีย์ บูรณาการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านสารชีวภาพและชีวภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ให้บริการทดสอบอย่างครบวงจรเพื่อประกอบการขึ้นทะเบียนชีวภัณฑ์  เป็นคลังสายพันธุ์จุลินทรีย์กว่า 10,000 สายพันธุ์ ที่พร้อมให้บริการแก่ผู้ประกอบการมีการศึกษาวิจัยระดับประเทศและภูมิภาค มีโครงสร้างพื้นฐานด้านการผลิตจุลินทรีย์ระดับอุตสาหกรรม (ICPIM) เพื่อการนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ ตั้งแต่ระดับห้องปฏิบัติการไปจนถึงระดับโรงงานนำทาง 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและรับบริการจาก วว. ติดต่อได้ที่ โทร. 0 2577 9000  โทรสาร 0 2577 9362 อีเมล tistr@tistr.or.th www.tistr.or.th    Line@TISTR    IG : tistr_ig


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์ สิ่งประดิษฐ์ สิ่งประดิษฐ์ในประเทศ

วว. ให้บริการ Shared Service เปิดตัวนวัตกรรมเครื่องทอดสุญญากาศ ลดต้นทุนการผลิต ตอบโจทย์ผู้บริโภค

กระทรวงการอุดมศึกษา  วิทยาศาสตร์  วิจัยและนวัตกรรม (อว.)  โดย  สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย  (วว.)  มุ่งเน้นให้บริการ  Shared  Service   เสริมแกร่งผู้ประกอบการ  เปิดตัว นวัตกรรมเครื่องทอดสุญญากาศ    ช่วยลดต้นทุนการผลิตด้านแปรรูปผลผลิตการเกษตร     ตอบโจทย์ผู้บริโภค     ระบุปริมาณการทอดต่อรอบ 65 กิโลกรัมต่อครั้ง  น้ำมันทอดในระบบนำมาใช้ซ้ำได้  20  ครั้ง  โดยยังมีประสิทธิภาพดี  ปลอดภัยต่อสุขภาพ  เนื่องจากเป็นการทอดระดับสุญญากาศ  -720  มิลลิเมตรปรอท  ทำให้ผลิตภัณฑ์แปรรูปมีมูลค่าสูงขึ้น  ไม่อมน้ำมัน  มีอายุการเก็บรักษา 1 ปี  โดยยังคงคุณภาพด้าน กลิ่น  สี รสชาติของผลผลิต ใกล้เคียงธรรมชาติ

. (วิจัย) ดร.ชุติมา   เอี่ยมโชติชวลิต   ผู้ว่าการ  วว.   กล่าวว่า  วว.  มุ่งเน้นให้บริการ   Shared  Service    เพื่อส่งเสริมสนับสนุนผู้ประกอบการด้วยองค์ความรู้ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม  (วทน.)  ให้มีความเข้มแข็งในการประกอบธุรกิจ มีศักยภาพด้านขีดความสามารถการแข่งขันทั้งภายในและต่างประเทศ  นวัตกรรมเครื่องทอดสุญญากาศเป็นผลงานล่าสุด ซึ่ง โรงงานบริการนวัตกรรมอาหาร  (FISP)  ศูนย์เชี่ยวชาญนวัตกรรมอาหารสุขภาพ วว. วิจัยและพัฒนาขึ้น  เป็นการให้บริการใหม่ของ วว. เพื่อตอบสนองให้กับผู้ประกอบการหรือผู้สนใจทั่วไปที่ต้องการเป็นผู้ประกอบการ ในด้านการแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรเป็นผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อสุขภาพ อาทิ  ทุเรียน ขนุน  กล้วย  สับปะรด  ฟักทอง มันเทศ  กระเจี๊ยบ   เป็นต้น  ทั้งนี้การประกอบธุรกิจอาหารสุขภาพมีความจำเป็นยิ่ง ที่ต้องนำเทคโนโลยีเข้าไปช่วยให้กระบวนการผลิตมีคุณภาพได้มาตรฐาน

เครื่องทอดสุญญากาศ  หรือ Vacuum  fryer  มีปริมาณการทอดต่อรอบ 65 กิโลกรัม/ครั้ง   สร้างระดับสุญญากาศสูงสุดได้ถึง -720  มิลลิเมตรปรอท  อุณหภูมิที่ใช้ในการทอด 80-95 องศาเซลเซียส   โดยใช้เวลาทอด 60-80 นาที/ครั้ง (ขึ้นกับประเภทวัตถุดิบ) ปริมาณน้ำมันที่ใช้ในการทอดต่อรอบจำนวน  600 ลิตร สามารถนำน้ำมันมาใช้ทอดซ้ำได้ถึง  20 ครั้งต่อน้ำมัน 1 รอบ โดยน้ำมันยังมีประสิทธิภาพดีและปลอดภัยต่อสุขภาพ ระบบสลัดน้ำมันภายหลังการทอดใช้เวลา 25  นาที  กำลังการผลิตต่อการใช้น้ำมัน 1 รอบ (600 ลิตร) ประมาณ 1,000-1,300 กิโลกรัม  โดยผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการทอดมีคุณภาพสม่ำเสมอ  ไม่อมน้ำมัน  ถูกหลักอนามัย  มีอายุการเก็บรักษาได้ 1 ปี และคุณภาพผลิตภัณฑ์ด้านกลิ่น สี รสชาติ ยังคงใกล้เคียงธรรมชาติ 

“…วว. พร้อมให้บริการและพร้อมเป็นหุ้นส่วนในความสำเร็จของผู้ประกอบการทุกท่าน  สามารถติดต่อสอบถามเพื่อเข้ามาใช้บริการกับ วว. ได้ที่ โทร.  0 2577 9000  หรือมาติดต่อได้ที่สำนักงาน ณ เทคโนธานี คลองห้า  จังหวัดปทุมธานี นักวิจัยของเราพร้อมให้คำแนะนำแก่ท่านในการเลือกนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของท่าน  เราพร้อมช่วยสานฝันของท่านให้สำเร็จเป็นรูปธรรมด้วยราคามิตรภาพ เนื่องจาก วว. ต้องการสนับสนุนให้เกิดผู้ประกอบการใหม่และช่วยพัฒนาศักยภาพให้กับผู้ประกอบการเดิม โดยที่ท่านไม่ต้องลงทุนด้านเทคโนโลยี…”   ผู้ว่าการ วว. กล่าว

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมผลงานวิจัยและพัฒนา หรือรับคำแนะนำปรึกษาในการประกอบธุรกิจจาก วว. ติดต่อได้ที่ โทร. 0 2577 9000  โทรสาร 0 2577 9009  www.tistr.or.th  E-mail : tistr@tistr.or.th   Line@tistr  IG : tistr_ig 


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

วว. ชูผลสำเร็จวิจัยพัฒนา ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพผิวจากสาหร่ายพันธุ์ไทย

กระทรวงการอุดมศึกษา  วิทยาศาสตร์  วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดย สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.)  ชูผลสำเร็จงานวิจัยและพัฒนา “ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพผิวจากสาหร่ายพันธุ์ไทย”

ระบุอุดมด้วยสารที่มีคุณประโยชน์  พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตสู่เชิงพาณิชย์ มุ่งหวังให้เป็นต้นแบบในการนำสาหร่ายไปใช้ประโยชน์ให้หลากหลาย สร้างความแข็งแกร่งแก่เศรษฐกิจประเทศจากความหลากหลายทางชีวภาพ

ศ. (วิจัย) ดร.ชุติมา   เอี่ยมโชติชวลิต   ผู้ว่าการ วว.  กล่าวว่า   วว. นับเป็นหน่วยงานแห่งเดียวในประเทศที่มีการดำเนินงานด้านสาหร่ายอย่างครบวงจร ตั้งแต่การมีคลังเก็บรักษาสายพันธุ์สาหร่าย เพื่อรวบรวมและเก็บรักษาสายพันธุ์สาหร่ายน้ำจืดและน้ำเค็มขนาดเล็กจากแหล่งต่างๆ ทั่วประเทศพร้อมทั้งจัดทำฐานข้อมูล กว่า 1,000 สายพันธุ์ มีห้องปฏิบัติการเพาะเลี้ยง วิเคราะห์ และทดสอบ ที่สำคัญและโดดเด่น คือ วว. มีระบบการเพาะเลี้ยงสาหร่ายกลางแจ้งระดับการเพาะเลี้ยงต่อเนื่องและครบวงจร ปริมาตรรวม 400,000 ลิตร  ผ่านการดำเนินงานโดย   ศูนย์ความเป็นเลิศด้านสาหร่าย วว. (TISTR Algal Excellent Center, TISTR ALEC) ในสังกัด ศูนย์ความหลากหลายทางชีวภาพ  ซึ่งมีภารกิจเพื่อพัฒนาทรัพยากรชีวภาพด้านสาหร่าย  ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ   พร้อมทั้งดำเนินการวิจัย พัฒนา ถ่ายทอดเทคโนโลยี และนวัตกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ รวมทั้งให้บริการที่เกี่ยวข้องกับสาหร่ายแก่ภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศ มุ่งเน้นการผลิตชีวมวลสาหร่ายเพื่อเป็นวัตถุดิบ ในการนำไปใช้ประโยชน์ด้านเกษตร  อาหาร เภสัชกรรม สิ่งแวดล้อม และพลังงานอย่างยั่งยืน เพื่อให้เป็นที่ยอมรับในระดับอาเซียน

ขณะนี้ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านสาหร่าย วว. ประสบผลสำเร็จในการเพิ่มมูลค่าสาหร่ายพันธุ์ไทย โดยการวิจัยและพัฒนาเป็นต้นแบบในกระบวนการผลิตสู่ระดับอุตสาหกรรม  ได้แก่  “ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพผิว” เพื่อเน้นย้ำถึงความสำคัญของศักยภาพสาหร่ายที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในด้านต่างๆ เป็นประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตและการประกอบธุรกิจ   ดังนี้

ครีมกันแดดผสมสารกลุ่มแซนโทฟิลล์จากสาหร่าย   (Coelastrum  morus)  SPF50 PA++++  ช่วยป้องกันผิวจากรังสีอัลตราไวโอเลตหรือรังสียูวีในแสงแดด ป้องกันการเกิดริ้วรอย ช่วยไม่ให้ผิวหนังเหี่ยวย่นหรือดูแก่ก่อนวัย ผิวแห้งกร้าน ป้องกันการเกิดฝ้า กระ ปัญหาผิวคล้ำเสีย และมะเร็งผิวหนัง  ผลิตภัณฑ์ผ่านการทดสอบความเป็นพิษต่อเซลล์ผิวหนังมนุษย์  การทดสอบฤทธิ์ยับยั้งเมลานินในเซลล์เพาะเลี้ยง ฤทธิ์กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน  ความคงตัวของผลิตภัณฑ์ครีมกันแดด และค่าประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากรังสียูวีเอและยูวีบี

ชุดผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดและบำรุงผิวกายจากสาหร่ายมุกหยก (Nostoc   communeประกอบด้วยสบู่   แอลกอฮอล์เจล  และครีมบำรุงผิว  ผลิตภัณฑ์ทั้งสามชนิดมีคุณสมบัติในการกักเก็บความชุ่มชื้นและบำรุงผิวได้ดีด้วยคุณสมบัติโพลีแซคคาไรด์จากสาหร่าย ผลิตภัณฑ์ผ่านการทดสอบด้านความระคายเคืองต่อผิวหนังในกลุ่มอาสาสมัคร ความเป็นพิษต่อเซลล์ ประสิทธิภาพของสารกันเสีย  การปนเปื้อนยีสต์  ราและแบคทีเรีย

“…ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพผิวดังกล่าว  เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จที่ วว. นำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เข้าไปเพิ่มมูลค่าให้กับทรัพยากรที่มีคุณค่าของประเทศเรา ซึ่งมีความหลากหลายทางชีวภาพ  ซึ่งรัฐบาลให้ความสำคัญและผลักดันเป็นนโยบายด้านเศรษฐกิจฐานชีวภาพ วว. โดย ศูนย์ความเป็นเลิศด้านสาหร่าย พร้อมสนับสนุนการยกระดับงานวิจัย พัฒนา ถ่ายทอดเทคโนโลยี และบริการด้านสาหร่าย อย่างครบวงจรกับทุกภาคส่วน และร่วมเป็นกำลังหลักสำคัญในการพัฒนาประเทศไทยไปสู่ ความมั่นคง เข้มแข็งทางเศรษฐกิจ…” ผู้ว่าการ วว. กล่าว

ทั้งนี้ ศูนย์ความเป็นเลิศด้านสาหร่าย วว. ให้บริการแก่ผู้ประกอบการ ภาคอุตสาหกรรม  ในการผลิตสารสกัดและพัฒนาสูตรตำรับ  กระบวนการเพาะเลี้ยงสาหร่ายจนถึงกระบวนการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้แก่ผู้ประกอบการที่สนใจเพื่อต่อยอดการผลิตสู่เชิงพาณิชย์ต่อไป

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและขอรับคำแนะนำปรึกษาจาก ศูนย์ความเป็นเลิศสาหร่าย  วว. ติดต่อได้ที่  โทรศัพท์ 0 2577 9000 ต่อ 9805   โทรสาร 0 2577 9000 ต่อ 9804  มือถือ 096 3958713 E-mail : alec@tistr.or.th


 

Exit mobile version