Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มช. กับ 5 เทคโนโลยีรับมือปัญหาหมอกควันและ PM.2.5

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกวันนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาหมอกควันและฝุ่นละออง PM 2.5 ที่ลอยปกคลุมตามพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วทุกภาคของประเทศ ส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมของประชาชน โดยเฉพาะภาคเหนือ ที่กระทบต่อคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจในวงกว้าง ซึ่งเป็นประเด็นที่ทุกฝ่ายไม่ได้นิ่งนอนใจ ต่างผลักดันให้เกิดการแก้ไขอย่างจริงจัง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จึงได้จัดตั้งคณะทำงานด้านวิชาการเพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาหมอกควันภาคเหนือ เป็นการรวมตัวของคณาจารย์ผู้ชำนาญในหลายสาขาวิชา เพื่อเป็นศูนย์กลางในการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ดำเนินงานศึกษาวิจัย เสนอแนวทาง และถ่ายทอดนวัตกรรม รวมถึงนำมาซึ่งการพัฒนาเครื่องมือที่ช่วยหน่วยงานและประชาชนสามารถติดตามคุณภาพอากาศเพื่อการรับมือและเฝ้าระวัง ดังนี้

1.ระบบสนับสนุนการตัดสินใจในการบริหารจัดการเชื้อเพลิงชีวมวล (Fire Management Decision Support System) หรือ FireD (ไฟดี) โดย FireD/ไฟดี เป็นระบบสนับสนุนการตัดสินใจในการบริหารจัดการเชื้อเพลิงชีวมวล เพื่อสนับสนุนข้อมูลทางวิชาการให้แก่ผู้มีอำนาจตัดสินใจที่จะ “อนุมัติ/ไม่อนุมัติ” ให้บางกิจกรรมการใช้ที่ดินที่มีความจำเป็นต้องพึ่งไฟในห้วงเวลาเฝ้าระวังของฤดูไฟป่า โดยใช้แนวคิดคือ “ไฟจำเป็น” หากใช้ถูกที่-ถูกเวลา จะส่งผลกระทบต่อคุณภาพอากาศโดยรวมน้อยลง ซึ่งระบบประกอบไปด้วยข้อมูลสำคัญ ได้แก่ ข้อมูลการพยากรณ์ฝุ่นควัน ข้อมูลอุตุนิยมวิทยา ข้อมูลจุดความร้อน และข้อมูลอัตราการระบายอากาศ โดยหวังว่าระบบนี้จะเป็นทางเลือกหนึ่งในการแก้ไขปัญหาฝุ่นควันในพื้นที่ โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชาคริต โชติอมรศักดิ์ อาจารย์ประจำภาควิชาภูมิศาสตร์ และหัวหน้าศูนย์ภูมิภาคเพื่อการศึกษาด้านภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (Regional Center for Climate and Environmental Studies : RCCES) คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

 

2.ระบบการพยากรณ์คุณภาพอากาศประเทศไทย “Thai Air Quality” เป็นแอปพลิเคชันที่สามารถแสดงผลพยากรณ์คุณภาพอากาศล่วงหน้าสูงสุดได้ 3 วัน ครอบคลุมทั่วประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน อีกทั้งยังแสดงข้อแนะนำทางด้านสุขภาพเกี่ยวกับการปฏิบัติตนจากสถานการณ์คุณภาพอากาศในแต่ละกลุ่มเสี่ยงและกลุ่มกิจกรรม ซึ่งเผยแพร่ให้บุคคลทั่วไปใช้ได้ผ่านทั้งระบบ iOS และ Android พัฒนาโดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ชาคริต โชติอมรศักดิ์ อาจารย์ประจำภาควิชาภูมิศาสตร์ และหัวหน้าศูนย์ภูมิภาคเพื่อการศึกษาด้านภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม (Regional Center for Climate and Environmental Studies : RCCES) คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

 

 

3. NTAQHI (Northern Thailand Air Quality Health Index หรือ ดัชนีคุณภาพอากาศเพื่อสุขภาพชาวเหนือ) เพื่อตอบโจทย์การขยายเครือข่ายระบบเฝ้าระวังและแจ้งเตือนประชาชนจากผลกระทบของปัญหาหมอกควันต่อสุขภาพไปยังจังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือ ที่แสดงผลในพื้นที่ทั้งแบบเวลาจริงทุกชั่วโมง และแบบค่าเฉลี่ยใน 24 ชั่วโมงพร้อมคำอธิบายระดับดัชนีคุณภาพอากาศ รวมถึงคำเตือนเพื่อลดความเสี่ยงจากผลกระทบของมลพิษอากาศต่อสุขภาพ พร้อมปรับโฉมให้ผู้ใช้งานเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย โดย ศาสตราจารย์ นายแพทย์ขวัญชัย ศุภรัตน์ภิญโญและทีมงาน IT ของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

 

 

4. DUSTBOY เครื่องวัดปริมาณฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศด้วยระบบเซนเซอร์การตรวจวัดคุณภาพอากาศและการเตือนภัยมลพิษทางอากาศ รายงานสถานการณ์ฝุ่นแบบ Real Time ที่ติดตั้งทั่วประเทศแล้วกว่า 400 จุด ตั้งเป้าขยายเป็น 2000-3000 จุด ทั่วไทยในทุกตำบล เข้าถึงข้อมูลอย่างรวดเร็ว ผ่านทางแอปพลิเคชัน “CMU Mobile” Application สำหรับภายใน มช. โดย รองศาสตราจารย์ เศรษฐ์ สัมภัตตะกุล หัวหน้าศูนย์ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คณะวิศวกรรมศาสตร์

5. เทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับตรวจจับความร้อน (Thermal Imaging UAV) เพื่อการป้องกันและควบคุมไฟป่าในระดับพื้นที่ ระบบจะติดตามคุณภาพอากาศด้วยข้อมูลดาวเทียม ซึ่งเป็นระบบที่พัฒนาโดยการใช้เทคนิควิธีการด้านแผนที่ออนไลน์ (Web GIS Application) เพื่อรายงานข้อมูลเชิงสถานการณ์ของฝุ่นละออง PM2.5 และข้อมูลจุดความร้อน (Hotspot) ด้วยการตรวจหาจากข้อมูลดาวเทียม NASA TERRA/AQUA ระบบ MODIS และ Suomi NPP ระบบ VIIRS โดย อาจารย์ ดร.พลภัทร เหมวรรณ อาจารย์ประจำภาควิชาภูมิศาสตร์และหัวหน้าศูนย์ภูมิภาคเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (ภาคเหนือ) GISTNORTH คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตระหนักถึงความสำคัญ และพร้อมเป็นกำลังสำคัญในการร่วมมือกันแก้ไขปัญหาหมอกควันและPM 2.5 ตลอดจนเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อรับมือวิกฤตฝุ่นอย่างสร้างสรรค์ แบบครบทุกมิติ


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพจากมลพิษฝุ่นจิ๋ว PM2.5


โดย ศ.นพ.ชายชาญ โพธิรัตน์ 

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญหน่วยโรคระบบการหายใจ เวชบำบัดวิกฤตและภูมิแพ้อายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทยมีความเป็นห่วงผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพจากมลพิษฝุ่นจิ๋ว PM2.5 ที่จะเกิดขึ้นกับประชาชน โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือตอนบนไม่ว่าจะเป็นจังหวัดเชียงใหม่  เชียงราย หรือจังหวัดใกล้เคียง โดยองค์การอนามัยโลก หรือ WHO  ได้กล่าวไว้ว่า “การหายใจด้วยอากาศที่มีคุณภาพถือเป็น  “สิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคน” 

ดังนั้นเมื่ออนุภาคมลพิษอากาศขนาดเล็กที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 2.5 ไมครอน หรือ PM2.5 มีส่วนประกอบสำคัญหลัก คือ คาร์บอนอินทรีย์ สาร PAHs เกลือซัลเฟต เกลือไนเตรท โลหะหนัก มีสัดส่วน เปลี่ยนไปบ้างตามแหล่งกำเนิดมลพิษและฤดูกาล เนื่องจาก PM2.5 มีขนาดเล็กกว่าเม็ดเลือดแดงจึงเข้าสู่ทุกเซลล์ของระบบอวัยวะได้อย่างรวดเร็ว  เมื่อสูดหายใจเข้าไป จึงอาจมีผลกระทบต่อแทบทุกระบบอวัยวะของร่างกาย จะมีผลกระทบมากหรือน้อย ขึ้นกับปัจจัยสำคัญ ดังนี้

1. ระดับความเข้มข้นของ PM2.5 ที่ร่างกายได้รับ
2. ระยะเวลาสะสมที่ร่างกายได้รับ PM2.5
3. สัดส่วนของสารประกอบชนิดต่างๆใน PM2.5
4. สภาวะของร่างกายขณะได้รับ PM2.5 (ทารกในครรภ์มารดาและช่วงวัยต่างๆ ความไวต่อมลพิษของบุคคล ความเจ็บป่วยที่มีอยู่เดิม ความแข็งแรงของร่างกาย)

ผลกระทบดังกล่าวอาจมีได้หลายรูปแบบ ตั้งแต่ยังไม่ปรากฏอาการ ไม่มีการอักเสบ ไม่ปรากฏอาการแต่มีการอักเสบแฝงในระบบอวัยวะจนเกิดอาการผิดปกติ ซึ่งเกิดได้ทั้งฉับพลันทันทีทันใด แบบเฉียบพลัน และแบบเรื้อรัง

โดยผลกระทบตามระยะต่างๆ อาจทำให้เกิดโรคขึ้นใหม่ หรือทำให้โรคเดิมรุนแรงขึ้นทำให้เซลล์ของอวัยวะ เสื่อมจนทำให้อวัยวะทำงานเสื่อมเร็วและรุนแรงขึ้นอาจทำให้เซลล์กลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็ง

ตัวอย่างผลกระทบจาก PM2.5 ต่อระบบอวัยวะสำคัญหลักในการดำรงชีวิต ได้แก่ ระบบการหายใจ (เช่น โพรงจมูกอักเสบทั้งแบบภูมิแพ้ และติดเชื้อหลอดคอ กล่องเสียงและหลอดลมอักเสบ หอบหืด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง ปอดอักเสบ) การอักเสบจาก PM2.5 ส่งเสริมให้ระบบการหายใจมีการอักเสบ มากขึ้นเป็นทวีคูณเมื่อได้รับสารก่อแพ้และการอักเสบจาก PM2.5 ยังทำให้ติดเชื้อ (เช่นไวรัสไข้หวัด ไวรัส ไข้หวัดใหญ่ แบคทีเรีย)ได้ง่ายและรุนแรงมากขึ้นหลายเท่า และจำนวนไม่น้อยที่เกิดการอักเสบทั้งแบบ ภูมิแพ้และแบบติดเชื้อผสมผสานกัน ระบบหัวใจ (กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจตาย หัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจล้มเหลว) ระบบหลอดเลือด (หลอดเลือดไปเลี้ยงสมองเสื่อม โรstroke ของหลอดเลือดสมอง ความดันโลหิตสูง หลอดเลือดเลี้ยงหัวใจตีบ หลอดเลือดดำอุดตัน) ระบบสมอง (สมองด้อยประสิทธิภาพ สมองเสื่อม สมาธิสั้นและระบบจิตประสาท (อารมณ์แปรปรวน ความผิดปกติทางจิตแบบซึมเศร้าและฆ่าตัวตาย) และมีส่วนทำให้เกิดมะเร็งของอวัยวะต่าง ๆ (โดยเฉพาะมะเร็งปอด)

ดังนั้น PM2.5 จึงเป็นมลพิษที่เป็นสาเหตุสำคัญต่อการเสียชีวิตทั้งแบบฉับพลัน เฉียบพลัน และทำให้อายุขัยสั้นลง เป็นสาเหตุสำคัญของการเจ็บป่วยทั้งฉับพลันและเฉียบพลันอาจรุนแรง ถึงกับต้องไปรับการรักษาที่แผนกฉุกเฉินหรือต้องรับการรักษาในโรงพยาบาล เป็นสาเหตุของการเจ็บป่วยเป็นโรคเรื้อรังโดยเฉพาะโรคภูมิแพ้ โรคระบบการหายใจ โรคหัวใจและหลอดเลือดหรือทำให้โรคเรื้อรังดังกล่าว มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นรวมทั้งเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งปอด

ส่วนระดับค่าเฉลี่ยของ PM2.5 รายวัน นิยมใช้ในการศึกษาวิจัยผลกระทบต่อการเสียชีวิตและสุขภาพในระยะสั้นและค่าเฉลี่ยรายปี นิยมใช้ในการศึกษาวิจัยผลกระทบระยะยาวต่อการเกิดโรค เรื้อรังของระบบอวัยวะต่างๆ รวมทั้งโรคมะเร็ง และช่วงอายุขัย

ส่วนค่า PM2.5 รายชั่วโมงมีผลกระทบต่อสุขภาพได้เช่นเดียวกัน ส่วนจะมากน้อยแตกต่างกันตามปัจจัยทั้ง 4 ที่กล่าวข้างต้น จึงนิยมใช้เตือนประชาชนในการวางแผนบริหารความเสี่ยงในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆในชีวิตประจาวันในชั่วโมงถัดไป

แม้จะไม่มีค่า PM2.5 ที่ต่ำสุดที่ถือว่าปลอดภัยไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพ แต่องค์การอนามัยโลกได้แนะนำความเป็นไปได้ที่ประเทศต่างๆ ควรมีแผนการดำเนินการกำหนดเป้าหมายให้ระดับ PM2.5 ไม่เกินค่าที่แนะนำเพื่อลดผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพให้เหลือน้อยเท่าที่จะบริหารจัดการได้ตามหลักฐาน งานวิจัยทั่วโลกที่ใช้ประกอบคำแนะนำ (ค่าเฉลี่ยรายวันไม่เกิน 25 มคก./ลบ.ม และค่าเฉลี่ยรายปี ไม่เกิน 10 มคก./ลบ.ม)

ส่วนแต่ละประเทศจะกำหนดค่ามาตรฐานของประเทศตนเองอย่างไรขึ้นอยู่กับระดับมลพิษ PM2.5 การชั่งความสมดุลเรื่องชีวิตและสุขภาพกับงบประมาณการลงทุนเพื่อปรับปรุงสภาวะแวดล้อมของแต่ละประเทศ ตลอดจนความเข้าใจ ความตั้งใจและความจริงจังในการปรับปรุงคุณภาพอากาศของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน โดยพิจารณาจากการมีฝ่ายปกครองมีคำมั่นสัญญาที่ชัดเจนเป็นรูปธรรม กำหนดนโยบาย งบประมาณ แผนการดำเนินการ วิธีการดำเนินการและการประเมินผลที่มีกรอบระยะเวลาที่ชัดเจนทันต่อสถานการณ์แนวโน้มระดับมลพิษอากาศ

จากการศึกษาในต่างประเทศ หลายประเทศพบว่างบการลงทุนเพื่อปรับปรุงคุณภาพอากาศมีความคุ้มทุนสูงมากหลายสิบเท่าและเห็นผลดีอย่างรวดเร็วทั้งในด้านชีวิต สุขภาพ และเศรษฐกิจ ทำให้เศรษฐกิจเจริญก้าวหน้าควบคู่ไปกับอากาศที่มีคุณภาพได้ ตัวอย่าง เช่น จีน สหรัฐอเมริกา ไนจีเรีย เป็นต้น

จากการศึกษาวิจัยพบว่าประชากรของประเทศไทยได้รับผลกระทบด้านชีวิตและสุขภาพ จากฝุ่นมลพิษแทบทุกภาคมาอย่างยาวนานกว่าทศวรรษและทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงฤดูแล้ง (ช่วง เดือนธันวาคม-เมษายน) โดยเฉพาะ 3-5 ปี ล่าสุด

โดยแหล่งกำเนิดมลพิษที่เป็นปัญหาและมีผลกระทบต่อชีวิตและสุขภาพของประชาชนมากที่สุดในช่วงฤดูแล้งคือ การเผาในพื้นที่เกษตรเพิ่มขึ้นจากการส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตร (โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอ้อย ข้าวโพด และข้าว ในทุกภาคยกเว้นภาคใต้) และยังมีการทำเกษตรพืชเชิงเดี่ยวในพื้นที่ภูเขาบ่อยครั้งที่ไฟลุกลามออกนอกพื้นที่ปลูก กลายเป็นสาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งของไฟป่า (ภาคเหนือตอนบน) ตลอดจนมีการเพิ่มการเผาพื้นที่เกษตรจากการส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรในประเทศเพื่อนบ้านด้วยเช่นกัน ทำให้พื้นที่ทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ได้รับผลกระทบจาก PM2.5 ในช่วงฤดูแล้งกันอย่างถ้วนทั่ว รวมทั้งกรุงเทพฯและปริมณฑลที่ได้รับ PM2.5 จากการเผาอุตสาหกรรมเกษตรเป็นหลักด้วยเช่นกัน  เพราะกระแสลมที่พัดมวล PM2.5 จากแหล่งกำเนิดเข้าสู่กรุงเทพฯและปริมณฑลร่วมกับสภาพความกดอากาศ การกักขังอากาศไม่มีการถ่ายเทเอื้อให้มลพิษ PM2.5 ลอยแขวนในบรรยากาศอยู่นาน ทำให้สัดส่วนแหล่งกำเนิด PM2.5 มาจากการเผาอุตสาหกรรมเกษตรมีอิทธิพลมากกว่ามลพิษจากการจราจรหรือมลพิษจากปล่องโรงงานอุตสาหกรรม

กล่าวโดยสรุปได้ว่ามลพิษ PM2.5 ในประเทศไทยในช่วงฤดูแล้งเกิดจากการเผาอุตสาหกรรมเกษตร อ้อย ข้าวโพด และข้าว เป็นหลัก และถูกซ้ำเติมด้วยการเผาอุตสาหกรรมเกษตรจากประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งสาธารณรัฐกัมพูชา และสาธารณรัฐเมียนมาร์

คำแนะนำหลักสำหรับประชาชนในการดูแลตนเองช่วงวิกฤตมลพิษ
1. ติดตามค่าดัชนีคุณภาพอากาศในบริเวณที่ตัวเองอยู่หรือใกล้เคียงที่สุดเป็นระยะ โดยเลือกดัชนีที่สะท้อนผลกระทบต่อสุขภาพในช่วงเวลาชั่วโมงล่าสุดเป็นสำคัญ หากไม่มีค่าคุณภาพอากาศในบริเวณใกล้เคียงที่ตัวเองอยู่ การใช้เครื่องวัด PM2.5 แบบพกพา แม้ไม่แม่นยำเท่าเครื่องมาตรฐาน แต่ได้ค่าสอดคล้องกันเป็นอย่างดี มีประโยชน์ในการติดตามแนวโน้มค่ามลพิษส่วนบุคคลและสามารถร่วมกันทำเป็นเครือข่ายในพื้นที่ที่ละเอียดขึ้น (แต่มีข้อจำกัดหากวัดในที่ความชื้นสูงมาก จึงต้องหมั่นตรวจสอบและปรับค่า) ไม่ควรใช้ดัชนีคุณภาพอากาศรายวันมาใช้ในการวางแผนดำเนินกิจกรรมในชีวิตประจำวัน


2. ปิดประตูหน้าต่าง เพื่อไม่ให้มลพิษอากาศเข้ามาสะสมในอาคาร และใช้เครื่องฟอกอากาศในอาคารที่ทำงานหรืออยู่อาศัย เช่น ห้องทำงาน ห้องนอน หรือห้องที่อยู่อาศัยเป็นเวลานาน หากปิดห้องนาน ๆ ระบบไหลเวียนอากาศไม่เพียงพอ (รู้สึกอึดอัด ปวดหรือมึนศีรษะ)ให้เปิดแง้มห้องเพื่อระบายอากาศระยะสั้น ๆ แล้วปิดตามเดิม อาจต้องทำสลับเช่นนี้จนคุณภาพอากาศลดลงมาอยู่ในระดับที่ปลอดภัยสำหรับแต่ละบุคคล

3. ควรสวมหน้ากากที่สามารถกรองฝุ่นละอองขนาดเล็กได้ (N-95) และสวมให้ถูกวิธี จำเป็นต้องเลือกขนาดที่ใส่ได้กระชับกับรูปจมูกและใบหน้า หากเริ่มอึดอัดหรือเหนื่อยให้ถอดออกเพียงชั่วครู่ ก็จะรู้สึกสบายขึ้นแล้วรีบสวมใหม่ ทำสลับกันไปเช่นนี้จนดัชนีคุณภาพอากาศอยู่ในเกณฑ์ที่ปลอดภัยกับตนเอง การใส่หน้ากากN95 ที่มีวาล์วระบายลมหายใจออกจะทำให้อึดอัดน้อยลงใส่ได้นานขึ้น

4. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายนอกอาคารหรือในอาคาร(โรงยิม)ที่ไม่มีระบบฟอกอากาศนาน ๆหรืออาจต้องงดออกกำลังกายขึ้นกับระดับคุณภาพอากาศในช่วงเวลานั้นและปัจจัยเสี่ยงของแต่ละบุคคล

5. หลีกเลี่ยงการอยู่ในอาคารที่ไม่มีระบบฟอกอากาศ (เช่น โรงแรม ศูนย์การค้า ร้านอาหาร โรงภาพยนตร์ที่ไม่มีระบบฟอกอากาศ) ถ้าจำเป็นต้องอยู่ควรสวมหน้ากาก N-95 และทำตามข้อ 3

6. ผู้ที่มีประวัติเป็นโรคภูมิแพ้ โรคหัวใจและหลอดเลือด ความดันโลหิตสูง หรือโรคระบบหายใจเรื้อรัง เช่นหอบหืด ปอดอุดกั้นเรื้อรัง ควรหมั่นสังเกตอาการ โรคกำเริบ ถ้ามีอาการควรใช้ยาหรือรักษาเบื้องต้นตามที่แพทย์เคยแนะนำและไปพบแพทย์โดยเร็วหากอาการไม่หายเป็นปกติ

7. ผู้ที่ไม่มีโรคประจาตัวหรือแข็งแรง ถ้ามีอาการผิดปกติที่รบกวนชีวิตประจาวันควรรีบพบแพทย์เช่นกัน อาการสำคัญที่ควรรีบไปพบแพทย์อย่างฉุกเฉิน ได้แก่ แน่นอกหรือเจ็บอกหรือเจ็บท้องใต้ลิ้นปี่เหมือนมีของหนักกดทับ เหนื่อยหอบผิดปกติ ปวดมึนศีรษะ ชาหรืออ่อนแรงที่ใบหน้าหรือแขนขาซีกใดซีกหนึ่งอย่างฉับพลัน มุมปากตก ปากเบี้ยว พูดไม่ชัด พูดไม่ออก สับสน มองไม่เห็นฉับพลัน อาการไอเป็นชุด ๆ ไอมีเสียงดังหวีด มีไข้และหอบเหนื่อย เป็นต้น

8. สวมแว่นตาขนาดใหญ่ เพื่อป้องกันดวงตาจากมลพิษ ใช้น้ำเกลือมาตรฐานล้างตาหากรู้สึกระคายเคืองตา

9. ใช้น้ำเกลือล้างจมูก เพื่อล้างฝุ่นควันลดอาการคัดจมูก หรือ กลั้วคอ เพื่อบรรเทาอาการเจ็บคอ

10. ไม่เป็นผู้ก่อมลพิษเอง เช่น ไม่เผาทุกชนิด ไม่สูบบุหรี่ ไม่ใช้รถควันดำ


 

Exit mobile version