Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ เปิดตัวยูพีเอสสำหรับธุรกิจหลากหลาย ชูความโดดเด่นด้านประสิทธิภาพ และราคา ช่วยประหยัดพลังงาน พร้อมการบริการ เสียเปลี่ยนฟรีถึงบ้าน

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัว APC UPS สำหรับธุรกิจ ชูความแข็งแกร่งที่โดดเด่น “3 การปกป้อง” ได้แก่ 1.ปกป้องให้ธุรกิจกับอุปกรณ์ต่อพ่วง ด้วย เทคโนโลยี Sine wave ให้ความต่อเนื่องของพลังงานสำหรับอุปกรณ์ที่ละเอียดอ่อนต่อไฟฟ้า 2.ปกป้องค่าไฟด้วย Green Mode Efficiency ที่ให้ประสิทธิภาพพลังงานสูงถึง 98 เปอร์เซ็นต์ ช่วยในการประหยัดพลังงาน  3.ปกป้องเวลาอันมีค่า เพราะเมื่อเครื่องเสียเปลี่ยนฟรีถึงบ้าน หรือสำนักงานทันที เล็งเจาะกลุ่มธุรกิจเอสเอ็มอี คลินิก ร้านสะดวกซื้อ สาขาธุรกิจ ห้องไอทีขนาดเล็ก ตั้งเป้ากระจายทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด

นายรังสิมันตุ์ มีสวัสดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายขายและช่องทางการจัดจำหน่าย กลุ่มธุรกิจ Secure Power ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เผยว่า “เครื่องสำรองไฟฟ้าเอพีซี นับเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ในพอร์ตฟอริโอ ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่มีผู้ใช้งานและให้การยอมรับ เชื่อมั่นด้านประสิทธิภาพและมาตรฐานระดับสากล ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ครอบคลุมทุกเซกเม้นต์ ซึ่งนวัตกรรมของ เครื่องสำรองไฟฟ้าเอพีซี เราออกแบบฟีเจอร์ให้ตรงต่อการใช้งานของผู้ใช้เป็นหลัก ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ เช่น ผู้ใช้งานตามบ้าน สำนักงานเราจะมีฟีเจอร์ที่จำเป็นเช่น ขนาดเล็ก กะทัดรัด แขวนผนังได้ ประหยัดพื้นที่ใช้สอย สะดวกและติดตั้งง่าย บางรุ่นสามารถชาร์จมือถือพร้อมๆ กับการสำรองไฟได้ด้วย หรือถ้าเป็นธุรกิจ เอสเอ็มอี เราจะมีฟีเจอร์ที่จำเป็น เช่น การสำรองไฟได้นานกว่า หรือการจ่ายพลังงานได้มากกว่า เพื่อรองรับอุปกรณ์ที่ใช้พลังงานมาก สำหรับห้องไอที หรือดาต้าเซ็นเตอร์ เราก็มีรุ่นที่เหมาะสมตามสภาพแวดล้อมไอทีรูปแบบต่างๆ มีฟีเจอร์ที่จำเป็นมากขึ้น เช่นการมอนิเตอร์แบบเรียลไทม์ การวิเคราะห์เชิงลึกด้านพลังงาน รวมไปถึงการสั่งงานเปิด/ปิด ช่วยควบคุมค่าไฟ เป็นต้น โดยลูกค้าสามารถเลือกเครื่องสำรองไฟ ที่มีความสามารถด้านฟีเจอร์ที่คุ้มค่าเหมาะกับตนเอง หรือธุรกิจ ได้ไม่ยาก ในแบรนด์ APC แบรนด์เดียว ที่มีคนทั่วโลกให้ความไว้วางใจ”

จากการที่ธุรกิจไทยเริ่มมีการฟื้นตัว การเริ่มต้นทางธุรกิจหรือการปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจ อุปกรณ์ที่จะเข้ามาช่วยรองรับนั่นคือเทคโนโลยี โดยเฉพาะเทคโนโลยีใหม่ๆ หรืออุปกรณ์ต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ไอที เน็ตเวิร์ค สตอเรจ กล้องวงจรปิด มาพร้อมกับวงจร และชิพภายในที่มีความละเอียดอ่อน  และแบตเตอรี่คุณภาพสูง ปลอดภัย

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย พัฒนาเครื่องสำรองไฟ เปิดตัวใหม่ในปีนี้ หลายรุ่น หลายซีร์รี่ ที่ตอบโจทย์ทั้งเรื่องราคา และให้ประสิทธิภาพสูง มาพร้อมกับสเปกที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานในหลากหลายเซกเม้นต์ เพื่อให้ธุรกิจไทยเติบโตอย่างมีเสถียรภาพด้วยต้นทุนที่คุ้มค่า และมั่นใจการใช้งาน และบริการหลังการขาย

วันนี้ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัวเครื่องสำรองไฟรุ่นใหม่ 3 รุ่น ประกอบด้วย

APC Easy UPS Line-interactive SMV เครื่องสำรองไฟที่ทุกธุรกิจต้องมี ใช้เทคโนโลยี แบบ Line Interactive with AVR (Auto Voltage Regulation) ที่มาพร้อมรูปคลื่น Pure Sinewave Output ทำหน้าที่ปกป้องอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีกำลังไฟสูง และต้องการใช้งานต่อเนื่องยาวๆ พร้อมให้ความเสถียรมีเหมาะสม สามารถทำงานได้ต่อเนื่องไม่สะดุด เหมาะสำหรับอุปกรณ์หลากหลาย  ด้วยเอาต์เล็ตเชื่อมต่อแบบ universal ทำให้เชื่อมต่อกับทุกอุปกรณ์ได้ง่าย และรุ่นนี้มีรูปคลื่นแบบ Pure Sinewave Output ทำให้สามารถรองรับอุปกรณ์ได้ทุกประเภท โดยเฉพาะอุปกรณ์ IT ที่ใช้เทคโนโลยี Active PFC Rectifier รวมถึงกลุ่มเป้าหมาย ที่เริ่มตั้งแต่องค์กรขนาดเล็ก ร้านค้า SME Start-Up จบไปถึงองค์กรขนาดกลาง ใช้คู่กับคอมพิวเตอร์ทั่วไป หรือคอมพิวเตอร์สำนักงาน Wifi router จอมอนิเตอร์ อุปกรณ์ IT Gadget อื่นๆ เครื่องสำรองไฟจะทำหน้าที่ จ่ายไฟ ป้องกันไฟดับขณะทำงาน ผู้ใช้จะสามารถทำงานต่อได้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง และสามารถปิด window ต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อไฟดับกะทันหัน โดยที่ไม่ทำให้เอกสารเสียหาย และยังป้องกันไฟตก ไฟเกิน ไฟกระชาก เพื่อช่วยถนอมและยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ได้อีกด้วย

นอกจากนี้ ธุรกิจร้านสะดวกซื้อ ห้าง ร้านค้า Retail ทั่วไป ทั้งขนาดเล็ก จนถึงขนาดใหญ่ จำเป็นต้องใช้เครื่องสำรองไฟฟ้าเช่นกัน เพื่อช่วยธุรกิจดำเนินได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงความปลอดภัยของบริษัท เช่น เครื่องสำรองใช้คู่กับเครื่องคิดเงิน (POS) กล้องวงจรปิด (CCTV) คอมพิวเตอร์หรือเซิร์ฟเวอร์ขนาดเล็ก ไม่ว่าจะเป็นธุรกรรมออน์ไลน์ หรือออนกราวนด์ เครื่องสำรองไฟที่ดี มีคุณภาพ สำรองไฟได้จริงๆ วัตต์เต็ม ป้องกันกัน ไฟตก ไฟกระชาก จะช่วยให้ธุรกิจของท่านดำเนินต่อเนื่องไม่สะดุด สำหรับความปลอดภัยเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกบ้าน ทุกร้านค้าต้องมี เปรียบเหมือนเป็นหูเป็นตา บันทึกเหตุการณ์ที่สำคัญ และเพิ่มความปลอดภัยให้ธุรกิจ ห้าง ร้าน และบ้านของท่าน

APC Easy UPS Line-interactive SMV มีให้เลือก 3 รุ่น 3 ขนาด รุ่นเริ่มต้น คือ รุ่น SMV1000I-MS ให้กำลังไฟอยู่ที่ 1000VA/700Watt มีพอร์ตเชื่อมต่ออุปกรณ์ 4 ช่อง และ รุ่น SMV2000AI-MS ให้กำลังไฟ 2000VA/1400Watt และ SMV3000AI-MS ให้กำลังไฟ3000VA/2100Watt ทั้ง 2 รุ่นนี้ มีพอร์ตเชื่อมต่ออุปกรณ์ ถึง 6 ช่อง ซึ่งสามารถเลือกใช้งานได้ตามความต้องการ ตามขนาดของโหลดอุปกรณ์ได้อย่างครอบคลุม

APC Easy UPS On-Line SRV เครื่องสำรองไฟระบบ True Online สุดคุ้ม  เป็นเครื่องสำรองไฟฟ้า ที่ใช้เทคโนโลยี True Online Double Conversion ที่ออกแบบมาให้ใช้งานแบบบึกบึน แข็งแรง ทนทาน ยังมาพร้อมกับรูปคลื่นแบบ Pure Sinewave Output เช่นกัน จึงสามารถใช้ได้กับอุปกรณ์ทุกประเภท รวมถึงอุปกรณ์ IT ที่ใช้เทคโนโลยี Active PFC Rectifier ด้วย ระบบเทคโนโลยีแบบ True Online จ่ายไฟอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการกระพริบของกระแสไฟระหว่างที่ระบบสลับมาใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ หรือเรียกว่า transfer time เท่ากับ 0 (zero) อุปกรณ์ของท่านจะทำงานได้ต่อเนื่อง ไม่สะดุด นิ่ง เรียบ และมีเสถียรภาพสูง จึงเหมาะกับโหลดที่มีความ sensitive สูง

พิเศษรุ่นนี้สามารถต่อขยายแบตเตอรี่ภายนอกได้ เพื่อเพิ่มระยะเวลาสำรองไฟตามความต้องการของท่าน แนะนำให้ใช้คู่กับอุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น คอมพิวเตอร์สำหรับการแพทย์ โคมไฟผ่าตัด อุปกรณ์ทางทันตกรรม เครื่องปั่นตัวอย่างเลือด เครื่องให้ออกซิเจน อุปกรณ์ในโรงงานเช่นระบบ PLC เป็นต้น ด้วยการสำรองและการจ่ายพลังงานที่สูงตามต้องการ แบตเตอรี่ทำงานตลอดเวลา ทำให้มั่นใจและรองรับได้ทุกสถานการณ์ ถึงแม้ระบบไฟฟ้าภายนอกจะไม่เสถียร True Online สามารถช่วยให้ทำงานได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ สำหรับ APC Easy UPS On-Line SRV มีให้เลือกหลายรุ่นและหลายรูปแบบ เริ่มต้นตั้งแต่  1,000VA จนถึง 10,000VA  ทั้งรูปแบบตั้งพื้น หรือแบบแร็ค รองรับตามการใช้งานในแต่ละอุปกรณ์ ทั้ง Non-IT หรือ IT Application ที่ต้องการติดตั้งเข้าในระบบหรือเข้าตู้แร็ค สำหรับรองรับ Server หรือ Network และสามารถเลือกรุ่นที่ให้ ระยะเวลาสำรองไฟเพิ่มขึ้น คือ รุ่น Long Battery Up time มากับราคาที่พิเศษสุด รุ่นเริ่มต้น เพียง หมื่นต้นๆ สุดคุ้มจริงๆ

Smart-UPS SRTG On-Line เครื่องสำรองไฟรุ่นล่าสุดรหัสชื่อรุ่น SRTG เปิดตัว 6 ขนาด 5kVA, 6kVA, 8kVA, 10kVA, 15kVA และ 20kVA ด้วยเทคโนโลยี High density, True Online Double Conversion ให้พลังไฟเต็ม (power factor = 1) ตั้งแต่ 5,000 วัตต์ ไปจนถึง 20,000 วัตต์สำหรับสำรองไฟให้อุปกรณ์ไอที และเฉพาะรุ่นขนาด 15kVA และรุ่น 20kVA มีให้เลือกใช้งานกับระบบไฟฟ้าทางด้านขาเข้าทั้งแบบ 1 เฟส และ 3 เฟส

ด้วยการออกแบบที่กะทัดรัด Smart-UPS SRTG On-Line จึงช่วยประหยัดพื้นที่และติดตั้งง่าย ทั้งในรูปแบบตั้งพื้น หรือเข้าตู้แร็ค จึงเหมาะสำหรับห้องไอที ห้อง Edge network และห้อง telecom VOIP เรียกได้ว่าครอบคลุมตู้แร็ค และสภาพแวดล้อมไอทีได้ทุกขนาด ให้ความเสถียรในการใช้งาน ช่วยปกป้องอุปกรณ์ไอทีราคาแพง เช่น เซิร์ฟเวอร์ สตอเรจ นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มเติมแบตเตอรี่ได้อีกด้วย เพื่อการทำงานที่ต่อเนื่องของอุปกรณ์ในตู้แร็ค

Smart-UPS SRTG On-Line มาพร้อมอินเตอร์เฟสที่ใช้งานง่ายแบบ Multi-Color LCD ให้รายละเอียด เช่น กระแสขาออก (Output voltage) กระแสขาเข้า (Input voltage) โหลด และสภาพของแบตเตอรี่ (Battery Health) ซึ่งให้ข้อมูลที่แม่นยำ พร้อมความสามารถในการตั้งค่าการทำงาน เช่น กระแสออกและความถี่ ภาษา และการแจ้งเตือน นอกจากนี้ยังมี APC Smart-Slot รองรับการ์ดอุปกรณ์เสริมในการทำงาน

นอกจากนี้ที่สำคัญ Smart-UPS SRTG On-Line ช่วยให้เกิดความคุ้มค่าในการลงทุนด้วย Green Mode Efficiency ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ UPS ได้ถึง 98 เปอร์เซ็นต์ ประหยัดค่าไฟฟ้าและการทำความเย็นโดยไม่กระทบต่อประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือ

Smart-UPS SRTG On-Line ยังสามารถใช้งานร่วมกับ EcoStruxure IT Expert ช่วยในการมอนิเตอร์ข้อมูลเชิงลึกต่างๆ และช่วยให้การเหลือปกป้องอุปกรณ์ไอที โดยสามารถการมองเห็นได้ 24/7 แบบเรียลไทม์ และเชื่อมต่อโดยตรงไปยังสมาร์ทโฟนหรือแท็ปเล็ตได้ และเมื่ออัพเกรดเป็น EcoStruxure™ Asset จะมีที่ปรึกษา คอยแก้ไขปัญหาระยะไกลให้ 24×7 เช่นกัน

รวมไปถึงสามารถใช้งาน PowerChute Network Shutdown โดยจะเชื่อมต่อกับ Network Management Card ที่ติดตั้งอยู่กับ UPS ผ่านระบบ Network จะช่วยให้สามารถติดตามและบริหารการทำงานของเครื่องจากระยะไกลได้ซึ่งรวมถึงการควบคุมการ shutdown และ load segment ได้

 นางสาวปวีณา เตชะมงคลศิริ ผู้จัดการช่องทางจัดจำหน่ายค้าปลีก ผลิตภัณฑ์ APC ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จาก ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เผยว่า “เป้าหมายของชไนเดอร์ อิเล็คทริค คือการเข้าใจความต้องการของลูกค้าและพาร์เนอร์ของเรา ดังนั้นผลิตภัณฑ์จึงถูกพัฒนา และออกแบบตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้งานในปัจจุบันจริง  พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับราคา และความคุ้มค่า เราออกแบบเครื่องสำรองไฟ ให้ตรงตามความต้องการในการใช้งานในปัจจุบันเป็นหลัก ครอบคลุมทุกเซกเม้นต์ ทั้งผู้ใช้ตามบ้าน สำนักงาน เกมส์มิ่ง เอนเตอร์เทนเมนต์ องค์กร ภาคธุรกิจ ทั้งเอสเอ็มอี เฮลธ์แคร์ ห้องไอที ดาต้าเซ็นเตอร์ โรงงาน เรียกได้ว่าครบ จบที่เดียว นอกจากนี้เราให้ความสำคัญ คือคุณภาพของแบตเตอรี่ ที่ได้มาตรฐาน ปลอดภัย และสำรองได้ตรงตามสเปก ซึ่ง Signature ของเอพีซี ที่ไม่เหมือนใคร คือความใส่ใจให้เรื่องแบตเตอรี่ เรามี Batter Connector อยู่ภายนอก (ตัวต่อขั่วแบตเตอรี่ที่ผู้ใช้ต้องเชื่อมต่อขั่วนี้เมื่อเริ่มใช้งาน ทำให้มั่นใจได้ว่า แบตเตอรี่จะใหม่ทุกเครื่อง และปลอดภัยเมื่อขนย้าย และอีกส่วนที่เราให้ความสำคัญเช่นกัน คือการให้บริการทั้งก่อน และหลังการขาย เรามี Customer Care Center ที่ใช้บริการสอบถาม ทั้งเรื่องการขายหรือเทคนิคคอล สำหรับบริการหลังการขาย เอพีซีเป็นที่แรกในเงื่อนไขการให้บริการ สำหรับ สินค้าในตระกูล Back UPS และ Easy SMV ที่เมื่อเครื่องเสียในประกัน เราเปลี่ยนเครื่องใหม่ Refurbish ให้ฟรีถึงบ้าน Pick Up Service โดยผู้ใช้งาน เพียงโทรมาแจ้งที่ Schneider Customer Care Center วันและเวลาทำการ เพียงแจ้ง serial no หรือใบกำกับภาษีทีซื้อ เอพีซีเริ่มนับประกัน จากวันที่ท่านซื้อ รับประกัน 2-3 ปี แล้วแต่รุ่น รับประกันทั้งตัวเครื่องและแบตเตอรี่ สำหรับ Smart UPS เรารับประกัน แบบ Online Service ถึงบ้านท่านเช่นกัน


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ดิจิทัลและไฟฟ้า ช่วยฟื้นฟูโลกสู่ความเป็นสีเขียวได้เร็วที่สุด

โดย ฟิลิปป์ เดอลอร์ม รองประธานกรรมการบริหาร ด้านการบริหารจัดการพลังงาน

เรากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญยิ่ง เพราะปัจจุบันสิ่งที่คนบนโลกส่วนใหญ่ล้วนเห็นชัดเจนเหมือนกันคือ โลกเรากำลังเสื่อมถอยลงซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการดำเนินกิจกรรมของมนุษย์ ซึ่งหากเราไม่รีบดำเนินการอย่างรวดเร็วในตอนนี้ เพื่อฟื้นฟูความเป็นสีเขียวให้กลับคืนมา โลกและชีวิตทั้งหลายบนโลกใบนี้ก็จะถูกทำลายลงอย่างกู่ไม่กลับด้วยอุณหภูมิที่สูงขึ้นเรื่อยๆ

แม้ว่าจะมีความคืบหน้าให้เห็นอยู่บ้าง แต่เราก็ยังห่างไกลจากแนวทางในการหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องดังกล่าวขึ้น การทำลายล้างทั้งสภาพความเป็นอยู่และชีวิตต่างๆ กำลังเกิดขึ้นด้วยเหตุการณ์ด้านสภาพอากาศที่เลวร้ายที่เกิดถี่ขึ้นเรื่อยๆ ทั้งน้ำท่วม อากาศหนาวจัด คลื่นความร้อนและพายุ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศคือภัยคุกคามครั้งใหญ่ที่สุดที่มนุษย์เคยพบเห็นมา ซึ่งหากปราศจากการดำเนินการแก้ไขอย่างทันท่วงที โลกก็จะร้อนขึ้น 4.1 – 4.8 องศาเซลเซียสภายในสิ้นศตวรรษนี้

ความเป็นจริงที่โหดร้ายคือเราไม่เหลือเวลาแล้ว เราจำเป็นจะต้องดำเนินการตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา ปีที่ผ่าน ทศวรรษที่ผ่านมา เพื่อเปลี่ยนแปลง ฉะนั้นเรากำลังเผชิญกับโอกาสที่เลือนหายไปอย่างรวดเร็วในการที่จะหลีกเลี่ยงภัยพิบัติและหยุดความเสียหาย ซึ่งเราจะต้องดำเนินการโดยเร็ว  ความหวังที่ริบหรี่คือ ท้ายที่สุดแล้วเรากำลังได้เห็นความตั้งใจที่จะรับมือและลงทุนเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในการฟื้นฟูความเป็นสีเขียวให้กลับคืนมาสู่โลก

มอบผลลัพธ์การเปลี่ยนแปลงในเวลาที่กำหนด

ด้วยเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ เราจำต้องให้ความสำคัญกับการดำเนินการและโซลูชันที่สร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ได้ ในเวลาที่สั้นที่สุด อีกทั้งสร้างศักยภาพในระบบเศรษฐกิจเพื่อฟื้นฟูและก้าวต่อไปได้ การดำเนินการที่ว่าคือ

  • กำจัดของเสียตลอดวงจรชีวิต
  • เร่งนำระบบไฟฟ้ามาใช้เนื่องจากเป็นแหล่งพลังงานที่ช่วยกำจัดก๊าซเรือนกระจก
  • ลงทุนในเทคโนโลยีดิจิทัลและทักษะต่างๆ ที่ช่วยขับเคลื่อนให้เกิดประสิทธิภาพ
  • ส่งเสริมความร่วมมือกับทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อดำเนินตามแผนฟื้นฟูหลังโควิด

การกำจัดของเสียตลอดวงจรชีวิตเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรก

การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศคือปัญหาด้านพลังงานที่สำคัญสุดเป็นอันดับหนึ่ง เพราะ พลังงานมีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลกถึง 80 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากเราพยายามที่จะเปลี่ยนโลกไปสู่การขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาด ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีที่เร็วที่สุดในการหยุดปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยการกำจัดของเสีย

มีเพียงหนึ่งในสามของพลังงานที่ผลิตได้ทั้งหมด ที่จะถูกแปลงเป็นพลังงานที่มีประโยชน์ไว้ใช้ในภาคขนส่ง อุตสาหกรรม อาคาร และอุปกรณ์ต่างๆ ส่วนที่เหลือคือพลังงานที่สูญหายไปหรือเสียไปกับกระบวนการผลิตและการส่งต่อ เมื่อพูดถึงอาหารและแฟชั่นเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเราของเสีย ขยะพลาสติก ของเสียมักจะถูกมองข้ามและถูกด้อยค่าในส่วนของแผนงานและการลงทุนเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะลดลงไปได้ครึ่งหนึ่งหากสามารถกำจัดพลังงานที่สูญหายและของเสียได้

เทคโนโลยีมีอยู่แล้ว ที่จะช่วยแก้ปัญหาท้าทายต่างๆ และเพื่อให้ก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว

การกำจัดของเสีย อย่างแรกคือเราต้องรู้ว่าทำไมจึงเกิดของเสีย เกิดที่จุดไหนและเกิดขึ้นได้อย่างไร เราสามารถวัดการใช้พลังงานได้อย่างแม่นยำด้วยเซนเซอร์ มิเตอร์ และการมอนิเตอร์  โดยสามารถนำซอฟต์แวร์มาใช้ในการออกแบบ บริหารจัดการและช่วยให้ใช้พลังงานได้อย่างอัตโนมัติ… เพื่อให้มั่นใจว่าเราจะมีแสงสว่าง ความร้อนและพลังงานในที่ๆ ต้องการและในเวลาที่ต้องการ รวมถึงประหยัดพลังงานได้ในเวลาที่ไม่ได้ใช้งาน ไม่ว่าสัดส่วนการผสมผสานพลังงานสะอาดจะเป็นอย่างไรก็ตาม ไฟฟ้าก็ยังคงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพราะเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับการกำจัดก๊าซเรือนกระจก ในขณะที่ระบบดิจิทัลจะช่วยให้เราติดตามและตรวจสอบการใช้พลังงานเพื่อกำจัดของเสีย

การใช้แนวทางแบบองค์รวมทำให้เราเห็นถึงโอกาสมหาศาลในการรับมือและช่วยไม่ให้เกิดของเสียตลอดทั่วทั้งวงจรชิวิตของอาคารต่างๆ ระบบโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงอุตสาหกรรมทั้งหลาย การออกแบบที่ฉลาดยิ่งขึ้นตั้งแต่แรกเริ่มด้วยการใช้เครื่องมือจำลองสถานการณ์ต่างๆ รวมถึงการใช้วิธีการก่อสร้างที่มีประสิทธิภาพและการจัดหาวัสดุในพื้นที่หรือวัสดุแบบที่นำกลับมาใช้ซ้ำให้มากขึ้น ดำเนินการในไซต์งานได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อีกทั้งบังคับใช้หลักเศรษฐกิจหมุนเวียนเป็นแนวทางปฏิบัติที่ใช้ได้เห็นผลในปัจจุบันและควรนำมาใช้งานอย่างครอบคลุม

ซอฟต์แวร์และพลังงานสีเขียวแบบกระจายศูนย์ช่วยสร้างประสิทธิภาพ

การปล่อยของเสียที่เป็นมลพิษจากการผลิตไฟฟ้าจากถ่านฟอสซิลและการเดินทางระยะไกลของพลังงานที่มาจากกริดจนถูกนำไปใช้นับเป็นสัดส่วนใหญ่ของพลังงานที่สูญหาย ดังนั้นพลังงานหมุนเวียนไม่ใช่แค่เป็นแหล่งพลังงานสะอาดเท่านั้น แต่การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนจะให้ประสิทธิภาพได้มากกว่า และสามารถอยู่ใกล้กับจุดที่มีการใช้งานได้มากขึ้น ช่วยลดการสูญหายของพลังงานเพราะอยู่ใกล้แหล่งใช้งาน

กริดพลังงานอัจฉริยะที่กระจายศูนย์และไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก และจะกลายเป็นหัวใจของการปฏิรูปสู่ net zero ผนวกกับการใช้ซอฟต์แวร์มาช่วยสร้างศักยภาพและทำให้มีความเสถียร ซึ่งจะทำให้มีการผลิตและใช้พลังงานในพื้นที่ได้ในราคาที่ย่อมเยามากขึ้น ประเด็นนี้เป็นเรื่องสำคัญโดยอย่างยิ่งสำหรับอาคารต่างๆ ซึ่งเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ใหญ่ที่สุด และจะกลายเป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากเราเห็นว่ามีการติดตั้งไมโครกริดที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานลมและแสงอาทิตย์มากขึ้น การนำยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EVs มาใช้ ล้วนเป็นการขับเคลื่อนไปสู่บ้านและสำนักงาน net zero ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ดังนั้นดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นโครงสร้างหลักของเศรษฐกิจดิจิทัล ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าช่วยกำจัดก๊าซเรือนกระจกในทันทีได้อย่างไร เราจำต้องลงทุนในโซลูชันที่มีอยู่แล้วเพื่อฟื้นฟูความเขียวให้กลับมาในขณะที่เรายังคงดำเนินรอยตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง

ทำไมไฟฟ้าถึงเป็นแหล่งพลังงานที่ดีที่สุดสำหรับอนาคตที่สะอาด?

ในการแข่งกับเวลา ไฟฟ้าคือแนวทางที่ให้ความคุ้มค่ามากที่สุด ปลอดภัยที่สุด และเร็วที่สุดในการกำจัดก๊าซเรือนกระจกออกจากสังคมที่เราอยู่ จากมุมมองที่นำมาปฏิบัติได้จริงของโลกที่พัฒนาแล้ว หมายความว่าการกระจายไฟฟ้านั้นมีอยู่แล้ว การนำพลังงานเชื้อเพลิงที่เป็นทางเลือกมาใช้ตามบ้านเรือน สำนักงานและพื้นที่สาธารณะต่างๆ ได้อย่างครอบคลุมนั้นต้องอาศัยเวลานานนับทศวรรษ เป็นเวลาหลายปีที่เราจะยังไม่เห็นว่ามีการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากพลังงานถ่านหินที่เรายังต้องพึ่งพาในการให้ความร้อนและป้อนให้กับประชาชน

ในขณะที่ไฟฟ้าอาจจะยังไม่ใช่คำตอบของทุกความท้าทาย (อุตสาหกรรมหนัก การเดินทางระยะไกล) แต่ก็เป็นแหล่งพลังงานที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าถูกผลิตมาอย่างสะอาด ในราคาถูก พร้อมกับการลงทุนอย่างต่อเนื่องในพลังงานหมุนเวียนอย่างพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานไฮโดรเจน

  • แสงอาทิตย์และลมที่เป็นขุมพลังของพลังงานหมุนเวียนมีราคาถูกว่าไฟฟ้าที่ได้จากพลังงานถ่านหินถึง 50 เปอร์เซ็นต์
  • การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนให้ประสิทธิภาพเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ โดยเกิดการสูญหายระหว่างส่งผ่านแค่เพียง 5-10 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับการสูญหาย/สูญเสียของพลังงานที่ผลิตจากถ่านหินที่60 เปอร์เซ็นต์ ในขณะเดียวกันการผลิตแหล่งพลังงานใหม่ที่มีศักยภาพอย่างพลังงานไฮโดรเจนสีเขียวก็ทำให้เสียประสิทธิภาพอย่างมหาศาลถึง 70 เปอร์เซ็นต์ทั้งขาไปและกลับ

เทคโนโลยีที่ให้ความยั่งยืนทางดิจิทัลและไฟฟ้า มอบสิ่งสำคัญได้อย่างครบถ้วนทั้งประสิทธิภาพ ความปลอดภัย ผลลัพธ์ที่วัดได้ รวมถึงความเร็วในการนำโซลูชันดังกล่าวมาใช้งานและขยายขอบเขตได้อย่างครอบคลุม สิ่งสำคัญที่สุดคือ ช่วยให้เรานำพาองค์กรธุรกิจน้อยใหญ่ รวมถึงผู้บริโภคไปสู่การเดินทางที่ช่วยให้คนเหล่านี้มีทางเลือกมากขึ้นและควบคุมในเรื่องของความยั่งยืนในครัวเรือน สำนักงานและเมืองทั้งหมดได้

ปัจจุบัน ยังมีเรื่องที่พูดกันอยู่เยอะเกี่ยวกับความต้องการที่จะหา “โซลูชันที่ตอบโจทย์ได้ทุกอย่าง” เพื่อมาแก้โจทย์ท้าทายเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ และเปลี่ยนความเสียหายที่เราเผชิญกันอยู่ให้กลับสู่สภาพที่ดีดังเดิม ในขณะที่ผู้คนตั้งความหวังไว้ที่ไทม์แมชชีน ผมเชื่อว่าโซลูชันที่ตอบโจทย์ได้ทุกสิ่งจริงๆ แล้วเป็นเรื่องที่เสียเวลาและควรเลิกคิด ไฟฟ้าซึ่งขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาดสามารถตอบโจทย์การใช้งานส่วนใหญ่ได้ นั่นคือสิ่งที่เราควรให้ความสำคัญกันในตอนนี้

ความร่วมมือกับทั้งภาครัฐและภาคเอกชนคือใบเบิกทาง

หน่วยงานรัฐบาลทั่วโลกต้องมั่นใจว่าได้ทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อช่วยองค์กรธุรกิจและผู้บริโภคเปลี่ยนไปใช้ทางเลือกสีเขียว และเมื่อหน่วยงานเหล่านี้ดำเนินการเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจหลังวิกฤติโควิด เราก็จะมีโอกาสที่นานทีจะเกิดสักครั้งในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศไปพร้อมกับการสร้างศักยภาพในฟื้นฟูความเป็นสีเขียวให้กลับคืนมาได้ อย่างไรก็ตาม เราต้องดำเนินการอย่างรับผิดชอบด้วยความรวดเร็ว ลงทุนในโซลูชันด้านสิ่งแวดล้อมที่จะช่วยปรับปรุงวิถีการใช้ชีวิตได้ดีขึ้น ช่วยให้ทุกคนเข้าถึงพลังงานได้และยกระดับไปสู่การมีบทบาทในสนามเมื่อมีโอกาส

การพิจารณาถือเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับบริษัทที่มีเงินทุนไม่มากในการลงทุนแหล่งพลังงานหมุนเวียน ตัวอย่างเช่น เจ้าของอาคารควรมีบทบาทในการรับผิดชอบเรื่องการสร้างประสิทธิภาพให้กับผู้เช่า เรื่องนี้จะช่วยขับเคลื่อนการดำเนินการและประสิทธิภาพสำหรับทั้งอาคารที่สร้างใหม่และที่ปรับปรุงใหม่ ซึ่งเป็นการแข่งขันด้านคาร์บอนที่ผู้เป็นเจ้าของอาคารจะต้องมองหากันมากยิ่งขึ้นเพื่อทำให้บ้านหรือที่ทำงานมีความดึงดูดใจมากขึ้น

การนำดิจิทัลมาช่วยสร้างศักยภาพ จะทำให้องค์กรธุรกิจสามารถเริ่มดำเนินการตอบสนองหนึ่งในแนวคิด ESG ที่ท้าทายที่สุด นั่งคือการติดตามและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมที่เป็น Scope 3 เช่นการขนส่งและการกระจายสินค้า  บรรดาองค์กรอย่าง Walmart ได้สร้างพลังงานหมุนเวียนที่ช่วยให้ซัพพลายเออร์เข้าถึงได้มากขึ้น ช่วยเร่งการกำจัดก๊าซเรือนกระจกในระบบนิเวศได้ครอบคลุมมากขึ้น ความเคลื่อนไหวนี้คือส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นพยายามใน Project Gigaton ของผู้ประกอบการค้าปลีกเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในซัพพลายเชนให้ได้หนึ่งพันล้านเมตริกตันภายในปี 2030

เรื่องทักษะต้องไม่เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูความเป็นสีเขียว

มีการพูดถึงการฟื้นฟูความเป็นสีเขียวและการสร้างงานกันอยู่มาก จากการใช้จ่ายเงินทั้งหมดในการกระตุ้นเศรษฐกิจรวม 14.9 ล้านล้านเหรียญ ที่ได้มีการประกาศทั่วโลกนับตั้งแต่เริ่มเกิดการแพร่ระบาด จวบจนปัจจุบันมีการใช้เงินไป 1.8 ล้านล้านเหรียญเพื่อบรรเทาผลกระทบของภาคส่วนที่ปล่อยมลพิษ เช่นภาคพลังงาน การขนส่ง อุตสาหกรรม กสิกรรมและของเสีย

หากเราต้องตอบโจทย์เป้าหมายด้านสภาพอากาศ การเข้าถึงทักษะที่จำเป็นต่อการดำเนินการและบริหารจัดการในการปฏิรูปไปสู่เศรษฐกิจแบบ net zero ก็จะกลายเป็นปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญ การตระหนักว่าทักษะด้านใดที่จำเป็นคือกุญแจสำคัญ

หากเรายอมรับว่าเรื่องของไฟฟ้าและดิจิทัล คือแนวทางที่เร็วที่สุดในการก้าวสู่ net-zero ที่ก่อให้เกิดการหยุดชะงักน้อยที่สุด ฉะนั้นสิ่งที่จะตามมาก็คือเรื่องเหล่านี้จะช่วยสร้างงานได้ เพราะต้องอาศัยช่างไฟ ผู้ประกอบโรงตู้ คนออกแบบ วิศวกร และผู้พัฒนาซอฟต์แวร์มากขึ้น รวมถึงผู้ที่มีบทบาทด้านไฮเทคจะเป็นที่ต้องการ เพื่อช่วยในการนำเทคโนโลยีระบบดิจิทัลและไฟฟ้ามาใช้งานในวงกว้างได้อย่างครอบคลุม

การปรับปรุงอาคาร บ้าน และโรงงานใหม่ จะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพและเร็วขึ้นถึง 10 เท่า พร้อมทั้งเป็นการปฏิวัติวิถีทางในการใช้ชีวิต ผลิตสินค้า และการเดินทาง ทั้งนี้ IEA ได้ประเมินว่าจะมีการสร้างงานใหม่ในทั่วโลกถึง 9 ล้านตำแหน่งงานในปีที่จะถึงนี้หากบรรดาประเทศต่างๆ เดินรอยตามแนวทางการฟื้นฟูความเป็นสีเขียว ซึ่งโดยธรรมชาติ งานเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นงานในพื้นที่ ไม่สามารถจ้างคนจากนอกประเทศมาทำได้ เพราะจะต้องดูเกี่ยวกับบริบทของการให้บริการในพื้นที่ รวมถึงองค์ความรู้และความคุ้นเคยกับลูกค้า

แม้ว่าไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานหมุนเวียนและใช้ศักยภาพของเทคโนโลยีดิจิทัล จะไม่สามารถแก้ปัญหาท้าทายด้านสภาพอากาศได้ทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็สามารถพาเราไปยังจุดหมายได้อย่างมีนัยสำคัญ ลองมุ่งเน้นความสำคัญที่เทคโนโลยีและแหล่งพลังงานที่เรารู้ว่าจะให้ผลลัพธ์ที่ดีได้ในตอนนี้ ซึ่งมีพร้อมอยู่แล้วและนำมาใช้ได้อย่างปลอดภัย เราไม่สามารถนั่งรอให้เกิดปาฏิหารย์ในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศได้

ทุกคนมีบทบาทที่ต้องดำเนิน ทั้งนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร นวัตกร นักการเมือง เจ้าของธุรกิจ พนักงาน พ่อและแม่ที่ต้องการให้โลกเป็นที่อยู่อาศัยที่ดียิ่งขึ้นสำหรับลูกๆ

                                                                                          # # #

เกี่ยวกับชไนเดอร์ อิเล็คทริค

เป้าหมายของชไนเดอร์ อิเล็คทริค คือการช่วยให้ทุกคนใช้พลังงานและทรัพยากรได้เกิดประโยชน์สูงสุด เชื่อมโยงความก้าวหน้าและความยั่งยืนเพื่อประโยชน์ของทุกคน เราเรียกสิ่งนี้ว่า Life Is On

ภารกิจของเราคือการเป็นพันธมิตรด้านดิจิทัลกับคุณ เพื่อสร้างประสิทธิภาพและความยั่งยืน

เราขับเคลื่อนการปฏิรูปสู่ดิจิทัล ด้วยการผสานรวมเทคโนโลยีชั้นนำของโลกด้านพลังงานและกระบวนการจัดการ เข้ากับผลิตภัณฑ์ตั้งแต่จุดเชื่อมต่อปลายทางไปยังคลาวด์ ระบบควบคุม รวมถึงซอฟต์แวร์และการบริการครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตการทำงานทั้งหมด เพื่อสร้างศักยภาพในการบริหารจัดการองค์กรแบบบูรณาการ ทั้งสำหรับบ้าน อาคาร ดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรม

เราคือบริษัทระดับโลกที่มีการดำเนินงานในระดับท้องถิ่นมากที่สุด เราสนับสนุนมาตรฐานระบบเปิดและระบบนิเวศของคู่ค้าที่มีความมุ่งมั่นแรงกล้าในการทำตามวัตถุประสงค์อย่างมีเป้าหมายร่วมกัน และคุณค่าในการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวพร้อมขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยกัน


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัว ตู้เสริมสำหรับโหลดเซ็นเตอร์จากชไนเดอร์ อิเล็คทริค รองรับชีวิตอนาคต

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัว  Extension Box หรือตู้เสริมสำหรับโหลดเซ็นเตอร์ และตู้ไฟ เพื่อต่อขยายอุปกรณ์ เบรกเกอร์ และกันดูด รวมไปถึงอุปกรณ์รางดิน (Din rail) เพื่อการรองรับการเพิ่มเติมอุปกรณ์ไฟฟ้าไฮเทคในบ้านที่ต้องการความปลอดภัยในระดับสูงสุด เมื่อมีการปรับแต่งบ้านหรือเพิ่มเติมเทคโนโลยียุคใหม่ในบ้าน เช่น อีวีชาร์จเจอร์ สำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะต้องติดตั้ง อุปกรณ์กันไฟดูด Type B EV หรือ หากมีการติดตั้งเครื่องน้ำอุ่น 3 เฟส ต้องติดตั้งกันดูด 3 เฟสด้วย ซึ่งเป็นกฎข้อบังคับของทางการไฟฟ้า เพื่อความปลอดภัยของประชาชน หรือแม้แต่การแต่งบ้านจากโครงการบ้านจัดสรรที่ทางโครงการไม่ได้เผื่อพื้นที่ในตู้โหลดเซ็นเตอร์ หรือตู้ไฟ สำหรับเบรกเกอร์ และกันดูดไว้สำหรับเพื่อติดตั้งอุปกรณ์อื่นๆ ในอนาคต หรือการเพิ่มความปลอดภัยด้วยอุปกรณ์กันไฟกระชาก ป้องกันแรงดันส่วนเกินจากฟ้าผ่า (Surge Protection) ฯลฯ Extension box ยังช่วยให้สามารถติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันต่างๆ ได้ง่ายขึ้นในอนาคต รวมไปถึงการติดตั้งพาวเวอร์มิเตอร์ ที่ช่วยให้เจ้าของบ้านสามารถเช็คสถานะการเปิด/ปิดไฟ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ที่ไหนก็ได้ผ่านสมาร์ทโฟน ซึ่ง Extension box นับเป็นตู้เสริมสำหรับการรองรับอนาคต 4.0 เลยทีเดียว

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เล็งเห็นความต้องการของผู้พักอาศัยในแบบต่างๆ จึงคิดค้นและพัฒนา Extension Box เป็นตู้เสริมในการขยายความสามารถของตู้โหลดเซ็นเตอร์และตู้คอนซูมเมอร์ยูนิต หรือที่เราเรียกติดปากว่าตู้ไฟ เพื่อความปลอดภัยที่มากขึ้นให้แก่สมาชิกภายในบ้าน ด้วยดีไซน์ของตู้เสริมที่มีความแข็งแกร่ง ทนทาน ปลอดภัย มีความกลมกลืนกับตู้โหลดเซ็นเตอร์เดิมได้อย่างลงตัว ให้ความสบายตามากว่าการเลือกใช้ตู้เสริมทั่วไป ตัวตู้ประกอบมาจากโรงงาน ให้ความมั่นใจด้วยมาตรฐานยุโรปจากชไนเดอร์ อิเล็คทริค รองรับระบบทุกความปลอดภัยได้อย่างสมบูรณ์

ในปัจจุบัน Extension Box มีให้เลือกทั้งแบบ 1 เฟสและ 3 เฟส ทั้งแบบเสริมต่อจากตู้โหลดเซ็นเตอร์ และตู้ไฟ ช่วยประหยัดต้นทุนในการซื้อตู้โหลดเซ็นเตอร์ หรือตู้ไฟเพิ่มอีก 1 ตัว ซึ่งมีราคาสูงเกินความจำเป็นเมื่อไม่ได้ใช้งาน และประหยัดพื้นที่ใช้สอยอีกด้วย


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

AvatarOn A จากชไนเดอร์ อิเล็คทริค คว้ารางวัลแบรนด์ยอดเยี่ยมแห่งปี

ผลิตภัณฑ์ AvatarOn A จากชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย คว้ารางวัลแบรนด์ยอดเยี่ยมแห่งปี ในสาขา Best Home Solution Influencer Campaign จากงาน Thailand Influencer Awards 2021 ที่จัดขึ้นโดยบริษัท เทลสกอร์ จำกัด (Tellscore) โดยการจับมือกับ Influencer ในการพลิกโฉมวงการสวิตช์ไฟ สำหรับบ้าน และที่พักอาศัยยุคใหม่ ด้วยสวิตช์ เต้ารับ AvatarOn A ที่ไร้กรอบ ตอบโจทย์ทุกดีไซน์ อย่างแท้จริง ด้วยนวัตกรรมของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่ออกแบบให้ AvatarOn A กลายเป็นสวิตช์ไฟ ที่ให้ผู้บริโภคมีอิสระในการดีไซน์สไตล์การใช้งานเองได้ในแบบฉบับของตน ทำให้กวาดกระแสความนิยมในโลกโซเชี่ยลไปได้อย่างท่วมท้น

นายกุศล กุศลส่ง รองประธานกลุ่มธุรกิจ Home and Distributions ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย  กล่าวว่า รางวัลแบรนด์ยอดเยี่ยมแห่งปี ในสาขา Best Home Solution Influencer Campaign นับเป็นความภาคภูมิใจของเราในการนำเสนอนวัตกรรมที่ฉีกกรอบสวิตช์ไฟและเต้ารับแบบเดิมๆ แต่สิ่งที่เราภูมิใจยิ่งกว่าการได้รับรางวัลนี้คือ การทำให้ผู้บริโภคสามารถมีทางเลือกในการออกแบบสวิตช์ไฟ และเต้ารับ ได้ด้วยตัวเอง ตามสไตล์ที่ตัวเองชื่นชอบ ด้วยความง่ายแบบ plug and play ในราคาที่จับต้องได้ หาซื้อง่ายได้ตามร้านไฟฟ้าทั่วประเทศและช่องทางออนไลน์ทั้ง Shopee และ Lazada ซึ่งมีการจัดแคมเปญและโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในแบบของตนอีกเช่นกัน

เกี่ยวกับชไนเดอร์ อิเล็คทริค

เป้าหมายของชไนเดอร์ อิเล็คทริค คือการช่วยให้ทุกคนใช้พลังงานและทรัพยากรได้เกิดประโยชน์สูงสุด เชื่อมโยงความก้าวหน้าและความยั่งยืนเพื่อประโยชน์ของทุกคน เราเรียกสิ่งนี้ว่า Life Is On

ภารกิจของเราคือการเป็นพันธมิตรด้านดิจิทัลกับคุณ เพื่อสร้างประสิทธิภาพและความยั่งยืน

เราขับเคลื่อนการปฏิรูปสู่ดิจิทัล ด้วยการผสานรวมเทคโนโลยีชั้นนำของโลกด้านพลังงานและกระบวนการจัดการ เข้ากับผลิตภัณฑ์ตั้งแต่จุดเชื่อมต่อปลายทางไปยังคลาวด์ ระบบควบคุม รวมถึงซอฟต์แวร์และการบริการครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตการทำงานทั้งหมด เพื่อสร้างศักยภาพในการบริหารจัดการองค์กรแบบบูรณาการ ทั้งสำหรับบ้าน อาคาร ดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรม

เราคือบริษัทระดับโลกที่มีการดำเนินงานในระดับท้องถิ่นมากที่สุด เราสนับสนุนมาตรฐานระบบเปิดและระบบนิเวศของคู่ค้าที่มีความมุ่งมั่นแรงกล้าในการทำตามวัตถุประสงค์อย่างมีเป้าหมายร่วมกัน และคุณค่าในการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวพร้อมขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยกัน


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ทำความเข้าใจกับสมาร์ทกริด ในสวิตช์เกียร์อัจฉริยะ

สมาร์ทกริด คือ ระบบที่อำนวยความสะดวกให้กับทั้งซัพพลายเออร์และผู้บริโภคเพื่อให้ได้ข้อมูลด้านพลังงานแบบเรียลไทม์อย่างที่ต้องการ และใช้ข้อมูลดังกล่าวในการจัดหา จัดเก็บ ใช้งาน รวมถึงในการทำธุรกรรมด้านพลังงานไฟฟ้าในปริมาณที่กำหนดภายในเวลาที่เหมาะสม อุตสาหกรรมไฟฟ้าได้รับการพิจารณาว่าเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีความเป็นอนุรักษ์นิยมมากที่สุดในเรื่องของการต่อยอดเทคโนโลยีเช่นอุปกรณ์สวิตช์เกียร์ไฟฟ้าแรงดันสูงและแรงดันปานกลาง

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น? เดิมทีนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีจะปรากฏขึ้นในทุกทศวรรษหรือราวๆ นั้น แต่สวิตช์เกียร์สามารถอยู่ได้ยาวนานถึง 40 ปี ซึ่งแสดงถึงรูปแบบการทำงานของสถาปัตยกรรมสำหรับเครือข่ายการส่งและกระจายพลังงาน (T&D) จากส่วนกลางและเป็นรูปแบบดั้งเดิม นอกจากนี้ ผู้ประกอบการ T&D ต่างต้องการความเสถียรซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ประกอบการเหล่านี้เกิดความลังเลในเวลาที่ต้องการใช้เทคโนโลยีใหม่ ซึ่งการซ่อมบำรุงอุปกรณ์ดังกล่าวที่มีอายุยาวนานจะง่ายยิ่งขึ้นสำหรับผู้ให้บริการหากเทคโนโลยีนั้นมีการเปลี่ยนแปลงแค่เพียงเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม การจะเข้าถึงประโยชน์ของศักยภาพด้านสมาร์ทกริดในปัจจุบัน อุตสาหกรรมด้านไฟฟ้าต้องทำความเข้าใจเรื่องสวิตช์เกียร์ใหม่ เนื่องจากสวิตช์เกียร์ในยุคของสมาร์ทกริดต้องมี “ความฉลาดทางดิจิทัล” มากขึ้น ต้องยืดหยุ่น กะทัดรัด และสามารถทนต่อสภาพแวดล้อมการใช้งานที่สมบุกสมบันได้

สมาร์ทกริด มีวัตถุประสงค์หลัก 2 ประการ

  • สร้างสมดุลที่เหมาะสมระหว่างอุปสงค์และอุปทานด้านพลังงาน
  • ผสานรวมพลังงานที่หมุนเวียนและกระจายศูนย์มากขึ้น

การตอบโจทย์วัตถุประสงค์เหล่านี้หมายถึงการนำเทคโนโลยีระบบดิจิทัลมาใช้เพื่อช่วยให้เกิดการสื่อสารแบบสองทาง ระหว่างสาธารณูปโภคและลูกค้าที่ใช้ และระหว่างอุปกรณ์ด้วยกันที่อยู่บนเครือข่ายการส่งและกระจายพลังงาน รวมถึงศูนย์การดำเนินงานของเครือข่าย  อย่างไรก็ตาม การสนับสนุนด้านไฟฟ้าส่วนใหญ่ในปัจจุบัน รวมถึงสวิตช์เกียร์ อนุญาตให้มีการสื่อสารอย่างเรียบง่ายแค่ทางเดียวสำหรับการผลิตพลังงานจากส่วนกลาง

ในขณะที่หลักการของสวิตช์เกียร์ยังคงใช้พื้นฐานแบบเดิม มีการพัฒนาเทคโนโลยีต่อไปรวมถึงแนวทางการนำมาใช้งานสำหรับสมาร์ทกริดได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ คุณลักษณะพื้นฐานของเทคโนโลยีสมาร์ทกริดมีดังต่อไปนี้

  • สมาร์ทกริดจะทำงานร่วมกับเซอร์กิตเบรกเกอร์ในเครือข่ายมากขึ้น (แทนที่สวิตช์แบบแมนนวล)
  • มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อมอนิเตอร์และควบคุมการทำงานจากระยะไกลได้มากขึ้น
  • เซ็นเซอร์และดิจิทัลมิเตอร์ที่ใช้พลังงานต่ำ ช่วยให้มอนิเตอร์และควบคุมได้มากขึ้น
  • สถาปัตยกรรมแบบโมดูลาร์คือสิ่งจำเป็น

เมื่อมีสมาร์ทกริดเกิดขึ้น ความฉลาดทางดิจิทัลจะช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับสาธารณูปโภคในการมองเห็น วัดผลและควบคุมฟังก์ชันการทำงานในเครือข่ายได้ การควบคุมผ่านระยะไกลที่ต้องอาศัยความฉลาดทางดิจิทัลช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการบำรุงรักษาและช่วยหลีกเลี่ยงการใช้บริการภาคสนามเข้ามาดูแลซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง

การที่มีแหล่งพลังงานกระจายศูนย์และพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นเนื่องจากมีสมาร์ทกริดเข้ามา ทำให้ทั้งการมอนิเตอร์และการวัดกลายเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน

มีการคาดการณ์ว่าตลาดสวิตช์เกียร์แรงดันปานกลาง จะสร้างโอกาสสำหรับผู้เล่นรายใหม่ได้อย่างแน่นอนภายในไม่กี่ปีข้างหน้า เนื่องจากความต้องการระบบพลังงานไฟฟ้าเติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศกำลังพัฒนา ผู้เล่นที่มีชื่อเสียงโดดเด่นเป็นที่รู้จักจึงมีแนวโน้มว่าจะรักษาจุดแข็งที่โดดเด่นนี้ได้ในตลาดสวิตช์เกียร์แรงดันปานกลางระดับสากลภายในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แบรนด์อย่าง #SchneiderElectric จึงยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่งจากความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการพลังงาน การปกป้อง และระบบออโตเมชันด้าน IoT #LifeIsOn

                                                                                          # # #

เกี่ยวกับชไนเดอร์ อิเล็คทริค

เป้าหมายของชไนเดอร์ อิเล็คทริค คือการช่วยให้ทุกคนใช้พลังงานและทรัพยากรได้เกิดประโยชน์สูงสุด เชื่อมโยงความก้าวหน้าและความยั่งยืนเพื่อประโยชน์ของทุกคน เราเรียกสิ่งนี้ว่า Life Is On

ภารกิจของเราคือการเป็นพันธมิตรด้านดิจิทัลกับคุณ เพื่อสร้างประสิทธิภาพและความยั่งยืน

เราขับเคลื่อนการปฏิรูปสู่ดิจิทัล ด้วยการผสานรวมเทคโนโลยีชั้นนำของโลกด้านพลังงานและกระบวนการจัดการ เข้ากับผลิตภัณฑ์ตั้งแต่จุดเชื่อมต่อปลายทางไปยังคลาวด์ ระบบควบคุม รวมถึงซอฟต์แวร์และการบริการครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตการทำงานทั้งหมด เพื่อสร้างศักยภาพในการบริหารจัดการองค์กรแบบบูรณาการ ทั้งสำหรับบ้าน อาคาร ดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรม

เราคือบริษัทระดับโลกที่มีการดำเนินงานในระดับท้องถิ่นมากที่สุด เราสนับสนุนมาตรฐานระบบเปิดและระบบนิเวศของคู่ค้าที่มีความมุ่งมั่นแรงกล้าในการทำตามวัตถุประสงค์อย่างมีเป้าหมายร่วมกัน และคุณค่าในการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวพร้อมขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยกัน


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ปรับโฉมผลิตภัณฑ์กลุ่มเบรกเกอร์ อัดฟีเจอร์ไฮเทค รับโรงงาน อาคารแห่งอนาคต

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ด้านการจัดการพลังงานและระบบออโตเมชั่น ปรับโฉมผลิตภัณฑ์ใหม่ พร้อมฟีเจอร์ IoT ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการปฏิรูปสู่ดิจัล ในกลุ่มเบรกเกอร์ สตาร์ทมอเตอร์ ลีเรย์ พร้อมแนะนำ Thermal Sensor แบบ IoT ใหม่ “เล็กเหลือเชื่อ” ทั้งหมดพกความล้ำหน้าในแบบ 4.0 ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง แต่ให้ความเรียบง่ายในการใช้งาน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ความปลอดภัย ลดความซับซ้อนในการดูแลรักษา

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ปรับโฉม TeSys สู่ Tesys Deca Series  3 รุ่น ด้วยกัน หรือเรียกว่า TeSys D ได้แก่ 1.TeSys Deca Motor Circuit Breakers 2. TeSys Deca Contactors  3. TeSys Deca Overload Relays ให้ความโดดเด่นเรื่องความแข็งแรงทนทาน โทนสีเทาดำทำจากวัสดุรักษ์โลกคุณภาพเยี่ยม ใช้ในอุณหภูมิสูงถึง 60 องศา รองรับการทำงานหนักได้ถึง 3,600 ครั้ง/ชม. โดยไม่มีการลดทอนสมรรถนะ ทุกรุ่นมาพร้อม QR code แสดงวิธีการใช้งาน มาพร้อมมาตรฐานระดับโลกอาทิ  มาตรฐาน NEMA ซึ่งเป็นที่ยอมรับในตลาดอเมริกา และ IEC 60335-1 เป็นมาตรฐานสำหรับผลิตภัณฑ์สำหรับครัวเรือนของยุโรป อาทิ เตาอบขนมปัง เครื่องซักผ้า เครื่องล้างรถ ฯลฯ ช่วยส่งเสริมการส่งออกไทยในระดับที่สากลยอมรับ นอกจากนี้ยังมีเพิ่มหัวน็อตอัจฉริยะสามารถใช้ได้กับทุกไขควง รวมไปถึงการเข้าสายแบบ Everlink เอกลักษณ์เฉพาะของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่ให้ความแข็งแรงทนทาน นอกจากนี้ยังรองรับการขยายความสามารถให้เข้ากับระบบออโตเมชั่น หรือ PLC ได้ด้วยชุด Auxiliary contact สำหรับ 1 mA ช่วยเสริมความสามารถในงานอื่นๆ เช่น การสร้างลิฟต์ เครื่องยกบนระบบเครน อุตสาหกรรมทอผ้า เส้นใย อุตสาหกรรมโลหะ หรืองานในสภาพแวดล้อมที่ต้องการความสมบุกสมบัน นับว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์ TeSys ซีรีย์ ใหม่ ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ช่วยต่อยอดความต้องการทางอุตสาหกรรมไปสู่การผลิตสินค้าในครัวเรือน และยังเพิ่มคุณค่าในแบบดิจิทัลได้อีกด้วย ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ นอกเหนือจากความสามารถด้านการเชื่อมต่อทั่วไป

TeSys ยังมีการปรับโฉม TeSys F เป็น TeSys Giga หรือ TeSys G แบบ เฟรม ประกอบด้วย TeSys Giga Contactors ขนาด 115-800 A ใช้งานร่วมกับ TeSys Giga Overload Relays ขนาด 28-630 A ได้ใน 1 เดียว เล็กกว่าเดิมถึง 35 เปอร์เซ็นต์ประหยัดพื้นที่ในการติดตั้ง แต่สามารถรองรับงานมอเตอร์ขนาดใหญ่ เหมาะสำหรับงานอุตสาหกรรมหนักที่ต้องใช้มอเตอร์ขนาดใหญ่ เช่น งานบำบัดน้ำเสีย โรงปูน ทางเดินรถไฟฟ้า กังหันผลิตพลังงานจากลม ออยล์แอนด์แก๊ส ลิฟต์ เรือบรรทุกสินค้า โรงงานกระดาษ รวมไปถึงระบบระบายอากาศในอาคารขนาดใหญ่ ฯลฯ มาพร้อมอิเล็คทรอนิกส์ยูนิเวอร์ซอลคอยล์ เป็น AC และDC อยู่ในคอยล์เดียวกัน ขณะที่ TeSys Giga Overload Relays ขนาด 28-630 A มีฟังก์ชั่นแอลอีดีแจ้งเตือนสถานะ ช่วยให้คาดการณ์แนวโน้มการซ่อมบำรุงได้ง่าย สามารถประกอบร่างต่อกันได้เลย โดยเด่นด้วยการผสานฟังก์ชั่นในการป้องกัน อาทิ ป้องกันการลัดวงจรลงดิน (ground fault) ป้องกันการไม่สมดุลของกระแสไฟ  สามารถเลือกเปิด/ปิด รีเซ็ตด้วยตัวเอง หรืออัตโนมัติก็ได้ พร้อมทั้งรองรับการเชื่อมต่อกับ PLC เพื่อใช้ระบบออโตเมชั่นได้ใน 1 เดียว

ComPacT NSX กับ ComPacT NSXm ใหม่ ได้แก่ ComPacT NSXm สำหรับกระแส 16-160 A และComPacT NSX สำหรับค่ากระแส เริ่มที่ 100-630 A ซึ่งเป็นเบรกเกอร์สำหรับอาคาร โรงงาน มาพร้อมความล้ำหน้าด้วยการเชื่อมต่อแบบไร้สาย เหมาะสำหรับ ธุรกิจ โรงตู้ อาคารสำนักงานขนาดใหญ่ ยุค 4.0 ที่ต้องการปฏิรูปสู่ดิจิทัล เสริมแกร่งให้ผู้ประกอบการในการเพิ่มความเป็นดิจิทัลให้กับลูกค้า ด้วยนวัตกรรมแบบ IoT ในการมอนิเตอร์ เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น สามารถตรวจสอบสถานะได้ผ่านอุปกรณ์ต่างๆ เช่น สมาร์ทโฟน แทปเล็ต คอมพิวเตอร์  และสามารถแจ้งจุดที่เสียหายให้ผู้ดูแลที่อยู่ใกล้เคียงสามารถแก้ปัญหาได้ในทันที

ComPacT ซีรีย์ ยังได้รับการปรับโฉมใหม่ พร้อมคว้ารางวัล iF Design Award ซึ่งเป็นรางวัลระดับโลกอีกด้วย นับเป็นจุดแข็งในการออกแบบและคิดค้นนวัตกรรม เบรกเกอร์เพื่อความปลอดภัยที่มีความโดดเด่นและได้รับการยอมรับจากผู้เชี่ยวชาญในระดับโลก ที่สำคัญ ComPacT ใหม่นี้ ช่วยลดความซับซ้อนและขั้นตอนในการบำรุงรักษา และการติดตั้ง มาพร้อมอุปกรณ์เสริมแบบโมดูลาร์แบบ “plug and play” ทำให้ ComPacT สามารถขยายขีดความสามารถด้าน IoT และติดตั้งได้ง่าย โดยไม่ต้องวางระบบใหม่ เรียกได้ว่า เป็นผลิตภัณฑ์ด้านความปลอดภัยที่พร้อมสำหรับการปฏิรูปสู่ดิจิทัลอย่างแท้จริง

นอกจากนี้ทั้ง TeSys D และ TeSys G และ ComPacT โฉมใหม่ ผลิตจากวัสดุรักษ์โลกด้วยนวัตกรรมเฉพาะของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ให้ความแข็งแรงทนทานสูง พร้อมได้รับมาตรฐานกรีนพรีเมี่ยมระดับโลกอีกด้วย

Thermal Sensor นวัตกรรมการตรวจจับอุณหภูมิของตู้ไฟฟ้าแบบฉบับ 4.0 ให้ความสามารถในการแจ้งเตือนอุณหภูมิในตู้มีความร้อนขึ้นผิดปกติ ซึ่งอาจนำพามาซึ่งปัญหาใหญ่ในอนาคตได้ ด้วยรูปลักษณ์ที่เล็กกะทัดรัด ประมาณเหรียญ 10 บาท พร้อมแม่เหล็กในตัว ทำให้สามารถเลือกติดตั้งได้ง่ายดายตามจุดเสี่ยงต่างๆ เพื่อป้องกันการเกิดความร้อนที่มากเกินไป Thermal Sensor เป็นอีกนวัตกรรมด้านดิจิทัลที่เล็ก แต่ป้องกันอันตรายที่ยิ่งใหญ่ได้อย่างลงตัว

WATSN – อุปกรณ์สวิตซ์ที่ใช้เลือกสลับแหล่งจ่ายไฟฟ้าแบบอัตโนมัติ ใช้งานร่วมกับแหล่งจ่ายไฟสำรอง ที่มีขนาดกระแสตั้งแต่ 63A ไปจนถึง 630A และสามารถใช้งานในความถี่ทั้ง 50 และ 60Hz เหมาะสำหรับ อาคาร สำนักงาน โรงงาน ห้างสรรพสินค้า ทั้ง ขนาดเล็กและขนาดกลาง ที่ต้องการความต่อเนื่องของระบบไฟฟ้าแม้แหล่งจ่ายไฟหลักจะดับ ไฟเกิน หรือไฟตก

WATSN ถูกออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Compact but Complete’ โดยได้รับรางวัลการการันตีโดย Red Dot Design Award ซึ่งเป็นองค์กรรับดับโลกด้านการออกแบบของอุปกรณ์สำหรับโรงงานโดยเฉพาะ จึงมั่นใจได้ว่าอุปกรณ์สวิตซ์ที่ใช้เลือกสลับ แหล่งจ่ายไฟฟ้าแบบอัตโนมัติ WATSN สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยความปลอดภัยสูงสุด ผสมผสานด้วยประสิทธิภาพที่โดดเด่นและคุณภาพระดับสูง ทำให้สามารถใช้งานได้ในสภาพแวดล้อมที่หลากหลายและยังมีอุปกรณ์เสริมให้ลูกค้าได้เลือกใช้ตามความต้องการและความจำเป็น

นวัตกรรมของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ไม่ว่าจะเป็น Tesys Deca Series  และ Tesys Giga Series รวมถึง ComPacT ใหม่ รวมไปถึง Thermal Sensor และ WATSN ทำงานร่วมกันได้ภายใต้ EcoStruxure ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค เพื่อเพิ่มความสามารถด้านดิจิทัลในแบบ 360 สำหรับอาคาร โรงงาน และอุตสาหกรรมแห่งยุค 4.0

                                                                        # # #

เกี่ยวกับชไนเดอร์ อิเล็คทริค

เป้าหมายของชไนเดอร์ อิเล็คทริค คือการช่วยให้ทุกคนใช้พลังงานและทรัพยากรได้เกิดประโยชน์สูงสุด เชื่อมโยงความก้าวหน้าและความยั่งยืนเพื่อประโยชน์ของทุกคน เราเรียกสิ่งนี้ว่า Life Is On

ภารกิจของเราคือการเป็นพันธมิตรด้านดิจิทัลกับคุณ เพื่อสร้างประสิทธิภาพและความยั่งยืน

เราขับเคลื่อนการปฏิรูปสู่ดิจิทัล ด้วยการผสานรวมเทคโนโลยีชั้นนำของโลกด้านพลังงานและกระบวนการจัดการ เข้ากับผลิตภัณฑ์ตั้งแต่จุดเชื่อมต่อปลายทางไปยังคลาวด์ ระบบควบคุม รวมถึงซอฟต์แวร์และการบริการครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตการทำงานทั้งหมด เพื่อสร้างศักยภาพในการบริหารจัดการองค์กรแบบบูรณาการ ทั้งสำหรับบ้าน อาคาร ดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรม

เราคือบริษัทระดับโลกที่มีการดำเนินงานในระดับท้องถิ่นมากที่สุด เราสนับสนุนมาตรฐานระบบเปิดและระบบนิเวศของคู่ค้าที่มีความมุ่งมั่นแรงกล้าในการทำตามวัตถุประสงค์อย่างมีเป้าหมายร่วมกัน และคุณค่าในการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวพร้อมขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยกัน


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัว อีโคสรัคเจอร์ ไมโคร ดาต้าเซ็นเตอร์ มาตรฐาน IP และ NEMA สำหรับสภาพแวดล้อมการใช้งานที่ทนทานภายในอาคาร

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นด้านการจัดการพลังงาน และระบบออโตเมชั่น ประกาศขยายขีดความสามารถของ EcoStruxure™ Micro Data Center R-Series ที่ได้มาตรฐานทั้ง IP และ NEMA สำหรับสภาพแวดล้อมการทำงานในพื้นที่โรงงาน ซึ่งไมโครดาต้าเซ็นเตอร์ใหม่นี้ จะให้แนวทางการใช้งานและบริหารจัดการระบบโครงสร้าง เอดจ์ คอมพิวติ้ง ที่ง่ายและรวดเร็ว เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายในพื้นที่อาคารสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรม โมเดลใหม่ทั้ง 6 แบบทั้งในรุ่นขนาด 16U ขนาด 24U และ 42U จะเริ่มวางจำหน่ายในเดือนธันวาคมในประเทศสหรัฐอเมริกาและแคนาดา และจะพร้อมจำหน่ายในยุโรปต้นปีหน้า

สำหรับผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมที่นำเทคโนโลยีอุตสาหกรรม 4.0 มาช่วยเพิ่มผลผลิต สร้างความปลอดภัยและปรับกระบวนการทำงานให้เป็นระบบอัตโนมัติ ไมโคร ดาต้าเซ็นเตอร์ กลายเป็นส่วนสำคัญในการตอบโจทย์ทุกสิ่งตั้งแต่เรื่องการบูรณาการระบบ IT และ OT เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างศักยภาพการใช้งาน IIoT เพื่อทำให้ระบบไอทีในโรงงานมีความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น

“เทคโนโลยีระบบออโตเมชั่นที่ล้ำหน้า มาพร้อมประโยชน์สำคัญทั้งการช่วยลดค่าใช้จ่าย ให้ความปลอดภัยและให้ผลิตผลที่ดี แต่การจะเข้าถึงประโยชน์ดังกล่าว ต้องทำให้ระบบไอทีอยู่ใกล้จุดเชื่อมต่อปลายทางมากขึ้น ซึ่งเป็นพื้นที่ที่สร้างขึ้นโดยไม่ได้คำนึงถึงเรื่องไอทีมาก่อน” ฌอง แบปทิสเต ปลานย์ รองประธานฝ่ายบริหารจัดการด้านการนำเสนอระบบเอดจ์และแร็ค ส่วนการบริหารจัดการด้านพลังงาน ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าว “เพื่อสร้างความมั่นใจเรื่องความน่าเชื่อถือของระบบเครือข่ายไอทีภายในอาคารโรงงาน เราจึงนำเสนอ EcoStruxure Micro Data Center รุ่น R-Series ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานใหม่ทั้ง IP และ NEMA  ซึ่งไมโครดาต้าเซ็นเตอร์เหล่านี้ให้โซลูชันที่นำมาปรับใช้งานได้ง่าย อีกทั้งยังช่วยให้ฝ่ายไอทีและช่องทางจำหน่ายในอุตสาหกรรมรวมถึงผู้ใช้งานปลายทางอย่างผู้ประกอบการโรงงาน และตัวแทนจำหน่ายสามารถบริหารจัดการได้ง่ายเช่นกัน

โซลูชัน EcoStruxure Micro Data Center ช่วยลดค่าใช้จ่ายและช่วยให้นำระบบอุตสาหกรรมออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้น

โซลูชัน EcoStruxure Micro Data Center เป็นระบบตู้แร็คแบบปิดที่ประกอบมาล่วงหน้า สามารถตั้งค่าการทำงานได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพลังงาน ระบบทำความเย็น ระบบรักษาความปลอดภัย รวมถึงการบริหารจัดการ ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านวิศวกรรมได้มากถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ช่วยให้นำระบบออกสู่ตลาดได้เร็วขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์และลดค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงได้ 7 เปอร์เซ็นต์  ทั้งนี้ ไมโคร ดาต้าเซ็นเตอร์ จะใช้ประโยชน์จากโครงสร้างระบบที่มีอยู่และสามารถลดค่าใช้จ่ายในส่วนต้นทุนได้ถึง 42 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับการสร้างด้วยวิธีการเดิมๆ  โดย R-Series ใหม่นี้ ช่วยให้ได้รับประโยชน์มากมายดังที่กล่าวมาและช่วยให้ลูกค้าไม่ต้องยุ่งยาก เพราะเป็นโซลูชันที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ทนทานภายในอาคาร ทนกับสภาพแวดล้อมในอุตสาหกรรมที่มีปัญหาในเรื่องปริมาณฝุ่น ความชื้น และมีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิที่หลากหลาย

ผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์และการบริการของชไนเดอร์ อิเล็คทริค สามารถบริหารจัดการได้จากระยะไกล ในเวลาที่ไม่มีพนักงานฝ่ายไอทีประจำไซต์งานเลย หรือมีอยู่อย่างจำกัด ซึ่ง EcoStruxure IT เป็นแพลตฟอร์มระบบเปิดที่ทำงานร่วมกับระบบงานของผู้จำหน่ายรายอื่นได้ ให้ทั้งประสิทธิภาพและความยืดหยุ่นสำหรับผู้ใช้ในการบริหารจัดการระบบโครงสร้างสำคัญได้เอง บริหารจัดการร่วมกับพันธมิตร หรือจะให้ฝ่ายวิศวกรด้านการบริการของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ช่วยบริหารจัดการสินทรัพย์ต่างๆ ก็ได้เช่นกัน

เป็นโซลูชันที่มาพร้อมระบบรักษาความปลอดภัยที่ช่วยให้วางใจได้แม้จะอยู่ในพื้นที่ที่ไม่ปลอดภัยก็ตาม โดยสามารถวางมาตรฐานการออกแบบสภาพแวดล้อมการทำงานได้หลากหลายภายในโซลูชันเดียวแบบ ออล-อิน-วัน ซึ่งช่วยให้ปรับใช้งานได้ง่ายมากกว่าระบบงานที่แยกเป็นหลายระบบ

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ EcoStruxure Micro Data Center รุ่น R-Series ใหม่ได้

R-Series ใหม่จะพร้อมวางจำหน่ายผ่านคู่ค้าด้านช่องทางจำหน่ายของ APC และตัวแทนฝ่ายขายของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เยี่ยมชมเพจ เพื่ออ่านรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ R-Series EcoStruxure Micro Data Center ใหม่ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานใหม่ทั้ง IP และ NEMA สำหรับสภาพแวดล้อมการทำงานที่ทนทานภายในอาคาร

อะไรคือเอดจ์คอมพิวติ้งสำหรับอุตสาหกรรม?

สำหรับผู้ประกอบการด้านอุตสาหกรรมที่ต้องการได้รับประโยชน์จากระบบออโตเมชันมากขึ้น ไม่สามารถพึ่งพาเทคโนโลยีคลาวด์เพียงอย่างเดียวในเรื่องของความยืดหยุ่น และความเร็วอย่างที่ AI ML และเทคโนโลยี อุตสาหกรรม 4.0 ต้องการ ซึ่งเอดจ์ ดาต้าเซ็นเตอร์ในพื้นที่ คือ ตู้ควบคุม หรือ enclosure/พื้นที่/สิ่งอำนวยความสะดวก ด้านโครงสร้างระบบที่กระจายอยู่ตามพื้นที่เพื่อรองรับจุดเชื่อมต่อปลายทางของเครือข่ายในแต่ละจุดได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมอุตสาหกรรม เช่นโรงงานผลิต หรือศูนย์กระจายสินค้า การใช้งานดังกล่าวจะถูกเรียกว่าเป็น “เอดจ์คอมพิวติ้งสำหรับอุตสาหกรรม” โดยนักวิเคราะห์ต่างมองว่าเอดจ์จะกลายเป็นสิ่งที่ทวีความสำคัญมากขึ้น


เกี่ยวกับชไนเดอร์ อิเล็คทริค

เป้าหมายของชไนเดอร์ อิเล็คทริค คือการช่วยให้ทุกคนใช้พลังงานและทรัพยากรได้เกิดประโยชน์สูงสุด เชื่อมโยงความก้าวหน้าและความยั่งยืนเพื่อประโยชน์ของทุกคน เราเรียกสิ่งนี้ว่า Life Is On

ภารกิจของเราคือการเป็นพันธมิตรด้านดิจิทัลกับคุณ เพื่อสร้างประสิทธิภาพและความยั่งยืน

เราขับเคลื่อนการปฏิรูปสู่ดิจิทัล ด้วยการผสานรวมเทคโนโลยีชั้นนำของโลกด้านพลังงานและกระบวนการจัดการ เข้ากับผลิตภัณฑ์ตั้งแต่จุดเชื่อมต่อปลายทางไปยังคลาวด์ ระบบควบคุม รวมถึงซอฟต์แวร์และการบริการครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตการทำงานทั้งหมด เพื่อสร้างศักยภาพในการบริหารจัดการองค์กรแบบบูรณาการ ทั้งสำหรับบ้าน อาคาร ดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรม

เราคือบริษัทระดับโลกที่มีการดำเนินงานในระดับท้องถิ่นมากที่สุด เราสนับสนุนมาตรฐานระบบเปิดและระบบนิเวศของคู่ค้าที่มีความมุ่งมั่นแรงกล้าในการทำตามวัตถุประสงค์อย่างมีเป้าหมายร่วมกัน และคุณค่าในการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวพร้อมขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยกัน


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ข้อดี 5 ประการสำหรับธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่จะได้รับจากเอดจ์

โดย เปาโล โคลัมโบ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ Go To Market สำหรับผู้วางระบบและผู้ประกอบการด้านเครื่องจักร ชไนเดอร์ อิเล็คทริค

การนำเทคโนโลยีด้านการปฏิรูปสู่ดิจิทัลมาใช้จะช่วยให้บริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มพร้อมรับมือกับความท้าทายที่มีมายาวนาน ซึ่งจะให้ประโยชน์อย่างยิ่งในเรื่องกำไร อีกทั้งยังช่วยให้บรรลุเป้าหมายเรื่องความยั่งยืนและความปลอดภัยของพนักงาน แต่ทั้งหมดนี้ล้วนขึ้นอยู่กับการมีทรัพยากรด้านการประมวลผลที่เพียงพอที่ เอดจ์สำหรับอุตสาหกรรม

การปฏิรูปทางดิจิทัลเกี่ยวข้องกับการใช้อุปกรณ์ที่ให้ความชาญฉลาด รวมถึงระบบเซ็นเซอร์ในการรวบรวมข้อมูลจากอุปกรณ์ รวมถึงกระบวนการต่างๆ ในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม แนวคิดก็คือการนำประสิทธิภาพใหม่ๆ มาใส่ไว้ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่ที่ฟาร์ม และในกระบวนการผลิต ตลอดจนซัพพลายเชน และการส่งของไปยังผู้ค้าปลีก

ประโยชน์ของการปฏิรูปสู่ดิจิทัล

เมื่อติดตั้งกระบวนการในระบบดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะช่วยให้บริษัทด้านอาหารและเครื่องดื่มรับรู้ได้ถึงประโยชน์สำคัญใน 5 เรื่องต่อไปนี้

  1. ขยายคุณค่าในการใช้งานสินทรัพย์ได้สูงสุด

การนำขุมพลังของเทคโนโลยี อินเทอร์เน็ต ออฟ ธิงส์ หรือ IoT รวมถึงบิ๊กดาต้าและระบบวิเคราะห์มาช่วย จะทำให้บริษัทด้านอาหารและเครื่องดื่ม สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการลงทุน หรือ CapEx มากถึง 30 เปอร์เซ็นต์ จากการทำให้สินทรัพย์ใช้งานได้ยาวนาน การติดตั้งเครื่องมือในการตรวจวัดจะช่วยให้มีข้อมูลเกี่ยวกับสถานะของอุปกรณ์ที่ให้ศักยภาพด้านการวิเคราะห์และการซ่อมบำรุงเชิงคาดการณ์ได้  การเปรียบเทียบข้อมูลปัจจุบันกับข้อมูลพื้นฐานที่กำหนด ทำให้บริษัทสามารถประเมินช่วงเวลาที่อุปกรณ์ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ เพื่อกำหนดช่วงเวลาในการซ่อมบำรุง แนวทางดังกล่าวช่วยให้มั่นใจว่าอุปกรณ์จะยังคงทำงานได้เต็มประสิทธิภาพอยู่เสมอ และเป็นการยืดอายุสินทรัพย์ที่มีค่าเหล่านี้ให้ใช้งานได้นานขึ้น

  1. ปรับปรุงการดำเนินงาน

เทคโนโลยีระบบดิจิทัลต้องอาศัยการติดตามข้อมูลในปริมาณมาก ซึ่งอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มตลอดจนซัพพลายเชนต้องอาศัยข้อมูลเหล่านี้ในปัจจุบัน ซึ่งแต่ละบริษัทต้องรับมือกับจำนวนของ SKU ที่เพิ่มขึ้นตลอดและแต่ละ SKU ก็มีข้อมูลมากมายที่เชื่อมต่อกันเพื่ออธิบายถึงรายละเอียดของสินค้าแต่ละชุด ทั้งวัตถุดิบ การดำเนินการผลิต และอีกมากมาย ผลก็คือทำให้มีข้อมูลจำนวนหลายล้านจุดที่ต้องติดตาม ยิ่งไปกว่านั้น ข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการมากมาย เช่น สายงานด้านบรรจุภัณฑ์ จำเป็นต้องมีการประมวลผลแบบเรียลไทม์ หรือในความเร็วที่ใกล้เคียง การติดตั้งโซลูชันซอฟต์แวร์และการประมวลผลที่ไซต์งาน สามารถปฏิรูปการดำเนินงานเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ผลกำไร และผลตอบแทนได้ดีขึ้น ในขณะเดียวกันก็เป็นการเพิ่มความยืดหยุ่นเพื่อให้ตอบสนองความต้องการในตลาดได้

  1. บริหารจัดการเรื่องคุณภาพและการใช้งานได้สอดคล้องตามกฏข้อบังคับ

การติดตามเรื่องคุณภาพของสินค้าต้องอาศัยข้อมูลมากมาย รวมถึงการดูแลการดำเนินงานให้สอดคล้องตามกฏระเบียบหลายอย่างจากภาครัฐฯ นอกจากนี้ บริษัทด้านอาหารและเครื่องดื่มยังต้องเจอกับความกดดันที่ต้องแสดงความโปร่งใสเกี่ยวกับแหล่งที่มาของอาหารทั้งหมด เพื่อให้สามารถติดตามอย่างละเอียดได้ตลอดทั่วทั้งซัพพลายเชน ตั้งแต่จากฟาร์มจนถึงโต๊ะอาหาร  ซึ่งเทคโนโลยีระบบดิจิทัลสามารถช่วยให้บริษัทต่างๆ รับมือกับความท้าทายเหล่านี้ได้ พร้อมกับช่วยให้ข้อมูลผลิตภัณฑ์มีความแม่นยำเพิ่มขึ้นถึง 17 เปอร์เซ็นต์

  1. ตอบโจทย์เป้าหมายด้านพลังงานและความยั่งยืน

บริษัทด้านอาหารและเครื่องดื่มต่างอยู่ภายใต้ความกดดันที่ต้องปรับปรุงเรื่องประสิทธิภาพด้านพลังงานและความพยายามในการสร้างความยั่งยืน ซึ่งเครื่องมือที่ช่วยให้ใช้งานอุปกรณ์ได้อย่างเหมาะสมรวมถึงให้ประสิทธิภาพในเรื่องการมอนิเตอร์ อีกทั้งต้องช่วยให้มั่นใจว่ามีการใช้สาธารณูปโภคต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม รวมถึงเรื่องพลังงานและน้ำ จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นได้ว่าการใช้พลังงานลดลงถึง 35 เปอร์เซ็นต์

  1. ปรับปรุงศักยภาพและความปลอดภัยของคนทำงาน

สุดท้ายก็คือ เทคโนโลยีระบบดิจิทัลช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับพนักงานในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม อีกทั้งสร้างศักยภาพให้คนเหล่านี้ด้วยเครื่องมือในระบบดิจิทัลและข้อมูลแบบเรียลไทม์ เพื่อช่วยให้ตัดสินใจด้านการดำเนินการได้ดียิ่งขึ้น และบำรุงรักษาได้ง่ายขึ้น เทคโนโลยีที่ให้ความสมจริงอย่าง AR และโปรแกรมจำลองการฝึกอบรมด้านการดำเนินงานช่วยฝึกอบรมพนักงาน เพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มความปลอดภัยและผลิตผล  ทั้งนี้ผลสำรวจที่จัดทำโดย Capgemini Research Institute ที่ทำสำรวจกว่า 600 บริษัท พบว่ากว่า 75 เปอร์เซ็นต์ของบริษัทที่มีการติดตั้งระบบ AR/VR ขนาดใหญ่ รายงานว่าได้รับประโยชน์ในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ จากการเพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มผลิตผล และเพิ่มความปลอดภัย

การทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน ต้องอาศัย เอดจ์ ดาต้าเซ็นเตอร์สำหรับอุตสาหกรรม

เทคโนโลยีในการทรานส์ฟอร์มนำพาประโยชน์ต่างๆ เหล่านี้ มาให้บริษัทด้านอาหารและเครื่องดื่ม แต่ด้วยธรรมชาติการทำงานแบบเรียลไทม์ของแอปพลิเคชันต่างๆ และกฏระเบียบที่มักจะต้องให้มีการจัดเก็บข้อมูลอยู่ในพื้นที่ จึงควรที่จะต้องใช้เอดจ์สำหรับอุตสาหกรรมมาช่วย ให้คิดว่าเอดจ์สำหรับอุตสาหกรรมคือสิ่งที่จะช่วยให้คุณเร่งการปฏิรูปสู่ดิจิทัล เพื่อบรรลุผลเรื่องความปลอดภัยในการทำงานที่เพิ่มขึ้น รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพด้านการดำเนินงาน และความยั่งยืน

โซลูชันประเภทใดที่จำเป็นสำหรับเอดจ์เพื่ออุตสาหกรรม? บริษัทด้านอาหารและเครื่องดื่มจะต้องเปลี่ยนมาใช้โซลูชันที่สามารถมอนิเตอร์และควบคุมระบบงานที่ไม่ใช่แค่ในโรงงาน แต่รวมถึงซัพพลายเชนตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง ตัวอย่างของโซลูชันที่ใช้ง่ายและให้มุมมองเชิงลึกที่นำไปดำเนินงานได้เพื่อให้การดำเนินงานครบวงจรแบบเอ็นด์-ทู-เอ็นด์ที่มีประสิทธิภาพที่สุด คือ EcoStruxure for Food and Beverage และ AVEVA’s software

นอกจากนี้ โซลูชันไมโคร ดาต้าเซ็นเตอร์ ยังมอบศักยภาพในการใช้อุปกรณ์ไอทีได้อย่างปลอดภัยและน่าเชื่อถือในสภาพแวดล้อมที่ไม่ใช่ไอที หนึ่งในตัวอย่างของการใช้ไมโคร ดาต้าเซ็นเตอร์ คือ EcoStruxure Micro Data Center C-Series รุ่นใหม่กะทัดรัดของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่มาพร้อม UPS ผสานรวมอยู่ในตัว และอุปกรณ์ควบคุมและจ่ายไฟ (PDU) รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยในตู้ที่ดูเล็กลงกว่ารุ่นก่อนหน้าถึง 60 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็ใหญ่มากพอที่จะรองรับเซิร์ฟเวอร์เอดจ์ขนาดใหญ่ได้

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางที่เทคโนโลยีสามารถช่วยคุณปฏิรูปสู่ดิจิทัลได้ ได้ที่ EcoStruxure for Food and Beverage

Tags: Digital transformationEcoStruxureFood and beverageindustrial edgemicro data centers

เกี่ยวกับชไนเดอร์ อิเล็คทริค

เป้าหมายของชไนเดอร์ อิเล็คทริค คือการช่วยให้ทุกคนใช้พลังงานและทรัพยากรได้เกิดประโยชน์สูงสุด เชื่อมโยงความก้าวหน้าและความยั่งยืนเพื่อประโยชน์ของทุกคน เราเรียกสิ่งนี้ว่า Life Is On

ภารกิจของเราคือการเป็นพันธมิตรด้านดิจิทัลกับคุณ เพื่อสร้างประสิทธิภาพและความยั่งยืน

เราขับเคลื่อนการปฏิรูปสู่ดิจิทัล ด้วยการผสานรวมเทคโนโลยีชั้นนำของโลกด้านพลังงานและกระบวนการจัดการ เข้ากับผลิตภัณฑ์ตั้งแต่จุดเชื่อมต่อปลายทางไปยังคลาวด์ ระบบควบคุม รวมถึงซอฟต์แวร์และการบริการครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตการทำงานทั้งหมด เพื่อสร้างศักยภาพในการบริหารจัดการองค์กรแบบบูรณาการ ทั้งสำหรับบ้าน อาคาร ดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรม

เราคือบริษัทระดับโลกที่มีการดำเนินงานในระดับท้องถิ่นมากที่สุด เราสนับสนุนมาตรฐานระบบเปิดและระบบนิเวศของคู่ค้าที่มีความมุ่งมั่นแรงกล้าในการทำตามวัตถุประสงค์อย่างมีเป้าหมายร่วมกัน และคุณค่าในการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวพร้อมขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยกัน


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย ได้รับคัดเลือกให้เป็น “สถานที่ทำงานที่ยอดเยี่ยม” จาก Great Place to Work®

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันด้านการจัดการพลังงาน และระบบออโตเมชัน ได้รับการรับรองมาตรฐานในการเป็นสถานที่ทำงานที่ยอดเยี่ยม พร้อมกับสำนักงานสาขาของชไนเดอร์ อิเล็คทริค อีก แห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จาก Great Place to Work® โดยการรับรองในครั้งนี้ นับเป็นผลสำเร็จจากความพยายามอย่างต่อเนื่องของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในการสร้างองค์กรที่ดีที่สุดเพื่อพนักงาน โดยมีเป้าหมายที่ให้คุณค่าในเรื่องการทำงาน ตลอดจนการสนับสนุนให้เกิดวัฒนธรรมการยอมรับความแตกต่าง และการเพิ่มขีดความสามารถ และเสรีภาพในการทำงานของพนักงาน

Great Place to Work® ได้มีการจัดทำการสำรวจพนักงานของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กว่า 11,000 ราย จากสำนักงานประจำประเทศต่างๆ ในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 6 แห่ง เพื่อเข้าใจถึงความพึงพอใจและความไว้วางใจ รวมถึงความรู้สึกของพนักงานในขณะที่ทำงานที่บริษัท โดยตัวชี้วัดที่สำรวจได้แก่ ความไว้วางใจ (เชื่อมั่นในการบริหารจัดการที่น่าเชื่อถือ) ความเคารพ (ความรู้สึกชื่นชม) ความเป็นธรรม (การปฏิบัติที่เท่าเทียมและยุติธรรม) ความภาคภูมิใจ (ความภาคภูมิใจในบริษัท) และความสัมพันธ์ที่ดี (ในแง่ของการอยู่ร่วมกัน)

นายสเตฟาน นูสส์ ประธานกลุ่มคลัสเตอร์ ดูแลประเทศไทย ลาว และเมียนมา ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เผยว่า “เราเชื่อว่าบุคลากรที่ยอดเยี่ยมทำให้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เป็นบริษัทที่ยอดเยี่ยมไปด้วยเช่นกัน และเรื่องนี้ได้รับการยืนยันจากการที่เราได้รับการยอมรับว่าเป็น “สถานที่ทำงานที่ยอดเยี่ยม” ผมรู้สึกภาคภูมิใจ และขอขอบคุณพนักงานของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ประเทศไทย รวมไปถึงคู่ค้าที่ยอดเยี่ยมทุกท่าน  เพราะการมีส่วนร่วมของทุกท่าน ทำให้เรามีวัฒนธรรมองค์กรที่มีความเชื่อใจ เคารพซึ่งกันและกัน เราสนับสนุนให้พนักงานของเราทำงานในฐานะเป็นผู้ประกอบการ เราเป็นบริษัทที่มีความหลากหลายและอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจและยอมรับในความแตกต่าง และสิ่งนี้คือหนึ่งใน DNA ของเรา และเราต้องการให้พนักงานของเรารู้สึกมีคุณค่าและปลอดภัย เราเชื่อว่านี่คือกุญแจสำคัญในการสร้างนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ ประสิทธิภาพ และความคล่องตัวที่มากขึ้น และจะนำพวกเขาไปสู่ความสำเร็จ การยอมรับในครั้งนี้นับเป็นการพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าของเราในการก้าวไปสู่คำว่า well-being ทั้งการทำงานและการใช้ชีวิต ที่ครอบคลุมทุกคนในองค์กร ในทุกสถานการณ์ แม้จะมีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นในอนาคตอีกก็ตาม”

คนทำงานในรุ่นปัจจุบันนอกจากจะสนใจเรื่องความมั่นคงทางการเงินแล้ว ยังใส่ใจเรื่องของสังคมเช่นกัน ซึ่งคนทำงานเต็มใจที่จะมีส่วนร่วมมากขึ้นกับงานที่มีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ขึ้น จากผลการสำรวจภายในที่จัดทำโดย Great Place to Work® ร่วมกับ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้แสดงให้เห็นถึงคุณค่าขององค์กรที่มุ่งเน้นการมีส่วนร่วม และสร้างผลกระทบต่อสังคมและชุมชน ตลอดจนคุณค่าของการไม่แบ่งแยก นับเป็นปัจจัยหนึ่งที่ได้รับคะแนนสูงสุดในการวัดความพึงพอใจและความภาคภูมิใจของพนักงานที่มีต่อบริษัท นอกจากนี้ ในแง่มุมของการปฏิบัติที่เป็นธรรมและมีความเท่าเทียมกัน วิถีที่บริษัทได้มอบความยืดหยุ่นในการทำงาน และความเอาใจใส่ของบริษัทในการพัฒนาและสร้างประสิทธิภาพให้กับพนักงานแต่ละคน ยังนับเป็นอีกแง่มุมที่ทำให้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้คะแนนสูงที่สุด

น.ส.วุฒยา วงษ์สวรรค์ ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric) ดูแลกลุ่มประเทศไทย เมียนมาร์ และลาว กล่าวว่า “เราภูมิใจที่ได้รับความไว้วางใจจากพนักงานว่าบริษัทเป็นสถานที่ทำงานที่ยอดเยี่ยม จนได้รับการยอมรับจาก สถาบัน Great Place to Work® สำหรับ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เรามีความมุ่งหวังที่จะส่งเสริมให้ทุกคนใช้พลังงานและทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเชื่อมโยงความก้าวหน้าให้เข้ากับความยั่งยืนสำหรับทุกคน ภารกิจของเราคือการเป็นพันธมิตรด้านดิจิทัลเพื่อสร้างประสิทธิภาพและความยั่งยืน เราสะท้อนความมุ่งมั่นในเรื่องดังกล่าว ผ่านโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่เราพัฒนาขึ้น และวิถีนี้เองที่ทำให้เรากลายเป็นแบบอย่างในการประยุกต์ใช้หลักการด้านความยั่งยืนในทุกกิจกรรมทางธุรกิจ รวมไปถึงการดำเนินธุรกิจ เราได้ปลูกฝังหลักการเหล่านี้ไว้ภายในบริษัทของเรา เพื่อพวกเราและเพื่อสังคมที่เราอาศัยอยู่”

Great Place to Work® เป็นองค์กรระดับโลกที่มุ่งเน้นการวิจัยไปที่วัฒนธรรมองค์กร ที่ผ่านมาได้สำรวจพนักงานมากกว่า 100 ล้านคนทั่วโลก ตั้งแต่ปี 1992 และใช้ข้อมูลเชิงลึกนั้นเพื่อพิจารณาว่าอะไรที่เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เป็นบริษัทที่ยอดเยี่ยมและได้รับความไว้วางใจ

เกี่ยวกับชไนเดอร์ อิเล็คทริค

เป้าหมายของชไนเดอร์ อิเล็คทริค คือการช่วยให้ทุกคนใช้พลังงานและทรัพยากรได้เกิดประโยชน์สูงสุด เชื่อมโยงความก้าวหน้าและความยั่งยืนเพื่อประโยชน์ของทุกคน เราเรียกสิ่งนี้ว่า Life Is On

ภารกิจของเราคือการเป็นพันธมิตรด้านดิจิทัลกับคุณ เพื่อสร้างประสิทธิภาพและความยั่งยืน

เราขับเคลื่อนการปฏิรูปสู่ดิจิทัล ด้วยการผสานรวมเทคโนโลยีชั้นนำของโลกด้านพลังงานและกระบวนการจัดการ เข้ากับผลิตภัณฑ์ตั้งแต่จุดเชื่อมต่อปลายทางไปยังคลาวด์ ระบบควบคุม รวมถึงซอฟต์แวร์และการบริการครอบคลุมตลอดวงจรชีวิตการทำงานทั้งหมด เพื่อสร้างศักยภาพในการบริหารจัดการองค์กรแบบบูรณาการ ทั้งสำหรับบ้าน อาคาร ดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรม

เราคือบริษัทระดับโลกที่มีการดำเนินงานในระดับท้องถิ่นมากที่สุด เราสนับสนุนมาตรฐานระบบเปิดและระบบนิเวศของคู่ค้าที่มีความมุ่งมั่นแรงกล้าในการทำตามวัตถุประสงค์อย่างมีเป้าหมายร่วมกัน และคุณค่าในการรวมกันเป็นหนึ่งเดียวพร้อมขับเคลื่อนไปข้างหน้าด้วยกัน


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

บริการใหม่จากชไนเดอร์ อิเล็คทริค ชี้จุดเสี่ยงในระบบไฟฟ้า สร้างความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงให้ธุรกิจด้วยการบำรุงรักษาระบบตามสภาพของอุปกรณ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค(Schneider Electric) ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นในการจัดการพลังงานและระบบออโตเมชั่น ออกบริการใหม่ EcoStruxure Service Plans โดยเป็นแพคเกจด้านการบริการระบบไฟฟ้าที่สมบูรณ์แบบด้วยการผสานการบำรุงรักษาอุปกรณ์ระบบไฟฟ้าเข้ากับบริการด้านดิจิทัล ตอบโจทย์เป้าหมายของลูกค้าได้ตรงใจ และช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพอุปกรณ์ไฟฟ้าและระบบไฟฟ้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

วางใจในความต่อเนื่องทางธุรกิจ

60 เปอร์เซ็นต์ของภาคธุรกิจ กำลังเตรียมการให้พร้อมสำหรับอนาคตด้วยการปฏิรูปสู่ดิจิทัล ส่วนหนึ่งคือการปรับระบบไฟฟ้าให้เป็นระบบดิจิทัล เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้ระบบสามารถทำงานต่อเนื่องในทุกวันและลดความเสี่ยง ตัวอย่างเช่น 56 เปอร์เซ็นต์ของการเกิดไฟไหม้จากระบบไฟฟ้าเนื่องมาจากการขาดการซ่อมบำรุง นอกจากนี้ยังมีความท้าทายที่ทีมงานดูแลระบบไฟฟ้าต้องเผชิญอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะในเรื่องของความเชี่ยวชาญในการทำงาน หรือช่องว่างทางด้านทักษะในการบำรุงรักษา

EcoStruxure Service Plans บริการใหม่นี้ จะช่วยบรรเทาปัญหาด้วยการมอบการบริการภาคสนามที่ผสมผสานอย่างลงตัวภายใต้สัญญาเดียว ทั้งบริการด้านดิจิทัลและให้คำปรึกษาระยะไกลได้ตรงความต้องการ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้มุ่งเน้นความสำคัญในการมอบประสบการณ์ที่ดีและทันสมัยยิ่งขึ้นให้กับลูกค้า โดยที่สามารถเลือกใช้แผนการบริการ EcoStruxure Service Plan ได้ตามความต้องการเพื่อรับประโยชน์ที่สูงสุด

“ลูกค้าของเราหลายรายมุ่งเน้นไปที่การฟื้นฟูธุรกิจที่อาจเสียศูนย์ไปในช่วงวิกฤต” เฟรดเดอริก โกเดอเมล รองประธานบริหาร ฝ่ายระบบพลังงานและการบริการ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าว “นั่นคือสาเหตุที่เรานำเสนอบริการใหม่ EcoStruxure Service Plans นี้ขึ้นมา เพื่อให้เราสามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับแนวทางการปรับปรุงอุปกรณ์ไฟฟ้าได้ดียิ่งขึ้น และพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับธุรกิจของลูกค้า การผสมผสานที่สมบูรณ์แบบระหว่างบริการภาคสนามและบริการดิจิทัลจะสร้างความอุ่นใจให้กับลูกค้า โดยลูกค้าสามารถมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจหลัก และให้เรื่องการดูแลอุปกรณ์ไฟฟ้าและคุณภาพของพลังงานเป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญ อย่างชไนเดอร์ อิเล็คทริค”

เลือกบริการที่เหมาะสมกับกลยุทธ์

นายวราชัย จตุระสถาพร รองประธาน ธุรกิจ Field Services ดูแลประเทศไทย ลาว และเมียนมา เผยว่า “EcoStruxure Service Plans สะท้อนความมุ่งมั่นอย่างต่อเนื่องของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในการสร้างความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจลูกค้าในอนาคตได้ นอกเหนือจากบริการภาคสนามแบบปกติ ยังมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลในเรื่องข้อมูล ซอฟต์แวร์ และระบบวิเคราะห์ ที่จะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพได้ดียิ่งขึ้น ทั้งเรื่องการบริหารจัดการระบบไฟฟ้า ความปลอดภัย ประสิทธิภาพด้านการดำเนินงานและความยั่งยืน”

ขับเคลื่อนระบบไฟฟ้ารูปแบบใหม่ด้วยซอฟต์แวร์ ระบบวิเคราะห์ และอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับดิจิทัล

EcoStruxure Service Plans ขับเคลื่อนด้วยผลิตภัณฑ์ดิจิทัล เช่นอุปกรณ์ที่ทำงานด้วยระบบ IoT ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค พร้อมทั้งจัดหาอุปกรณ์ และปรับปรุงอุปกรณ์ที่ลูกค้ามีอยู่ โดยการนำเทคโนโลยีล่าสุดมาช่วย ผ่านแพลตฟอร์ม IoT ที่เรียกว่า EcoStruxure ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค

สมัครแพคเกจ EcoStruxure Service Plan วันนี้ แถมฟรี Visual Audit Inspection มูลค่า 30,000 บาท (โปรโมชั่นอยู่ถึง 30 พฤศจิกายน 2564) กรอกข้อมูลให้ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ติดต่อกลับ https://go.schneider-electric.com/TH_202109_ESP-Form_CS-LP.html?source=Social-Media&sDetail=ESP-Form_TH

อ่านข้อมูลเพิ่มเติม https://www.se.com/th/th/work/services/service-plan/ecostruxure-service-plan.jsp


Exit mobile version