Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส จับมือกลุ่มบุคลากรการแพทย์อาสา Thai CoCare สร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยให้บุคลากรการแพทย์ด่านหน้าสู้โควิด-19

กรุงเทพประเทศไทย, 16 พฤศจิกายน 2564: ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ผู้ให้บริการขนส่งด่วนระหว่างประเทศระดับโลก เดินหน้าเชื่อมต่อผู้คนและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนให้ดีขึ้น (Connecting people, improving lives) เนื่องในโอกาสวันอาสาสมัครสากล (Global Volunteer Day) โดยดีเอชแอลสนับสนุนให้พนักงานมีจิตอาสา และช่วยเหลือสังคม นอกจากกิจกรรม CSR ต่าง ๆ ของบริษัทในช่วงสถานการณ์แพร่ระบาดแล้ว ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ยังบริจาคตู้ตรวจคัดกรองโควิด-19 ความดันบวกจำนวน 19 ตู้ รวมมูลค่า 1.2 ล้านบาท ให้กลุ่มบุคลากรการแพทย์อาสา Thai CoCare เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ปลอดภัยให้กับบุคลากรด่านหน้าในระหว่างการปฏิบัติงาน

ตู้ตรวจคัดกรองโควิด-19 เหล่านี้มีน้ำหนักเบา ถูกออกแบบให้พับเก็บและประกอบง่าย เคลื่อนย้ายสะดวก เพื่อให้หน่วยบุคลากรการแพทย์อาสาได้ปฏิบัติงานอย่างรวดเร็วและสะดวก โดยสามารถตรวจโควิด-19 เชิงรุกในพื้นที่เสี่ยง และลดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้มากขึ้น นอกจากนี้ ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ยังได้บริจาคถุงยังชีพให้แก่ผู้ป่วยที่อยู่ระหว่างรอคิวรักษาตัวที่โรงพยาบาลจำนวน 300 ถุง ซึ่งบรรจุอาหารแห้งและอาหารที่ให้พลังงาน อีกทั้งอาสาสมัครดีเอชแอลยังช่วยสนับสนุนการทำงานของกลุ่มแพทย์อาสา Thai CoCare ในการตรวจคัดกรองโควิด-19 อีกด้วย

Thai CoCare คือกลุ่มบุคลากรการแพทย์อาสามากกว่า 2,000 ชีวิต ประกอบด้วยแพทย์ พยาบาล เภสัชกร นักจิตวิทยา และผู้ประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ต่าง ๆ โดยให้คำปรึกษา และดูแลสุขภาพจิตแก่ผู้ป่วยระหว่างรอเตียงโรงพยาบาล หรือผู้ป่วยที่เข้าระบบ Home Insolation ผ่านแอพพลิเคชัน CoCare ในขณะเดียวกัน Thai CoCare ก็ยังมีทีมที่ลงพื้นที่สุ่มตรวจโควิด-19 เชิงรุกในพื้นที่ระบาดหนักในเขตชุมชนเพื่อควบคุมการแพร่เชื้อ

คุณเฮอร์เบิต วงศ์ภูษณชัย กรรมการผู้จัดการ ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ประเทศไทยและหัวหน้าภาคพื้นอินโดจีน กล่าวว่า “ช่วงสองปีที่ผ่านมา ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการที่เราต้องช่วยเหลือกัน โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการแพร่ระบาด ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ได้ตระหนักถึงภารกิจนี้ แสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อสังคม บริษัทฯ ภูมิใจที่พนักงานของเราได้ช่วยเหลือสังคมในทันทีด้วยความเข้าอกเข้าใจ (empathy) และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของ DNA ของพวกเขา พนักงานจากทุกแผนกได้ใช้ความสามารถของตนเพื่อช่วยเหลือผู้คนและชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดในช่วงปีที่ผ่านมา ยิ่งไปกว่านั้น เรายังมุ่งมั่นสานต่อวัตถุประสงค์ขององค์กร “เชื่อมต่อผู้คน และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนให้ดีขึ้น” (Connecting people, improving lives) ผ่านโปรแกรม GoGreen, GoHelp, GoTeach และ GoTrade ในชุมชนที่เราอาศัยและดำเนินงาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิด ESG เพื่อความยั่งยืน”

นายแพทย์ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์ ผู้ก่อตั้ง Thai CoCare กล่าวว่า “ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังไม่สงบ การเฝ้าระวังเชิงรุกและให้การรักษาทางการแพทย์แก่ผู้ติดเชื้อจึงยังจำเป็นอย่างยิ่ง ตู้ตรวจคัดกรองโควิด-19 ที่ได้รับจากดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส มีประโยชน์อย่างมากในการช่วยบุคลากรการแพทย์ของเราคัดกรองผู้ป่วย และยังช่วยประหยัดในการใช้ชุด PPE ของบุคลากร ที่สำคัญที่สุดคือ ทำให้บุคลากรทางการแพทย์ลดความเสี่ยงระหว่างการตรวจคัดกรอง และมีความปลอดภัยมากขึ้น เสริมความมั่นใจในการตรวจคัดกรองของทีมแพทย์ และสามารถช่วยประชาชนได้อย่างเต็มที่”

ตู้ตรวจโควิดความดันบวกนี้ มีระบบและการควบคุมความดันที่เหมาะสม เพื่อให้บุคลากรการแพทย์สามารถอยู่ในห้องตรวจโดยไม่มีเชื้อปนเปื้อนในอากาศ โดยด้านในเป็นระบบปิดด้วยการปรับแรงดันอากาศ มีประตูเปิด-ปิดอย่างแน่นหนาเพื่อความปลอดภัย และมีช่องสำหรับสอดมือเพื่อทำหัตถการ ซึ่งตู้นี้รองรับการใช้งานของเจ้าหน้าที่ได้ครั้งละ 3 คนในเวลาเดียวกัน โดยเจ้าหน้าที่ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนชุด PPE แบบเต็ม ทำให้การคัดกรองมีความสะดวก รวดเร็ว และเพิ่มระดับความสามารถในการให้บริการ

ปัจจุบัน ตู้ตรวจโควิดความดันบวกทั้ง 19 ตู้ ได้ถูกส่งให้กับกลุ่มแพทย์อาสา Thai CoCare เพื่อจัดสรรไปยังสถานพยาบาลและหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ โรงพยาบาลศิริราช สำนักงานป้องกันโรคเขตเมือง มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ สมาคมเทคนิคการแพทย์แห่งประเทศไทย กลุ่มคลองเตยดีจัง โรงพยาบาลสันป่าตอง จ.เชียงใหม่ โรงพยาบาลกงหรา จ.พัทลุง โรงพยาบาลควนโดน จ.สตูล รวมถึงสำนักงานสาธารณสุขในจังหวัดสุราษฎร์ธานี กระบี่ และ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้

พนักงานดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ยังได้จัดทำถุงยังชีพบรรจุอาหารแห้ง และเขียนข้อความมอบกำลังใจ ส่งมอบให้มูลนิธิ 12 แห่ง และชุมชนต่าง ๆ ทั่วประเทศ รวมถึงบริจาคข้าวสารมากกกว่า 5,000 กิโลกรัมผ่านมูลนิธิต่าง ๆ นอกจากนี้ พนักงานคอลล์เซ็นเตอร์ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส จำนวน 25 คน ยังได้อาสาช่วยหน่วยงานสายด่วนของภาครัฐ และดูแลสภาพจิตใจประชาชน โดยให้คำปรึกษากับประชาชนเป็นจำนวนทั้งสิ้น 8,042 ราย

ดีเอชแอลยังได้ทำหน้าที่สำคัญโดยการขนส่งวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มากกว่า 1 พันล้านโดสไปมากกว่า 160 ประเทศทั่วโลก รวมถึงการดำเนินการจัดส่งวัคซีนไฟเซอร์-ไบออนเทคล็อตแรกจำนวน 1.5 ล้านโดสที่รัฐบาลสหรัฐอเมริกาบริจาคให้กับประเทศไทย

ชมวิดีโอ ที่มาความร่วมมือของตู้ตรวจโควิด-19 ความดันบวก คลิก ที่นี่


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ดีเอชแอลปล่อยแบรนด์แคมเปญฉลองการเปิดตัวภาพยนตร์เจมส์ บอนด์ ภาคใหม่ No Time To Die

กรุงเทพ, ประเทศไทย, 7 ตุลาคม 2564: ดีเอชแอลเปิดตัวแคมเปญใหม่เพื่อฉลองความร่วมมือที่มีมายาวนานกับภาพยนตร์เจมส์ บอนด์และโชว์จุดเด่นด้านบริการขนส่งที่เป็นเลิศ หัวใจสำคัญของแคมเปญนี้คือภาพยนตร์โฆษณาที่ผลิตขึ้นเพื่อเป็นการยกย่องแฟรนไชส์ภาพยนตร์ซึ่งเป็นที่จดจำของคนทั่วโลก โดยครั้งนี้เป็นครั้งที่ 5 ที่ดีเอชแอลได้ให้บริการขนส่งและโซลูชั่นด้านลอจิสติกส์ต่างๆ สำหรับภาพยนตร์เจมส์ บอนด์

“ดีเอชแอลภูมิใจที่ได้มอบการสนับสนุนด้านลอจิสติกส์สำหรับภาพยนตร์เจมส์ บอนด์มาถึง 5 ภาคด้วยกัน และสำหรับเบื้องหลังความสำเร็จของภาพยนตร์โฆษณาสุดยิ่งใหญ่ของดีเอชแอลนี้ เราได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากทีมงานมืออาชีพระดับโลกของภาพยนตร์ No Time To Die เพื่อให้เจมส์ บอนด์มีชีวิตโลดแล่นบนโฆษณาของดีเอชแอล ในขณะเดียวกันเราก็ต้องแสดงให้เห็นความสามารถทางการแข่งขันของเราในแบบที่สนุกสนานและดึงดูดใจผู้ชมด้วย เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้แสดงให้โลกเห็นว่าดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรสสามารถนำประสบการณ์และความรู้ความชำนาญในแต่ละประเทศเพื่อรับมือกับความท้าทายในสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างไร และเรายังคงเป็นลอจิสติกส์พาร์ทเนอร์ด้านการขนส่งด่วนระหว่างประเทศที่ผู้ใช้บริการไว้วางใจได้ ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันหรือมีความซับซ้อนเพียงใดก็ตาม” คุณเฮอร์เบิต วงศ์ภูษณชัย กรรมการผู้จัดการ ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ประเทศไทยและหัวหน้าภาคพื้นอินโดจีน กล่าว

เพื่อให้สร้างสรรค์ภาพยนตร์โฆษณาที่เร้าใจและตื่นเต้นในระดับเดียวกับฉากขับรถไล่ล่าในภาพยนตร์เจมส์ บอนด์ การคัดเลือกทีมงานที่จะมาสร้างสรรค์ ดัดแปลง และผลิตภาพยนตร์จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก โฆษณาเรื่องนี้มีรถแอสตัน มาร์ติน DB5 เป็นจุดเด่น ซึ่งขับโดย เบน คอลลิน สตันท์ของตัวละครบอนด์ ผู้ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับ พีท ไวท์ ผู้ช่วยประสานงานด้านสตันท์ของภาพยนตร์ No Time To Die ภาพยนตร์โฆษณาของดีเอชแอลเรื่องนี้ถ่ายทำโดย อดัม เบิร์ก ไดเร็คเตอร์มือรางวัลแห่งสตูดิโอ Smuggler และยังได้ ไลนัส แซนด์เกรน แห่ง No Time To Die มาเป็นผู้กำกับภาพอีกด้วย แนวคิดของโฆษณามาจากการพัฒนาโดย 180 Amsterdam เอเจนซีหลักของดีเอชแอล

ภายใต้แคมเปญนี้ ดีเอชแอลได้เล่าเรื่องที่เพิ่มความตื่นเต้นเร้าใจให้กับแบรนด์ โดยโฆษณาเปิดฉากขึ้นในเซี่ยงไฮ้ เมื่อเจ้าหน้าที่คูเรียร์รายหนึ่งของดีเอชแอลต้องออกไปส่งพัสดุสำคัญให้ เจมส์ บอนด์ แต่พอไปถึงจุดนัดพบปรากฎว่าการส่งมอบของมีอันต้องสะดุด เป็นสาเหตุให้มีการขับรถไล่ล่ากันตามมา และในขณะที่ 007 กำลังถูกเหล่าร้ายไล่ล่าไปตามท้องถนนนั้น เจ้าหน้าที่คูเรียร์​ของดีเอชแอลต้องหลบหลีกความชุลมุนวุ่นวาย เพื่อไปส่งของให้ถึงจุดหมายใหม่ตามการเปลี่ยนแปลงผู้รับ โดยขนส่งอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

นอกจากภาพยนตร์โฆษณาที่ออกอากาศทางโทรทัศน์แล้ว แคมเปญนี้ยังออกอากาศทั่วโลกผ่านช่องทางดิจิทัล ทั้งในรูปแบบของแบนเนอร์โฆษณา วิดีโอ และสิ่งพิมพ์​ ข้อมูลเพิ่มเติมอื่นๆ เช่น เบื้องหลังการถ่ายทำ และภาพยนตร์โฆษณาฉบับเต็ม สามารถดูได้จากเว็บไซต์ NoTimeToDie.dhl

No Time To Die กำกับโดย แครี โจจิ ฟุกุนากะ และนำแสดงโดย แดเนียล เครก ผู้กลับมาเล่นภาพยนตร์เจมส์ บอนด์ ของเอียน เฟลมมิ่ง เป็นครั้งที่ 5 และเป็นครั้งสุดท้าย ภาพยนตร์เรื่องนี้จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ประเทศไทยวันที่ 7 ตุลาคม 2564 โดย Universal Pictures International เป็นผู้จัดจำหน่าย

7 เรื่องไม่ลับ เบื้องหลังความร่วมมือระหว่าง No Time To Die กับดีเอชแอล

  1. นับตั้งแต่ Casino Royale (2006) ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 5 ที่ดีเอชแอลได้ให้บริการด้านการขนส่งและโซลูชั่นด้านลอจิสติกส์ต่างๆ สำหรับการถ่ายทำและการผลิตภาพยนตร์ 007
  2. ในการทำงานด้านการขนส่งให้กับภาพยนตร์ No Time To Die ที่แฟนๆ ตั้งตารอนี้ ดีเอชแอลได้ขนส่งอุปกรณ์การถ่ายทำและอุปกรณ์สตันท์ไปยังโลเคชั่นต่างๆ ทั้งในนอร์เวย์ จาไมก้า อิตาลี และโดยรอบประเทศอังกฤษ ของที่ดีเอชแอลช่วยขนส่งมีตั้งแต่รถแอสตัน มาร์ติน ในตำนาน ไปจนถึงอุปกรณ์ประกอบฉากสำคัญๆ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านลอจิสติกส์ ดีเอชแอลปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้องในทุกขั้นตอนเพื่อขนส่งสิ่งของต่างๆ ให้ถึงมือผู้รับตรงเวลาเสมอ
  3. รถแอสตัน มาร์ติน DB5 จำลองจำนวน 8 คัน ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการถ่ายทำ No Time To Die!
  4. การถ่ายทำภาพยนตร์ No Time To Die เปรียบเสมือนการวิ่งมาราธอน ไม่ใช่การวิ่งระยะสั้น ตลอด 604 วันของการถ่ายทำ ดีเอชแอลขนส่งตั้งแต่คอสตูมชุดแรก ไปจนถึงฟุตเทจภาพยนตร์ในขั้นสุดท้าย
  5. ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรสได้ทำการบันทึกเอกสารการดำเนินพิธีศุลากรรวมถึง 948 รายการ สำหรับการขนส่งข้ามพรมแดนให้กับภาพยนตร์ No Time To Die
  6. ดีเอชแอลขนส่งเสื้อผ้าและคอสตูมรวมกว่า 11,039 กิโลกรัมทั่วโลกเพื่อภาพยนตร์เจมส์บอนด์ภาคที่ 25 เราได้จัดส่งบิกินี่ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของภาค DR.NO ไปยังวิลล่า GoldenEye ของเอียน เฟลมมิ่ง ในจาไมก้า เพื่อเปิดตัวการเริ่มต้นถ่ายทำภาพยนตร์
  7. แม้ว่าฉากของเรื่องจะอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน แต่โฆษณาของดีเอชแอลเรื่องนี้ถ่ายทำที่ใจกลางกรุงเทพฯ ประเทศไทย! ไปดูโฆษณาอีกครั้งกันได้ที่ NoTimeToDie.dhl หรือชมผ่านโซเชียลมีเดียของดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ขนส่งด่วนระหว่างประเทศ

 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส เปิดบริการนำเข้าจาก 200 ประเทศทั่วโลก ให้กับลูกค้าเอสเอ็มอีและลูกค้าทั่วไปโดยไม่ต้องมีบัญชีสมาชิกเป็นครั้งแรก

กรุงเทพฯ, 3 มีนาคม 2564: ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ผู้ให้บริการขนส่งด่วนระหว่างประเทศระดับโลก เปิดตัวบริการนำเข้าใหม่สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายย่อยที่ไม่ได้นำเข้าสินค้าบ่อยครั้ง และไม่มีบัญชีนำเข้ากับดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส รวมถึงบุคคลทั่วไปที่ต้องการนำเข้าสินค้า หรือสิ่งของจากต่างประเทศโดยผู้ส่งต้นทางอาจมีข้อจำกัดในการส่งของมายังประเทศไทย ให้สามารถจัดการการนำเข้าทุกขั้นตอนได้ด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการระบุวันกำหนดส่งและรับสินค้า รวมถึงการจ่ายค่าบริการนำเข้าล่วงหน้าผ่านบัตรเครดิต บริการนำเข้าดังกล่าวจะช่วยให้ทุกขั้นตอนของการนำเข้าสินค้าจาก 200 ประเทศทั่วโลกสะดวก ง่ายดายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และนับเป็นครั้งแรกในไทยที่ให้บริการนำเข้าสำหรับผู้ใช้โดยไม่ต้องสมัครเป็นสมาชิก 

จากการขยายตัวของธุรกิจอีคอมเมิร์ซระหว่างประเทศ ผลสำรวจระบุว่าคนไทยนิยมช้อปออนไลน์ข้ามประเทศเพิ่มขึ้น โดยเกือบครึ่งของนักช้อปชาวไทยอายุระหว่าง 24-34 ปีที่ได้รับการสำรวจมีแนวโน้มซื้อของออนไลน์ต่อไปและซื้อบ่อยขึ้นกว่าเดิม[1] ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส คาดว่าจะเห็นการเติบโตของอีคอมเมิร์ซ และความต้องการในการส่งสินค้าระหว่างประเทศมากขึ้น บริการนำเข้าของดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส เป็นแพลตฟอร์มที่ให้ผู้ใช้ดำเนินการนำเข้าสินค้ามายังประเทศไทยด้วยตนเองผ่านเว็บไซต์ ใช้งานง่าย สามารถชำระค่าบริการนำเข้าผ่านบัตรเครดิต ผู้ใช้งานจะได้รับความสะดวกจากบริการรับและส่งสินค้าแบบ Door-to-Door พร้อมรับความช่วยเหลือจากคอลล์เซ็นเตอร์ตลอด 24 ชั่วโมง

เฮอร์เบิต วงศ์ภูษณชัย กรรมการผู้จัดการ ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ประเทศไทยและหัวหน้าภาคพื้นอินโดจีน กล่าวว่า “บริการนำเข้ารูปแบบใหม่นี้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับผู้ใช้บริการ ตอกย้ำว่าดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส เข้าใจความต้องการของลูกค้าและให้ความสำคัญกับลูกค้าทุกกลุ่ม การนำเข้าเป็นแกนหลักสำคัญที่ทำให้การค้าระหว่างประเทศเติบโต ปัจจุบัน ธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั่วโลกเพื่อให้ธุรกิจดำเนินการต่อได้ ในขณะที่การเดินทางระหว่างประเทศเป็นเรื่องที่ท้าทายและทำให้การค้าระหว่างประเทศมีความสำคัญมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการนำเข้าวัตถุดิบ สินค้า หรือของใช้ที่จำเป็น ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรสเชื่อว่าบริการนำเข้านี้จะช่วยเชื่อมโยงผู้คน ธุรกิจ และกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาเฟื่องฟูอีกครั้งในไม่ช้า”

สถานการณ์การแพร่ระบาดที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้ผู้บริโภคต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปสู่การใช้ชีวิตแบบไฮบริด โดยบ้านเป็นทั้งสถานที่ทำงานและพักผ่อน รวมถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ให้ความสำคัญกับสุขอนามัย และสุขภาพมากขึ้น

สุณิสา ทิวากรดำรง ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ทำธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ และใช้บริการนำเข้ากับดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส กล่าวว่า “เราใช้บริการนำเข้ากับดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรสประมาณ 4-5 ครั้งในช่วงที่ยังไม่เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ เพื่อนำเข้าเครื่องครัวจากประเทศฟิลิปปินส์เข้ามาในไทย เราสามารถบริหารจัดการการนำเข้าด้วยตัวเองได้อย่างง่ายดาย โดยคุณภาพของการให้บริการ และการแสดงค่าบริการที่ชัดเจนเป็นสิ่งที่เราประทับใจมากที่สุดจากการใช้บริการ DHL Express Import Service”

สำหรับสินค้าที่ต้องชำระภาษีนำเข้า ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรสจะดำเนินการจ่ายค่าภาษีศุลกากร (ไม่เกิน 50,000 บาท) ในนามของลูกค้าเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า และทำให้สินค้าสามารถส่งถึงมือผู้รับได้เร็วขึ้น ทั้งนี้ ก่อนที่สินค้าจะถูกส่งถึงมือผู้รับ บริการ Advance Duty Collection ของดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส จะส่งข้อความแจ้งยอดภาษีนำเข้าที่ผู้รับจะต้องชำระผ่าน SMS หรืออีเมล โดยผู้รับสามารถจ่ายภาษีทางออนไลน์ด้วยบัตรเครดิตหรือเงินสด

ในกรณีที่สินค้าที่นำเข้ามีราคาศุลกากร (CIF) ไม่เกิน 1,500 บาทและไม่ใช่ของต้องห้ามหรือต้องกำกัด จะได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระอากรขาเข้า เพื่อให้การนำเข้าเป็นไปอย่างราบรื่น กรุณาตรวจสอบรายละเอียดเกี่ยวกับของต้องห้าม ของต้องกำกัด ระเบียบการนำเข้าและเอกสารที่ต้องใช้ในการนำเข้าได้ที่เว็บไซต์ของกรมศุลกากรที่ www.customs.go.th

สำหรับผู้สนใจใช้บริการนำเข้าของดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส สามารถทำตาม 4 ขั้นตอนง่ายๆ ข้างล่างนี้

  1. เข้าเว็บไซต์ https://mydhl.express.dhl ผ่านเดสก์ท็อป และกรอกข้อมูลสถานที่รับสินค้า สถานที่ส่งสินค้าปลายทาง รายละเอียดและประเภทของสินค้า
  2. ตรวจสอบค่าบริการ แล้วทำการชำระค่าบริการนำเข้าผ่านบัตรเครดิต ระบบจะแจ้งเลขหมาย Tracking Number เพื่อติดตามสถานะการจัดส่งสินค้า
  3. ยืนยันวัน เวลา และสถานที่ที่ให้เข้าไปรับพัสดุ พนักงานดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรสจะไปรับสินค้าตามสถานที่ที่ระบุไว้ (door to door service)
  4. ผู้รับรอให้สินค้ามาส่ง โดยสามารถติดตามสถานะของสินค้าผ่านระบบออนไลน์ จากหมายเลข Waybill ที่เป็นตัวเลข 10 หลัก

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับบริการนำเข้าจากดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ได้ที่ https://bit.ly/dhl-import-th หรือรับชมวิดีโอสาธิตการทำรายการนำเข้าโดยละเอียดทุกขั้นตอนที่ https://youtu.be/Rl-pkg_mA0U


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส เผยรายงานการศึกษา ชี้ความสำเร็จในการขนส่งวัคซีนโควิด-19 ต้องมาจากความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน

ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส เผยรายงานการศึกษา ชี้ความสำเร็จในการขนส่งวัคซีนโควิด-19 ต้องมาจากความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน

กรุงเทพฯ, 5 ตุลาคม 2563 – ดีเอชแอล ผู้ให้บริการขนส่งระดับโลก ร่วมมือกับแมคคินซีย์แอนด์คอมปะนี พันธมิตรด้านการวิเคราะห์ เผยแพร่รายงานเรื่องการจัดการการขนส่งวัคซีนและอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้มีประสิทธิภาพในระหว่างการแพร่ระบาดของโควิด-19 และรับมือวิกฤตด้านภัยสุขภาพในอนาคต โดยจากการคาดการณ์ว่าจะมีการใช้วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เป็นครั้งแรกในไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 นับเป็นความท้าทายของผู้ให้บริการลอจิสติกส์ที่ต้องเตรียมจัดตั้งระบบซัพพลายเชนเพื่อสาธารณสุขขึ้นอย่างฉับพลันเพื่อให้สามารถขนส่งวัคซีนที่คาดว่าจะมีจำนวนมากกว่า 1 หมื่นล้านโดสได้ทั่วโลก

ปัจจุบัน ทั่วโลกมีการพัฒนาและทดสอบวัคซีนมากกว่า 250 ชนิด บน 7 แพลตฟอร์มการผลิต ในขณะที่วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ได้พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว วัคซีนบางประเภทจำเป็นต้องเก็บในอุณหภูมิที่กำหนดอย่างเคร่งครัด (ต่ำกว่า -80 °C) เพื่อคงประสิทธิภาพระหว่างการขนส่งและเก็บรักษาที่คลังสินค้า จากทั่วไปที่ระบบซัพพลายเชนเพื่อการแพทย์สามารถจัดระบบการขนส่งและควบคุมอุณหภูมิระหว่างการขนส่งวัคซีนที่อุณหภูมิ 2–8 °C โดยประมาณ จึงเป็นความท้าทายใหม่ในวงการลอจิสติกส์ในยุคปัจจุบัน

ในรายงานการศึกษานี้ ดีเอชแอลได้ประเมินแล้วว่าจะสามารถจัดการการขนส่งวัคซีนหรือผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนไหวด้านอุณหภูมิในระดับสูงให้มีประสิทธิภาพได้อย่างไรเพื่อร่วมป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งนี้ ขอบเขตการศึกษาอยู่ในวงกว้าง เพราะการจะสร้างซัพพลายเชนที่รองรับการขนส่งเพื่อรับมือกับการควบคุมการแพร่ระบาดนี้ ต้องครอบคลุมความสามารถในการขนส่งวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 สำหรับคนทั่วโลก คิดเป็นการจัดส่งชิปเมนต์บนพาเลทกว่า 200,000 พาเลท จัดส่งในกล่องควบคุมความเย็นกว่า 15 ล้านกล่อง และขนส่งผ่านเครื่องบินขนส่งสินค้ากว่า 15,000 เที่ยวบิน

“วิกฤตโควิด-19 เกิดขึ้นและมีผลกระทบในวงกว้างอย่างคาดไม่ถึง ภาครัฐ ภาคธุรกิจรวมถึงอุตสาหกรรม
ลอจิสติกส์ต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วกับความท้าทายใหม่นี้ ในฐานะผู้นำระดับโลกด้านลอจิสติกส์ เราจึงอยากจะแบ่งปันประสบการณ์ในการปฏิบัติงานท่ามกลางวิกฤตด้านสุขอนามัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ครั้งนี้ เพื่อพัฒนากลยุทธ์สำหรับโลกที่ไร้พรมแดนและเชื่อมต่อกันมากยิ่งกว่าเคย” คัทยา บุสช์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายธุรกิจ ดีเอชแอล กล่าว “เพื่อปกป้องชีวิตให้ปลอดภัยจากโรคระบาด หน่วยงานรัฐบาลจึงได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในด้านซัพพลายเชนเพื่อสาธารณสุข ไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ดีเอชแอลได้แสดงให้เห็นแล้วว่าการวางแผนที่ครอบคลุม รวมถึงความร่วมมือด้านซัพพลายเชนที่มีประสิทธิภาพมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง ในขณะที่ภาครัฐทำหน้าที่จัดสรรอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จำเป็นในภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขอย่างที่ได้เกิดขึ้นนี้”

การจัดการวิกฤตด้านสาธารณสุขในอนาคตต้องเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน

ตั้งแต่โรคโควิด-19 แพร่ระบาด ความต้องการอุปกรณ์การแพทย์พุ่งสูงขึ้นมาก จากข้อมูลของยูนิเซฟระบุว่า ปีนี้ ยูนิเซฟสรรหาหน้ากากอนามัยและถุงมือสำหรับใช้ในการแพทย์มากกว่าปี 2562 ถึง 100 เท่าและ 2,000 เท่า ตามลำดับ การจัดหาอุปกรณ์การแพทย์จากแหล่งต่างๆ กันมาให้บุคลากรทางการแพทย์ใช้งานกลายเป็นภารกิจสำคัญในช่วงต้นของการจัดการรับมือโรคระบาดใหญ่สำหรับภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) ที่ประสบความท้าทายอย่างหนักในเชิงลอจิสติกส์ขาเข้าเนื่องจากโรงงานผลิตกระจุกตัวอยู่แหล่งเดียว พื้นที่ขนส่งทางอากาศที่จำกัด และความท้าทายเรื่องการตรวจสอบคุณภาพระหว่างการนำเข้าสู่ประเทศ ในอนาคต หากเกิดวิกฤตด้านสาธารณสุขขึ้นอีก การเตรียมกลยุทธ์และโครงสร้างในการจัดการวิกฤตด้านสาธารณสุขที่ครอบคลุมจะช่วยสร้างอุปทานด้านการแพทย์ที่แข็งแกร่งได้ จากรายงานการศึกษาระบุว่ากลยุทธ์และโครงสร้างดังกล่าวจำเป็นต้องตั้งขึ้นมาจากหน่วยงานรัฐบาล โดยภาครัฐและเอกชนต้องให้ความร่วมมือกัน

“ทั่วโลกต่างกำลังเร่งผลิตวัคซีนให้สำเร็จโดยเร็ว และวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 จำนวนหนึ่งได้เริ่มเข้าสู่กระบวนการทดลองขั้นสุดท้าย วัคซีนเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการปกป้องมนุษย์จากโรคระบาดใหญ่อย่างโควิด-19 และที่สำคัญไม่แพ้กัน คือการมีระบบซัพพลายเชนที่มีประสิทธิภาพที่สามารถเอื้อให้การขนส่งวัคซีนครอบคลุมทุกพื้นที่ในโลกภายในเวลาอันรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ห่างไกลหรือยากจะเข้าถึง โดยที่ต้องคงประสิทธิภาพของวัคซีนอย่างสมบูรณ์ในระหว่างการขนส่ง ในฐานะผู้ให้บริการลอจิสติกส์ระหว่างประเทศ ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรสมีความมุ่งมั่นให้บริการเพื่อเชื่อมต่อผู้คนและยกระดับคุณภาพชีวิตโดยการทำหน้าที่ในภาคธุรกิจ พัฒนาระบบการขนส่งให้สามารถจัดส่งวัคซีนและอุปกรณ์ทางการแพทย์ไปยังผู้รับปลายทางที่จำเป็นต้องใช้ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก” เฮอร์เบิต วงศ์ภูษณชัย กรรมการผู้จัดการ ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ประเทศไทยและหัวหน้าภาคพื้นอินโดจีนกล่าว

จากรายงานการศึกษาเรื่องการปรับตัวของลอจิสติกส์ในภาวะโรคระบาดใหญ่ ชี้ให้เห็นถึงความร่วมมือของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาขีดความสามารถในการปรับตัวของลอจิสติกส์เพื่อการขนส่งทางการแพทย์ท่ามกลางภาวะโรคระบาดใหญ่ ดีเอชแอลนำเสนอกรอบความร่วมมือของบริษัทลอจิสติกส์กับหน่วยงานต่าง ๆ ภาครัฐ องค์กรไม่แสวงผลกำไร รวมถึงอุตสาหกรรมชีววิทยาศาสตร์ กรอบความร่วมมือนี้จะช่วยกำหนดมาตรการเพื่อควบคุมให้ระบบซัพพลายเชนแข็งแกร่งและปลอดภัยมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นอกเหนือจากแผนรับมือภาวะฉุกเฉินแล้ว กรอบความร่วมมือหมายรวมถึงเครือข่ายความร่วมมือ โครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพที่แข็งแกร่งด้านลอจิสติกส์และความโปร่งใสของซัพพลายเชนผ่านระบบไอที ท้ายที่สุดต้องมีหน่วยงานฉุกเฉินที่มีอำนาจสั่งการเพื่อลงมือทำสิ่งสำคัญภายในระยะเวลาตัดสินใจอันสั้น

ดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็มเรื่องการปรับตัวของลอจิสติกส์ในภาวะโรคระบาดใหญ่ได้ที่นี่ https://www.dhl.com/pandemic-resilience หรือติดตามความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการขนส่งระหว่างประเทศได้ที่เฟซบุ๊ค DHL Express Thailand ขนส่งด่วนระหว่างประเทศ


 

Exit mobile version