Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เผยโฉมโซลูชั่นสำหรับ AI ดาต้าเซ็นเตอร์ เพื่อรับมือกับความท้าทายด้านพลังงานและความยั่งยืน

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ด้านการบริหารจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ เร่งผลักดันโซลูชั่นดาต้าเซ็นเตอร์ที่พร้อมรองรับ AI ได้ครบวงจร ด้วยการเปิดตัวโซลูชั่นใหม่เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายเร่งด่วนด้านพลังงานและความยั่งยืน ที่เกิดจากความต้องการด้านระบบ AI ที่เติบโตแบบก้าวกระโดด

ประกาศเรื่องแรกคือการเปิดตัวการออกแบบอ้างอิงใหม่สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ (New data center reference design) ซึ่งเป็นการพัฒนาร่วมกับ NVIDIA รองรับการระบายความร้อนด้วยของเหลว และคลัสเตอร์ AI ที่มี high-density ได้สูงสุดถึง 132 กิโลวัตต์ต่อแร็ค การออกแบบใหม่นี้ มีการประยุกต์ให้เหมาะกับชิป GB200 NVL72 และ Blackwell ของ NVIDIA โดยช่วยลดความซับซ้อนในกระบวนการวางแผนและการติดตั้ง ด้วยสถาปัตยกรรมที่ผ่านการพิสูจน์และรับรอง ซึ่งตอบโจทย์ความท้าทายเฉพาะในการใช้ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวในสเกลใหญ่

นอกจากนี้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังเปิดตัว ยูพีเอสรุ่นใหม่  Galaxy VXL มี high-density สูง ในรูปทรงที่กะทัดรัดที่สุดในอุตสาหกรรม โดยยูพีเอสแบบ high-density ตัวนี้ ออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งาน AI ดาต้าเซ็นเตอร์และเวิร์กโหลดไฟฟ้าขนาดใหญ่ ซึ่ง Galaxy VXL นี้ช่วยให้สามารถประหยัดพื้นที่ได้ถึง 52% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรม และด้วยความหนาแน่นด้านพลังงานที่สูงถึง 1,042 กิโลวัตต์ ต่อตารางเมตร จึงเป็นยูพีเอสแบบโมดูลาร์ที่ปรับขยายได้ถึง 1.25 เมกะวัตต์ โดยออกแบบมาเพื่อให้พลังงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นในพื้นที่ขนาดเล็กที่มีความหนาแน่นสูง

ทั้งสองนวัตกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของโซลูชั่นดาต้าเซ็นเตอร์ที่รองรับ AI แบบครบวงจรของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่มุ่งเน้น 3 เรื่องหลัก ได้แก่ การพัฒนากลยุทธ์ด้านพลังงานสำหรับยุค AI การปรับใช้โครงสร้างพื้นฐานขั้นสูง และการให้คำปรึกษาด้านความยั่งยืน เพื่อให้ประโยชน์สำหรับเจ้าของและผู้ประกอบการดาต้าเซ็นเตอร์ ในการติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานที่มีความหนาแน่นสูงและประหยัดพลังงาน เพื่อรองรับเวิร์กโหลด AI ได้อย่างยั่งยืนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

“ผลกระทบด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมจาก AI กำลังขยายตัวรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และสิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องลดปริมาณการใช้พลังงานให้น้อยลง ด้วยการหาวิธีการใหม่ๆ เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนจากดาต้าเซ็นเตอร์และโครงสร้างพื้นฐานระบบดิจิทัล” ปานกาจ ชาร์มา รองประธานบริหาร กลุ่มดาต้าเซ็นเตอร์ และเครือข่าย ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าว “ที่ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เรามุ่งมั่นที่จะก้าวข้ามขีดจำกัด ด้วยการยกระดับมาตรฐานใหม่ และกำหนดทิศทางอนาคตของ AI ควบคู่กับการปกป้องสิ่งแวดล้อม ซึ่งต้องอาศัยกลยุทธ์ที่ครอบคลุมตั้งแต่ระบบกริด ไปจนถึงชิป เครื่องทำความเย็น และอื่นๆ อีกมากมาย”

การเป็นพันธมิตรกับ NVIDIA

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้พัฒนาการออกแบบอ้างอิงด้านดาต้าเซ็นเตอร์ล่าสุดร่วมกับ NVIDIA โดยรองรับคลัสเตอร์ AI ที่ใช้ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลว พร้อมทั้งแก้ปัญหาท้าทายในการติดตั้งระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวในสภาพแวดล้อมดาต้าเซ็นเตอร์ประเภท Hyperscale, Colocation และ Enterprise โดยเฉพาะ

การออกแบบอ้างอิงนี้ สร้างจากความร่วมมือระหว่างสองบริษัท โดยให้ทางเลือกทั้งสำหรับระบบกระจายของเหลวหล่อเย็น (Liquid-to-liquid Coolant Distribution Units หรือ CDUs) ไปยังจุดต่างๆ ของระบบระบายความร้อน และระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวหล่อเย็นให้ไหลผ่านโดยตรงไปยังชิป (Direct-to-Chip) ซึ่งเป็นจุดที่มีความร้อนสูง นอกจากนี้ยังแบ่งปันแผนงานด้านกลไกการทำงานและระบบไฟฟ้าอย่างครบถ้วน เพื่อให้มั่นใจถึงการดำเนินงานของ AI ดาต้าเซ็นเตอร์ ในอนาคตที่มีประสิทธิภาพด้านพลังงานและยั่งยืนมากยิ่งขึ้น

การออกแบบดังกล่าว พัฒนาขึ้นโดยใช้เครื่องมือด้านซอฟต์แวร์ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค เช่น Ecodial และ EcoStruxure™ IT Design CFD โดยสามารถปรับแต่งให้ตรงกับความต้องการเฉพาะด้านเวิร์กโหลด AI ขณะเดียวกันยังช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถใช้ประโยชน์จากการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนและให้ประสิทธิภาพด้านพลังงานสูงสุดสำหรับการใช้งานแบบ high-density

การสร้างอนาคตของการประมวลผลแบบเร่งความเร็ว และ AI จำเป็นต้องอาศัยความเร็วและระบบโครงสร้างที่มั่นคง” เจนเซนหวง ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ NVIDIA กล่าว “ความร่วมมือของเรากับ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ช่วยให้ลูกค้าสามารถออกแบบนวัตกรรมเทคโนโลยีของโลกบนโครงสร้างพื้นฐานที่เสถียรและมีความยืดหยุ่น เรากำลังร่วมกันสร้างศูนย์ข้อมูล AI ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการประมวลผลแบบเร่งความเร็ว รองรับสถาปัตยกรรมที่ซับซ้อน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการส่งมอบระบบอัจฉริยะทางดิจิทัลให้กับทุกบริษัทและทุกอุตสาหกรรม”

โซลูชั่น AI ดาต้าเซ็นเตอร์ แบบครบวงจร

การประกาศเปิดตัวนวัตกรรมเหล่านี้ นับเป็นการตอกย้ำความมุ่งมั่นของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในการสร้างโซลูชั่นดาต้าเซ็นเตอร์แบบครบวงจร ให้ความยั่งยืน และพร้อมรองรับ AI อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อช่วยลูกค้าลดการปล่อยคาร์บอนจากโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทุกที่ทั่วโลก โดยเน้นที่ 3 ประเด็นสำคัญ ได้แก่

กลยุทธ์พลังงานสำหรับยุค AI: ชไนเดอร์ อิเล็คทริค สนับสนุนบริษัทต่าง ๆ ในการจัดหาพลังงานหมุนเวียนและเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิตพลังงานไฟฟ้าในสถานที่ได้อย่างเหมาะสม ด้วยแหล่งพลังงานที่หลากหลาย เช่น ลม แสงอาทิตย์ และไฮโดรเจน โดยให้บริการหลากหลาย เช่น การเลือกสถานที่ และการวิเคราะห์ภูมิศาสตร์ตามแผนการติดตั้งของลูกค้า รวมถึงสนับสนุนการผลิตพลังงานในสถานที่ผ่าน AlphaStruxure ซึ่งช่วยให้มั่นใจถึงความรวดเร็วในการออกสู่ตลาด ความน่าเชื่อถือ ความยืดหยุ่น และความยั่งยืนของแหล่งพลังงานที่เลือกใช้

โซลูชั่นโครงสร้างพื้นฐานขั้นสูง ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้พัฒนาพอร์ตโฟลิโอที่ครอบคลุมระบบโครงสร้างพื้นฐานที่มีความหนาแน่นสูง และประหยัดพลังงาน เพื่อรองรับความต้องการด้าน AI ที่เกินกว่า 100 กิโลวัตต์ ต่อแร็ค ซึ่งรวมถึงส่วนประกอบโครงสร้างพื้นฐานของดาต้าเซ็นเตอร์ตั้งแต่กริดไปจนถึงชิป และจากชิปไปจนถึงชิลเลอร์ รวมถึงซอฟต์แวร์บริหารจัดการพลังงาน และการมอนิเตอร์ระยะไกลด้วยขุมพลังของ AI และการบริการด้านดิจิทัลสำหรับเพิ่มประสิทธิภาพตลอดวงจรการทำงานของระบบเหล่านี้

Galaxy VXL UPS รุ่นใหม่ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่เปิดตัวในวันนี้ เป็นผลิตภัณฑ์ล่าสุดที่เสริมเข้ามาในสายผลิตภัณฑ์ด้านระบบโครงสร้างพื้นฐานขั้นสูงที่ครบวงจรของบริษัทฯ

นอกจากนี้ เพื่อรับมือกับอุณหภูมิที่สูงขึ้นจากเวิร์กโหลดที่มี high-density สูง ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เพิ่งลงนามในข้อตกลงเพื่อเข้าซื้อหุ้นส่วนใหญ่ใน Motivair Corporation ซึ่งจะช่วยเสริมสายผลิตภัณฑ์ด้านการระบายความร้อนด้วยของเหลวของบริษัทและเสริมความเชี่ยวชาญในระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวแบบ Direct-to-Chip และโซลูชั่นความร้อนที่มีความจุสูง

ให้ประสิทธิภาพและความยั่งยืน ธุรกิจที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ช่วยลูกค้าลดคาร์บอนได้เกินเป้าหมายด้วยกลยุทธ์ความยั่งยืนที่ปรับให้เหมาะต่อความต้องการเฉพาะ รวมถึงการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และโปรแกรมการมีส่วนร่วมกับซัพพลายเออร์ โดยบริการให้คำปรึกษาระดับโลกเหล่านี้ ยังให้ข้อมูลเชิงลึกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลผ่าน EcoStruxure Resource Advisor และได้รับการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญ 2,400 ราย ในกว่า 100 ประเทศ

เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของ AI

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังสนับสนุนแนวทางที่ยึดตามหลักวิทยาศาสตร์ในการ ‘bend the curve’ ซึ่งเป็นการลดการใช้พลังงาน หัวใจสำคัญของแนวทางนี้คือการนำ ‘ความฉลาดด้านพลังงานสำหรับ AI ที่ยั่งยืน’ มาช่วย ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เชื่อว่าสามารถบรรลุเป้าหมายนี้ได้ ด้วยการผสานโครงสร้างพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลเข้ากับการดำเนินงานที่ขับเคลื่อนด้วย AI

วิธีนี้นอกจากจะช่วยให้อุตสาหกรรมต่างๆ ลดการปล่อยคาร์บอนจากการใช้พลังงานของ AI แล้ว ยังเป็นการนำความสามารถของ AI มาช่วยในการตรวจสอบและให้ข้อมูลเชิงลึก เสมือนเป็นเครื่องมือที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนในวงกว้างได้อีกด้วย การบรรลุวิสัยทัศน์นี้ต้องอาศัยความมุ่งมั่นร่วมกันในการติดตั้งโซลูชั่นที่ให้ความยั่งยืนและใช้ศักยภาพของ AI มาช่วยขับเคลื่อนประสิทธิภาพในทุกภาคส่วน
“ภายในปี 2027 คาดว่าการใช้พลังงานไฟฟ้าของดาต้าเซ็นเตอร์จะคิดเป็น 2.5% ของความต้องการพลังงานทั่วโลก โดยส่วนที่เหลือ 97.5% จะกระจายอยู่ตามอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น อาคาร ภาคการผลิต ภาคขนส่ง และภาคพลังงาน” นายฌอน เกรแฮมกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิจัย ด้าน Cloud to Edge Datacenter Trends จาก IDC กล่าว “ในขณะที่ดาต้าเซ็นเตอร์ต่างมุ่งสู่เป้าหมายการเป็น Net Zero ท่ามกลางการเติบโตอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน คำมั่นสัญญาด้านความยั่งยืนที่แท้จริงอยู่ที่การใช้ AI เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนในห่วงโซ่คุณค่าทั้งหมดในอุตสาหกรรมต่างๆ ดังที่ชไนเดอร์ อิเล็คทริค และ NVIDIA ได้ให้เห็นว่าความร่วมมือในระยะยาว และนวัตกรรม คือสิ่งจำเป็นในการขับเคลื่อนประสิทธิภาพและความยั่งยืน”

ข้อมูลเพิ่มเติมด้านการออกแบบอ้างอิง ที่พัฒนาร่วมกับ NVIDIA ในยูพีเอสรุ่น Galaxy VXL หรือ โซลูชั่นดาต้าเซ็นเตอร์ที่พร้อมสำหรับ AI แบบครบวงจร เยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. จัดงานวันรวมน้ำใจชาว มจพ. ประจำปี 2568 “66 ปี มจพ. ผู้นำนวัตกรรม สู่พลังสร้างสรรค์ ผลักดันเศรษฐกิจไทย”

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) จัดงานวันรวมน้ำใจชาว มจพ. “66 ปี มจพ. ผู้นำนวัตกรรม สู่พลังสร้างสรรค์ ผลักดันเศรษฐกิจไทยเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ครบรอบ 66 ปี ในวันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568 พร้อมกับประกาศเกียรติคุณศิษย์เก่าดีเด่นคณาจารย์และนักศึกษาผู้มีผลงานดีเด่นสร้างชื่อเสียงในระดับนานาชาติผู้ปฏิบัติงานดีเด่นรวมทั้งผู้มีคุณูปการแก่มหาวิทยาลัยด้านต่างๆกิจกรรมมีดังนี้

ภาคเช้า ศ.ดร. ธานินทร์  ศิลป์จารุ รักษาการแทนอธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) เป็นประธานในพิธีทำบุญตักบาตร โดยมี ศ.ดร. ธีรวุฒิ บุณยโสภณ นายกสภามหาวิทยาลัย พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและบุคลากร ร่วมในพิธีทำบุญถวายภัตตาหารเช้าและตักบาตรอาหารแห้งพระสงฆ์ จำนวน 19 รูป

ภาคสาย ศ.ดร. ธีรวุฒิ บุณยโสภณ นายกสภา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) เป็นประธานในพิธีรำลึกถึงทวาปูชนียาจารย์ ศาสตราจารย์ ดร.บุญญศักดิ์ ใจจงกิจ และ Dipl. Ing Karl Stützle อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญชาวเยอรมัน และเป็นผู้ก่อตั้ง ผู้บุกเบิกมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือในนามเทคนิคไทยเยอรมัน.ดร. ธานินทร์  ศิลป์จารุ รักษาการแทนอธิการบดี มจพ. กล่าวคำระลึกถึงทวาปูชนียาจารย์ และ รศ.ดร.ณัฐพงศ์ มกระธัช รองอธิการอธิการบดีฝ่ายพัฒนามหาวิทยาลัยเพื่อความยั่งยืน กล่าวรายงาน

ภาคบ่าย พลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข  องคมนตรี ประธานในพิธีประกาศเกียรติคุณศิษย์เก่าดีเด่น มจพ.” และมอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้แก่ศิษย์เก่าดีเด่น จำนวน 35 ราย โดยมี ผศ.ดร.ทักษิณ  แสงสุวรรณ กล่าวรายงาน

ภาคค่ำ พลอากาศเอก ชลิต พุกผาสุข  องคมนตรี เป็นประธานกล่าวเปิดงานวันรวมน้ำใจชาว มจพ. “66 ปี มจพ.  ผู้นำนวัตกรรม  สู่พลังสร้างสรรค์  ผลักดันเศรษฐกิจไทย  พร้อมด้วยผู้แทนเอกอัครราชทูตเยอรมนี ประจำประเทศไทย และผู้แทนเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส ประจำประเทศไทย ชมวีดิทัศน์  “66 ปี มจพ.  ผู้นำนวัตกรรม  สู่พลังสร้างสรรค์  ผลักดันเศรษฐกิจไทยมอบโล่ประกาศเกียรติคุณ ให้แก่ บุคคลเกียรติยศ มจพ. ประจำปี 2567 และรับชมการแสดง  โดย นักศึกษาชมรมศิลปการแสดง การแสดงดนตรีสากล โดย วงดนตรีประดู่แดง  ตามลำดับ      

ขวัญฤทัย ข่าว / สมเกษ ถ่ายภาพ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค นำจัดงาน Innovation Day เปิดตัว MasterPacT MTZ Active เบรกเกอร์ขุมพลังดิจิทัล

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค นำทีมโดย นายเผดิมศักดิ์ รัตนเรืองศักดิ์ (กลาง) รองประธานฝ่ายธุรกิจ เพาเวอร์ โพรดักส์ ดูแลกลุ่มคลัสเตอร์ ไทย ลาว และเมียนมา  ได้จัดงาน Innovation Day เปิดตัว MasterPacT MTZ Active เซอร์กิตเบรกเกอร์มาพร้อมขุมพลังแห่ง IoT รุ่นใหม่ล่าสุด ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบไฟฟ้า ยกระดับความปลอดภัยและความยั่งยืน มาพร้อม Energy Reduction Maintenance Setting (ERMS) ภายในตัว ช่วยปกป้องอันตรายจากประกายไฟ ที่อาจเกิดกับเจ้าหน้าที่บำรุงรักษา และด้วยการออกแบบที่ใช้งานง่ายของชุดควบคุม ช่วยให้การตั้งค่าฟังก์ชั่นการป้องกันทั้งหมดสะดวกขึ้น รวมถึงเรื่องของกระแสไฟฟ้า การทดเวลา และการแจ้งเตือน อีกทั้งตอกย้ำความมุ่งมั่นด้านการคิดค้นนวัตกรรมของชไนเดอร์ อิเล็คทริค งานนี้ได้รับความสนใจจากผู้เข้าร่วมงานจำนวนมาก อาทิ ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมพลังงาน และพันธมิตรทางธุรกิจ โดยงานมีขึ้น ณ QUARTIER CineArt, ชั้น 4, ศูนย์การค้า EmQuartier เมื่อเร็วๆ นี้


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. เปิดตัว มินิบัสไฟฟ้าสำหรับระบบขนส่งสาธารณะระบบรอง

.ดร.ธานินทร์  ศิลป์จารุ อธิการบดี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ประธานพิธีแถลงข่าวเปิดตัวรถมินิบัสไฟฟ้า สำหรับระบบขนส่งสาธารณะระบบรอง  (Electric Mini Bus Prototype for Feeder Public Transport System)  พร้อมด้วย ศ.ดร.สมฤกษ์ จันทรอัมพร รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย  รศ.ดร.กัมปนาท เทียนน้อย ผู้อำนวยการสำนักวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวรายงานและวัตถุประสงค์ของโครงการ   และ ผศ.ดร.ชินวุธ พิพัฒน์ภานุกูล  ผอ. กลุ่มภารกิจพัฒนาวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และ ผู้แทนบริษัท เชิดชัย คอร์ปอเรชั่น จำกัด ร่วมพิธี  ในวันที่ 13 กุมภาพันธ์   2568  ณ ห้องประชุม   Cloud 9  ชั้น 9  อาคารสำนักวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มจพ.

โครงการวิจัยมินิบัสไฟฟ้าสำหรับระบบขนส่งสาธารณะระบบรอง  ได้รับทุนสนับสนุนจาก กองทุนส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ประจำปีงบประมาณ พ.. 2566 จัดสรรโดย สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) และมี บริษัท เชิดชัย คอร์ปอเรชั่น จำกัด  หน่วยงานเข้าร่วมโครงการ     

สำหรับรถมินิบัสไฟฟ้าคันนี้ มีขนาด 7 เมตร จำนวน 18 ที่นั่ง รองรับการใช้บริการของผู้พิการ สามารถวิ่งได้ระยะทาง 100 กิโลเมตรต่อการประจุไฟฟ้า 1 ครั้ง ด้วยความเร็วสูงสุด 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีความเร็วเฉลี่ยอยู่ที่ 40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และที่สำคัญ สามารถรองรับการอัดประจุไฟฟ้าได้ 3 รูปแบบ ได้แก่ DC , AC  และแบบไร้สาย พัฒนาขึ้นโดยทีมวิจัย มจพ. นำโดย ผศ.ดร.ชัยยุทธ์ สัมภวะคุปต์ ภาควิชาเทคโนโลยีวิศวกรรมเครื่องต้นกำลัง วิทยาลัยเทคโนโลยีอุตสาหกรรม พร้อมด้วย ผู้ร่วมวิจัย รศ.ดร.กัมปนาท เทียนน้อย รศ. ดร.ธวัชชัย วงศ์ช่าง ผศ.ดร.วัลลภ กิติสาธร ผศ.ดร.ธีรวัฒน์ คลับคล้าย อ.ดร. วัยอาจ สายคง และ อ.ดร. สุนทรโอษฐงาม

สำหรับเป้าหมายของทีมวิจัยที่มีต่อผลงานชิ้นนี้ มุ่งหวังให้เกิดการใช้ประโยชน์รถมินิบัสไฟฟ้าอย่างแท้จริง เช่น การให้บริการสำหรับบุคลากร เจ้าหน้าที่ และนักศึกษาของ มจพ. ที่ต้องการใช้บริการในเส้นทางที่กำหนด เพื่อเดินทางไปกลับ ระหว่าง มจพ. กับจุดหยุดรถที่เชื่อมต่อกับแนวเส้นทางวิ่งของโครงการรถไฟฟ้า หรือการต่อยอดในเชิงพาณิชย์ ให้เกิดการเพิ่มสัดส่วนการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าในภาคขนส่งสาธารณะมากขึ้นทั่วประเทศ เพื่อให้คนไทยได้ใช้ชีวิตประจำวันที่สะดวกสบายยิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยส่งเสริมการใช้ Local Content ลดการนำเข้าผลิตภัณฑ์จากต่างประเทศ ส่งเสริมให้เกิดอุตสาหกรรมการผลิตรถโดยสารไฟฟ้าในประเทศ ซึ่งเป็นการสร้างมูลค่าและต่อยอดอุตสาหกรรมเดิมของประเทศไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ได้อย่างยั่งยืน


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

การ์ทเนอร์เผยรายได้ชิปทั่วโลกปี 2567 เติบโต 18% และคาดว่าปี 2568 จะมีรายได้รวมสูง 705 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

กรุงเทพฯ ประเทศไทย, 10 กุมภาพันธ์ 2568 – การ์ทเนอร์เผยรายได้อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกในปี 2567 มีมูลค่ารวมอยู่ที่ 626 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 18.1% จากปี 2566 พร้อมคาดการณ์ว่าในปีนี้จะมีมูลค่าเพิ่มเป็น 705 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

จอร์จ บร็อคเคิลเฮิร์ส รองประธานฝ่ายวิจัยการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “ชิป GPUs และโปรเซสเซอร์ AI ที่ใช้ในแอปพลิเคชันของดาตาเซ็นเตอร์ (สำหรับ Servers และ Accelerator Cards) เป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในปีที่ผ่านมา โดยความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับงาน AI และ generative AI ทำให้ดาตาเซ็นเตอร์กลายเป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับสอง รองจากสมาร์ทโฟน ทำให้ในปี 2567 รายได้เซมิคอนดักเตอร์ในกลุ่มดาตาเซ็นเตอร์มีมูลค่ารวมที่ 112 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก 64.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2566″

ผลการดำเนินงานด้านบวกของตลาดโดยรวมส่งผลต่อการจัดอันดับผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์หลายราย โดยมีผู้ผลิต 11 รายที่เติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก และมีเพียง 8 ราย จาก 25 อันดับแรกที่มีรายได้ลดลงในปีที่ผ่านมา 

Samsung Electronics กลับมาครองอันดับหนึ่ง

ในปี 2567 การ์ทเนอร์พบว่าผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ 9 จาก 10 อันดับแรกนั้นมีรายได้เติบโตเป็นบวก และการจัดอันดับ Top 10 มีการเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา (ดูตารางที่ 1) 

  • Samsung Electronics กลับมาครองอันดับ 1 แทน Intel และเพิ่มช่องว่างระหว่างกันมากขึ้นในปี 2567 โดยบริษัทฯ ได้แรงหนุนมาจากการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของราคาอุปกรณ์หน่วยความจำหรือ Memory Devices ส่งผลให้มีรายได้รวมที่ 66.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
  • Intel เลื่อนมาอยู่อันดับ 2 เนื่องจากผลิตภัณฑ์ของบริษัทในกลุ่ม AI PCs และ Core Ultra Chipset ไม่เพียงพอที่จะชดเชยความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ AI accelerator รวมถึงการเติบโตในธุรกิจ x86 ที่ยังมีไม่มากนัก ส่งผลให้รายได้เซมิคอนดักเตอร์ของ Intel เติบโตเล็กน้อยเพียง 0.1% ในปี 2567
  • NVIDIA ยังคงมีผลการดำเนินงานโดดเด่น บริษัทฯ มีรายได้เซมิคอนดักเตอร์เพิ่มขึ้น 84% ในปี 2567 คิดเป็นมูลค่ารวม 46 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 3 ด้วยความแข็งแกร่งของธุรกิจ AI

 

ตารางที่ 1. 10 อันดับรายได้ผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก ปี 2567 (หน่วย: ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)

2024 Rank 2023 Rank Vendor 2024 Revenue 2024 Market Share (%) 2023 Revenue 2024-2023 Growth (%)
1 2 Samsung Electronics 66,524 10.6 40,942 62.5
2 1 Intel 49,189 7.9 49,117 0.1
3 5 NVIDIA 45,988 7.3 25,053 83.6
4 6 SK hynix 42,824 6.8 23,027 86.0
5 3 Qualcomm 32,358 5.2 29,225 10.7
6 12 Micron Technology 27,843 4.4 16,123 72.7
7 4 Broadcom 27,641 4.4 25,613 7.9
8 7 AMD 23,948 3.8 22,307 7.4
9 8 Apple 18,880 3.0 18,052 4.6
10 9 Infineon Technologies 16,001 2.6 17,022 -6.0
    Others (outside top 10) 274,775 43.9 263,483 4.3
    Total Market 625,971 100.0 529,964 18.1

ที่มา: การ์ทเนอร์ (กุมภาพันธ์ 2568)

 

ในปี 2568 ชิป HBM จะมีสัดส่วนเป็น 19.2% ของรายได้จากชิปกลุ่ม DRAM โดยเพิ่มจาก 13.6% ในปีที่แล้ว

รายได้จากหน่วยความจำ (Memory) เติบโต 71.8% ในปี 2567 หรือคิดเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น 25.2% ของยอดขายเซมิคอนดักเตอร์ทั้งหมด ขณะที่รายได้ชิป DRAM เพิ่มขึ้น 75.4% ส่วนรายได้หน่วยความจำประเภท NAND เพิ่มขึ้น 75.7% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยการผลิตหน่วยความจำแบนด์วิดท์สูงหรือ High-Bandwidth Memory (HBM) มีส่วนสำคัญต่อรายได้ของผู้ผลิตชิป DRAM โดยรายได้ชิป HBM มีสัดส่วน 13.6% ของรายได้ชิป DRAM ทั้งหมดในปี 2567

รายได้ Nonmemory เพิ่มขึ้น 6.9% ในปี 2567 คิดเป็นสัดส่วน 74.8% ของรายได้เซมิคอนดักเตอร์ทั้งหมดในปี 2567

“Memory และ AI semiconductors จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตในระยะสั้น โดยการ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าตลาดชิป HBM จะมีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 19.2% ของชิป DRAM ในปี 2568 และคาดว่ารายได้ชิป HBM จะเพิ่มขึ้น 66.3% ในปี 2568 มีมูลค่าแตะ 19.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ” บร็อคเคิลเฮิร์ส กล่าวเพิ่มเติม

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ซิสโก้เปิดตัว ‘AI Defense’ ยกระดับความปลอดภัยให้องค์กรในการปรับเปลี่ยนสู่ AI อย่างมั่นใจ

กรุงเทพฯ – 6 กุมภาพันธ์ 2568 – ซิสโก้ (NASDAQ: CSCO) ผู้นำระดับโลกด้านความปลอดภัยและระบบเครือข่าย เปิดตัว ‘Cisco AI Defense’ โซลูชันบุกเบิกที่ช่วยขับเคลื่อนและปกป้ององค์กรในการใช้งาน AI อย่างปลอดภัย ท่ามกลางความก้าวหน้าของเทคโนโลยี AI ที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดความกังวลด้านความปลอดภัยและภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่ระบบรักษาความปลอดภัยที่มีอยู่ในปัจจุบันยังไม่สามารถรับมือได้  Cisco AI Defense จึงถูกออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อให้องค์กรสามารถพัฒนา นำไปใช้ และรักษาความปลอดภัยของแอปพลิเคชัน AI ได้อย่างมั่นใจ

นายจีทู พาเทล, รองประธานบริหารและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ของซิสโก้ กล่าวว่า “ผู้นำด้านธุรกิจและเทคโนโลยีไม่สามารถละทิ้งความปลอดภัยเพื่อแลกกับความเร็วในการนำ AI มาใช้ และในสภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันสูง ความเร็วคือตัวตัดสินผู้ชนะ  Cisco AI Defense ถูกผสานเข้ากับโครงสร้างพื้นฐานของเครือข่าย พร้อมความสามารถพิเศษในการตรวจจับและป้องกันภัยคุกคามตั้งแต่การพัฒนาไปจนถึงการเข้าถึงแอปพลิเคชัน AI”

ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากความผิดพลาดของ AI นั้นมีความเสี่ยงสูงมาก จากผลสำรวจดัชนีความพร้อมด้าน AI ประจำปี 2567 ของซิสโก้ พบว่ามีเพียง 38% ของผู้ตอบแบบสำรวจในประเทศไทยที่มั่นใจว่ามีความพร้อมอย่างเต็มที่ในการตรวจจับ และป้องกันการแทรกแซง AI ที่ไม่ได้รับอนุญาต ความท้าทายด้านความปลอดภัยยังมีความซับซ้อนและเป็นรูปแบบใหม่ เนื่องจากแอปพลิเคชัน AI นั้นทำงานบนหลายโมเดลและหลายคลาวด์ ช่องโหว่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในระดับโมเดลหรือแอปพลิเคชัน ในขณะที่ความรับผิดชอบกระจายอยู่กับผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ทั้งนักพัฒนา ผู้ใช้งาน และผู้ให้บริการ เมื่อองค์กรเริ่มก้าวไปไกลกว่าการใช้ข้อมูลสาธารณะ และเริ่มฝึกฝนโมเดลด้วยข้อมูลที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง ความเสี่ยงก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น

เพื่อปลดล็อกนวัตกรรมและการนำ AI มาใช้งาน องค์กรต่างๆ จำเป็นต้องมีระบบความปลอดภัยพื้นฐานร่วมที่ปกป้องทั้งผู้ใช้งานและแอปพลิเคชันทุกประเภท  AI Defense ช่วยสนับสนุนการปรับเปลี่ยนองค์กรสู่ AI โดยจัดการกับความเสี่ยงเร่งด่วนสองประการ ได้แก่:

การพัฒนาและปรับใช้แอปพลิเคชัน AI อย่างปลอดภัย: เมื่อ AI กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน องค์กรต่างๆ จะใช้และพัฒนาแอปพลิเคชัน AI เป็นจำนวนหลายร้อยถึงหลายพันแอปพลิเคชัน นักพัฒนาจำเป็นต้องมีชุดมาตรการรักษาความปลอดภัย AI ที่ใช้ได้กับทุกแอปพลิเคชัน  AI Defense ช่วยให้นักพัฒนาทำงานได้รวดเร็วและสร้างมูลค่าเพิ่มมากขึ้น ด้วยการปกป้องระบบ AI จากการโจมตีและควบคุมดูแลการทำงานของโมเดลให้ปลอดภัยในทุกแพลตฟอร์ม (safeguarding model behavior) โดยความสามารถของ AI Defense ประกอบด้วย:

  • การค้นพบ AI: ทีมรักษาความปลอดภัยจำเป็นต้องเข้าใจว่าใครเป็นผู้พัฒนาแอปพลิเคชัน และใช้แหล่งข้อมูลใดในการฝึกฝน   AI Defense สามารถตรวจจับแอปพลิเคชัน AI ทั้งที่ได้รับอนุญาตและไม่ได้รับอนุญาตในระบบคลาวด์ทั้งแบบสาธารณะและส่วนตัว
  • การตรวจสอบโมเดล: การปรับแต่งโมเดลอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ ระบบทดสอบอัตโนมัติจะตรวจสอบโมเดล AI เพื่อหาปัญหาด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้นนับร้อยประการ ทีมทดสอบการเจาะระบบที่ขับเคลื่อนด้วย AI จะระบุช่องโหว่ที่อาจเกิดขึ้น และแนะนำมาตรการป้องกันใน AI Defense ให้กับทีมรักษาความปลอดภัย
  • ความปลอดภัยในขณะทำงาน: การตรวจสอบอย่างต่อเนื่องช่วยป้องกันภัยคุกคามด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้น เช่น การแทรกคำสั่ง (prompt injection) การปฏิเสธการให้บริการ และการรั่วไหลของข้อมูลที่ละเอียดอ่อน

การรักษาความปลอดภัยในการเข้าถึงแอปพลิเคชัน AI: ในขณะที่ผู้ใช้งานเร่งนำแอปพลิเคชัน AI มาใช้ เช่น เครื่องมือสรุปข้อมูลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ทีมความปลอดภัยจำเป็นต้องป้องกันการรั่วไหลของข้อมูล และการแทรกแซงหรือปลอมปนข้อมูลที่เป็นกรรมสิทธิ์ขององค์กร  AI Defense ช่วยเสริมความสามารถให้ทีมรักษาความปลอดภัยด้วย:

  • การมองเห็นภาพรวม (Visibility): แสดงมุมมองแบบครบถ้วนของแอปพลิเคชันที่ใช้ AI ที่พนักงานใช้งาน ทั้งที่ได้รับอนุญาตและไม่ได้รับอนุญาต
  • การควบคุมการเข้าถึง (Access Control): กำหนดนโยบายจำกัดการเข้าถึงเครื่องมือ AI ที่ไม่ได้รับอนุญาตของพนักงาน
  • การป้องกันข้อมูลและภัยคุกคาม (Data and Threat Protection): ปกป้องอย่างต่อเนื่องจากภัยคุกคาม และการสูญหายของข้อมูลที่เป็นความลับ พร้อมปฏิบัติตามกฎระเบียบ

ต่างจากระบบรักษาความปลอดภัยที่ถูกสร้างเฉพาะในแต่ละโมเดล AI ซิสโก้นำเสนอการควบคุมที่สอดคล้องกันสำหรับโลกที่มีหลากหลายโมเดล  AI Defense มีความสามารถในการปรับปรุงตัวเองโดยอัตโนมัติ ใช้โมเดลแมชชีนเลิร์นนิงเฉพาะของซิสโก้ในการตรวจจับปัญหาด้านความปลอดภัยของ AI ที่พัฒนาอยู่ตลอดเวลา โดยอ้างอิงจากข้อมูลภัยคุกคามจาก Cisco Talos ซึ่งลูกค้าของ Splunk ที่ใช้ AI Defense จะได้รับการแจ้งเตือนที่มีข้อมูลเพิ่มเติมจากอีโคซิสเต็มทั้งหมด

AI Defense ผสานรวมเข้ากับระบบข้อมูลที่มีอยู่ได้อย่างราบรื่น เพื่อการมองเห็นและควบคุมที่เหนือชั้น และถูกสร้างขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของ Security Cloud ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มความปลอดภัยแบบข้ามโดเมนที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของซิสโก้ ระบบนี้ใช้ประโยชน์จากจุดบังคับใช้ที่ครอบคลุมของซิสโก้ เพื่อจัดการความปลอดภัย AI ระดับเครือข่ายในรูปแบบที่มีเพียงซิสโก้เท่านั้นที่ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ‘ความแม่นยำ และความน่าเชื่อถือ’ เป็นสิ่งสำคัญในการปกป้องแอปพลิเคชัน AI ขององค์กร และซิสโก้ได้มีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการพัฒนามาตรฐานความปลอดภัย AI ของอุตสาหกรรม รวมถึงมาตรฐานจาก MITRE, OWASP และ NIST

เคนท์ นอเยส, หัวหน้าฝ่ายนวัตกรรม AI และไซเบอร์ระดับโลกของ World Wide Technology กล่าวว่า “การนำ AI มาใช้ทำให้บริษัทต่างๆ ต้องเผชิญกับความเสี่ยงรูปแบบใหม่ที่โซลูชันความปลอดภัยทางไซเบอร์แบบเดิมไม่สามารถรับมือได้  Cisco AI Defense ถือเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญด้านความปลอดภัย AI ด้วยการมอบความสามารถในการมองเห็น AI assets ขององค์กรอย่างครบถ้วน พร้อมการป้องกันจากภัยคุกคามที่พัฒนาอยู่ตลอดเวลา”

Cisco AI Defense เป็นนวัตกรรมด้านความปลอดภัยที่ขับเคลื่อนด้วย AI ล่าสุดจากซิสโก้ ซึ่งรวมถึง Cisco Hypershield โดยจะพร้อมให้บริการในเดือนมีนาคมนี้ เพื่อช่วยองค์กรปกป้องการเปลี่ยนผ่านสู่ AI อย่างปลอดภัย สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเยี่ยมชมได้ที่ cisco.com/go/ai-defense


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม มจพ. รับสมัครนักศึกษาใหม่บัณฑิตศึกษา ระดับปริญญาเอก

ภาควิชาครุศาสตร์ไฟฟ้า คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) รับสมัครนักศึกษาใหม่ ระดับบัณฑิตศึกษา (ปริญาเอก) ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 รายละเอียดดังนี้

หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาวิศวกรรมไฟฟ้าศึกษา (DTE)  หลักสูตรแบบ 2.1  เรียนภาคค่ำ โดยมีโครงสร้างหลักสูตร หน่วยกิตทั้งหมด 51 หน่วยกิต ประกอบไปด้วย 5 รายวิชา และวิทยานิพนธ์ 36 หน่วยกิต มีสาขางานวิจัยด้านต่างๆ ดังนี้ 1) ด้านวิศวกรรมระบบไฟฟ้ากำลัง ( Power System Engineering) 2) ด้านวิศวกรรมระบบควบคุม (Control System Engineering) 3) ด้านวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Engineering) และ 4) ด้านวิศวกรรมโทรคมนาคม (Telecommunication Engineering ) ค่าลงทะเบียนประมาณ 20,000 บาท/ภาคการศึกษา

การรับสมัคร   สมัครออนไลน์ที่ http://grad.admission.kmutnb.ac.th/ApplyLogin รับสมัครตั้งแต่บัดนี้ – 9 มีนาคม 2568 รายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) โทรศัพท์ 0-2555-2000 ต่อ 2405-2417 หรือ ภาควิชาครุศาสตร์ไฟฟ้า คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม  โทรศัพท์ : 02-555-2000 ต่อ 3302

ขวัญฤทัย ข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

Mahidol Industry Partnership Forum: Empowering SMEs for a Sustainable

วันที่ 30 มกราคม 2568 สถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (INT) ร่วมกับ วิทยาลัยนานาชาติ คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ และสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล จัดกิจกรรมสัมมนาผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรม Mahidol Industry Partnership Forum : Empowering SMEs for a Sustainable Tomorrow โดยมี ศาสตราจารย์ นายแพทย์ปิยะมิตร ศรีธรา อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล เป็นประธานเปิดกิจกรรม พร้อมด้วย รองศาสตราจารย์ ดร.วิริยะ เตชะรุ่งโรจน์ ผู้อำนวยการสถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าววัตถุประสงค์ของกิจกรรม และ รองศาสตราจารย์ ดร.ธัญญ์นลิน วิญญูประสิทธิ์ รองผู้อำนวยการสถาบันฯเข้าร่วมงานณห้องแกรนด์บอลรูมศูนย์ประชุมและอาคารจอดรถมหิดลสิทธาคารมหาวิทยาลัยมหิดลศาลายา

โดยในกิจกรรมจะมีการบรรยายให้ความรู้ในหัวข้อ Sustainability as a Game-Changer: Why Thai SMEs Must Act Now (SMEs ไทยพร้อมหรือไม่? กับการขับเคลื่อนด้วยความยั่งยืน”) โดย ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการหัวหน้าสายงานพัฒนาความยั่งยืนตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และการเสวนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากหัวหน้าส่วนงานของมหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญทั้งภายใน ภายนอกมหาวิทยาลัยมหิดล ในหัวข้อต่าง ๆ ดังนี้ หัวข้อ Collaborative Pathways to Sustainability: A Practical Guide for Thai SMEs and Government Partnership (เส้นทางสู่ความยั่งยืน: แนวทางปฏิบัติการสร้างความร่วมมือระหว่าง SMEs ไทยและภาครัฐ) หัวข้อ From Concept to Action: Business Tools and Frameworks for SMEs Sustainable Growth Journey (จากแนวคิดสู่การปฏิบัติ: กรอบการทำงานและเครื่องมือธุรกิจสำหรับ SMEs ในการสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน) หัวข้อ From Compliance to Business Opportunities: Leveraging Environmental Innovation for SMEs Sustainable Growth (จากกฎเกณฑ์สู่โอกาสธุรกิจ: การประยุกต์ใช้นวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของ SMEs) หัวข้อ Riding the Social Wave: How Demographic Shifts and Stakeholder Engagement Create New Business Frontiers for SMEs (โฉมหน้าธุรกิจยุคสังคมเปลี่ยนผ่าน: เมื่อพันธกิจทางสังคมสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ให้ SMEs) หัวข้อ Green Finance for Growth: A Guide to Sustainable Funding Solutions for SMEs (แหล่งทุนสีเขียว โอกาสใหม่ SMEs: การเข้าถึงบริการทางการเงินเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน) และหัวข้อ Silver Economy Reimagined: Business Opportunities through the DEI Lens in Aging Society (เศรษฐกิจผู้สูงวัยมิติใหม่: มองโอกาสธุรกิจผ่านเลนส์ DEI ในสังคมสูงอายุ)

สำหรับกิจกรรมสัมมนา Mahidol Industry Partnership Forum : Empowering SMEs for a Sustainable Tomorrow  จัดโดย งานบริการวิจัยและวิชาการ ศูนย์ร่วมคิดพาณิชย์นวัตกรรม (Mahidol Industry Connection Center : MICC) สถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม ร่วมกับวิทยาลัยนานาชาติ คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ และสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อส่งเสริมและผลักดันผลงานวิจัยของอาจารย์ และนักวิจัยในมหาวิทยาลัยมหิดลให้เป็นที่รู้จักในภาคอุตสาหกรรม และเพิ่มโอกาสในการสร้างเครือข่ายระหว่างมหาวิทยาลัยและผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมอย่างเป็นรูปธรรม ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการได้รับประโยชน์จากการรับรู้ข้อมูล ประสบการณ์จากผู้เชี่ยวชาญ รับทราบข้อมูลจากแหล่งทุน และนำทฤษฎีต่าง ที่ได้เรียนรู้ในงานสัมมนาเป็นแนวทางในการพัฒนาต่อยอดธุรกิจของตนเองเพื่อความยั่งยืนของธุรกิจและของโลก


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

Advice บุกงาน Thailand Mobile Expo 2025 จัดแคมเปญใหญ่ Advice Mobile Fair ทั่วประเทศ

กรุงเทพฯ, 31 มกราคม 2568 – บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด (มหาชน) เดินกลยุทธ์การตลาดปี 2568 ผลักดันสินค้าสมาร์ทโฟนขยายตลาดพร้อมยกระดับเซกเมนต์ตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม เริ่มต้นปีด้วยการร่วมงาน Thailand Mobile Expo 2025 มหกรรมงานแสดงสินค้ามือถือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปี ระหว่างวันที่ 30 ม.ค. – 2 ก.พ. 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ พร้อมกันนี้ยังได้จัดแคมเปญ “Advice Mobile Fair” ผ่านสาขาทั่วประเทศและเว็บไซต์ออนไลน์ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า

นอกจากเป้าหมายและกลยุทธ์ของแอดไวซ์ในปี 2568 ที่มุ่งมั่นบุกตลาดสมาร์ทโฟนมากยิ่งขึ้น ยังมีปัจจัยภายนอกต่าง ๆ ที่มีผลช่วยสนับสนุน จากข้อมูลการวิเคราะห์อุตสาหกรรมค้าปลีกไอทีโดย Krungthai Compass ในด้านแนวโน้มการเติบโตของตลาดในปี 2568 ที่คาดว่าจะมีการเติบโตขึ้น 5.4% และพฤติกรรมผู้บริโภคที่มองหาสมาร์ทโฟนที่รองรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ รวมไปถึงคุณภาพของเครื่องที่คุ้มค่าและสามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้น ซึ่งสอดรับกับแผนการขยายเซกเมนต์กลุ่มลูกค้าที่กว้างขึ้นและการเพิ่มไลน์สินค้าครบทุกระบบปฏิบัติการ (OS) ทั้ง iOS, Windows, Android ทำให้ศักยภาพในการแข่งขันและการเติบโตของแอดไวซ์มีมากขึ้นจากปี 2567 ที่ผ่านมา และในปี 2568 นี้แอดไวซ์ยังเข้าร่วมงาน Thailand Mobile Expo 2025 และจัดงาน Advice Mobile Fair ที่หน้าสาขาและออนไลน์ เพื่อตอกย้ำความสำเร็จและสนองการตอบรับที่ดีของลูกค้าจากการจัดงานครั้งก่อน 

คุณณัฏฐ์ ณัฐนิธิการัชต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การเริ่มต้นในปี 2025 นี้ แอดไวซ์ตั้งใจรุกตลาดสมาร์ทโฟนผ่านกลยุทธ์ที่หลากหลาย ซึ่งการเข้าร่วมงาน Thailand Mobile Expo ในครั้งนี้เราได้ขยายไลน์สินค้าภายในงานให้ครอบคลุมมากขึ้นทั้ง iOS, Androids และ Windows เพื่อเป็นการยกระดับและตอกย้ำภาพการให้บริการที่ครอบคลุมทุกประเภทของสินค้า พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับลูกค้าทุกคนที่มางาน Thailand Mobile Expo นอกจากนี้แอดไวซ์ยังเพิ่มการเข้าถึงสินค้าและโปรโมชั่นให้แก่ลูกค้าที่ไม่สะดวกมาที่งานด้วยการจัดแคมเปญ Advice Mobile Fair ทั่วประเทศรวมถึงออนไลน์ โดยเรามุ่งมั่นที่จะสร้างการเข้าถึงและการส่งมอบสินค้าเพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์การใช้บริการที่ดีที่สุด ในฐานะผู้นำที่มีศักยภาพด้านการบริการที่ครอบคลุมทุกความต้องการ ทุกไลฟ์สไตล์ และทุกกลุ่มเป้าหมาย”

คุณชนัญญา จัยสิน ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า “งาน Thailand Mobile Expo ครั้งนี้ เราตั้งใจยกระดับการบริการลูกค้าให้ดียิ่งขึ้นด้วยพื้นที่ให้บริการขณะรอรับสินค้าอย่าง Experience Hub ซึ่งภายในพื้นที่จะมีการให้บริการโดยพนักงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านสินค้าให้คำปรึกษาและแนะนำการใช้งานสินค้า รวมถึงนำเสนอฟีเจอร์การใช้งานที่ลูกค้าให้ความสนใจและยังแนะนำอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ที่ช่วยให้ลูกค้าใช้งานสินค้าได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งเรามองว่านอกจากแอดไวซ์จะสามารถตอบโจทย์ด้านสินค้าแล้ว ถ้าเราสามารถตอบโจทย์อินไซท์ของลูกค้าได้มากยิ่งขึ้นด้วยคำแนะนำและประสบการณ์การใช้งานที่ครบถ้วนจะเป็นการสร้างความแตกต่างและประโยชน์สูงสุดในการใช้งานสำหรับลูกค้าทุกคน เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สะดวกสบายและคุ้มค่าที่สุด 

งาน Thailand Mobile Expo 2025 แอดไวซ์ได้เตรียมโปรโมชั่นพิเศษมากมาย อาทิ:

  • ช้อป 3,000 บาทขึ้นไป ผ่อน 0% นานสูงสุด 48 เดือน รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 18,000 บาท
  • ช้อปมือถือ 3,990 บาท ขึ้นไป แถมฟรีฟิล์ม 3  ชิ้น ติดฟรียกแก๊งค์!!*
  • บัตรประชาชนใบเดียวก็ผ่อนสินค้าได้ ผ่อนสบายนานสุด 48 เดือน
  • มือถือเครื่องเก่ามีค่า นำมาแลกส่วนลดพิเศษที่ Advice
  • ร่วมเล่นกิจกรรม “Advice Wonderland” รับส่วนลดสูงสุด 2,000 บาท
  • เพิ่มเพื่อน LINE OA : AdviceClub ในงาน รับส่วนลดเพิ่ม 1,000 บาท
  • สินค้าในงานลดสูงสุด 90% สูงสุด 13,000 บาท
  • ช้อปสมาร์ทโฟนรุ่นที่ร่วมรายการรับสิทธิ์แลกซื้ออุปกรณ์เสริมลด 30%
  • นาทีทอง : ทุกวันลดสูงสุด 70% (17.00 และ 19.00)
  • จัดเต็มสินค้า Notebook และ Desktop / All in one Clearance ราคาพิเศษ
  • ช้อปง่ายได้ลดหย่อนกับ Easy E-Receipt 2.0
  • เปิดเบอร์กับ AIS รับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 2,000 บาท

สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมงาน Thailand Mobile Expo 2025 สามารถพบกับบูธแอดไวซ์ได้ที่ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ระหว่างวันที่ 30 ม.ค. – 2 ก.พ. 68 ในส่วนแคมเปญ Advice Mobile Fair จะจัดขึ้นพร้อมกันที่สาขา Advice กว่า 90 สาขาทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 30 ม.ค. – 3 ก.พ. 68 ประกอบด้วย 

รายละเอียดโปรโมชั่นงาน Advice Mobile Fair ผ่านทางหน้าร้านสาขา Advice กว่า 90 สาขาทั่วประเทศ

  • ผ่อน 0% นานสูงสุด 48 เดือน รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 18,000 บาท
  • ช้อปมือถือ 3,990 บาท ขึ้นไป แถมฟรีฟิล์ม 3  ชิ้น ติดฟรียกแก๊งค์!!*
  • บัตรประชาชนใบเดียวก็ผ่อนสินค้าได้ ผ่อนสบายนานสุด 48 เดือน
  • มือถือเครื่องเก่ามีค่า นำมาแลกส่วนลดพิเศษที่ Advice
  • สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ลดทั้งร้านสูงสุด 13,000 บาท
  • ช้อปสมาร์ทโฟนรุ่นที่ร่วมรายการรับสิทธิ์แลกซื้ออุปกรณ์เสริมลด 30%
  • ช้อปง่ายได้ลดหย่อนกับ Easy E-Receipt 2.0
  • เปิดเบอร์กับ AIS รับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 2,000 บาท

รายละเอียดโปรโมชั่นงาน Advice Mobile Fair (ช่องทางออนไลน์)

  • ผ่อน 0% นานสูงสุด 36 เดือน รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 18,000 บาท
  • Flash Sale ลดสุดคุ้มสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ลดทั้งเว็บสูงสุด 12,000 บาท
  • ช้อปสมาร์ทโฟนรุ่นที่ร่วมรายการรับสิทธิ์แลกซื้ออุปกรณ์เสริมลด 30%
  • ช้อปมือถือ 3,990 บาท ขึ้นไป แถมฟรีฟิล์ม 3  ชิ้น ติดฟรียกแก๊งค์!!*
  • ช้อปง่ายได้ลดหย่อนกับ Easy E-Receipt 2.0

เกี่ยวกับบริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด (มหาชน)

บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด (มหาชน) ผู้นำศูนย์รวมอุปกรณ์ไอทีและสมาร์ทโฟนครบวงจรที่มีสาขาครอบคลุมทั่วประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว พร้อมเป็นที่ปรึกษาทางด้านไอที “แอดไวซ์ ศูนย์รวมไอที สมาร์ทโฟน จำหน่ายและซ่อม | ครบ | จบในที่เดียว” สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ Facebook, Youtube, Line, IG, Twitter และ Tiktok: AdviceClub, Call Center 1491 หรือคลิก www.advice.co.th


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

อุตสาหกรรมอาหารและวัตถุดิบไทยขยายตัว รับส่งออกไทยทะลุเป้า อินฟอร์มา มาร์เก็ต เดินหน้ายกงาน ProPak Asia 2025 เป็นเวทีการค้าสำคัญของภูมิภาค

ภาครัฐเผยตัวเลขส่งออกไทยปี 67 ทะลุ 300,529.5 ล้านดอลลาร์ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ คาดปี 68 ผ่าคลื่นสถานการณ์โลกโตได้อีก 2-3% ด้าน อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ เผยอุตสาหกรรมอาหารไทยกลุ่มอาหารแช่แข็งและแปรรูปยังเป็นดาวรุ่ง พร้อมเดินหน้ายกระดับงาน ProPak Asia 2025 เป็นเวทีการค้าและเจรจาธุรกิจสำคัญสำหรับภาคเอกชนในอุตสาหกรรมอาหารระดับภูมิภาค ด้านผู้เชี่ยวชาญและบริษัทชั้นนำร่วมจัดแสดงนวัตกรรมเทคโนโลยีอุตสาหกรรมการผลิตและแปรรูปอาหารล่าสุด คาดปีนี้ผู้เข้าร่วมงานมากกว่า 80,000 คน มูลค่าเจรจาการค้าทะลุ 5,500 ล้านบาท

นายสรรชาย นุ่มบุญนํา ผู้จัดการทั่วไป อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย กล่าวถึงแนวโน้มและทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารไทยในปีที่ผ่านมา (ปี 2567) เป็นปีที่อุตสาหกรรมอาหารไทยมีการฟื้นตัวขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม สอดคล้องกับข้อมูลของ สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ ที่ล่าสุดเผยว่าการส่งออกไทยปี 2567สามารถส่งออกได้ 300,529.5 ล้านดอลลาร์ ถือว่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ มีการขยายตัวถึง 5.4% โดยการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัว 6.0% โดยสินค้าเกษตรขยายตัว 10.7% และสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัว 6.7% ส่วนปี 2568 นั้น ภาพรวมของสถานการณ์โลกยังอยู่บนความไม่แน่นอน จากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศของโลก แต่อย่างไรก็ตามยังมีสัญญาณเชิงบวกของปัจจัยทางเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นการเติบโตของ GDP โลกที่คาดว่าจะโตประมาณ 2.7% เศรษฐกิจในอาเซียนซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญของไทยที่คาดว่าจะขยายตัวได้ดี อัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มลดลงและความต้องการสินค้าเกษตรเพื่อเป็นวัตถุดิบและบริโภคที่เพิ่มขึ้น โดยสินค้ากลุ่มอาหารที่ขยายตัวได้ดี อาทิ ไก่สดแช่เย็นและแปรรูป อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ผลไม้สดแช่แข็งและแห้ง อาหารสัตว์เลี้ยง อาหารสำเร็จรูป ผลไม้กระป๋องและแปรรูป ฯลฯ

อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการต้องมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิต โดยใช้งานวิจัย นวัตกรรมและเทคโนโลยีสมัยใหม่มายกระดับสินค้าให้มีมาตรฐานและความปลอดภัยที่สูงขึ้น เพิ่มคุณค่าทางโภชนาการและพัฒนาอาหารแห่งอนาคต เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคสมัยใหม่ รวมถึงจำเป็นต้องมีกระบวนการผลิตและการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน เพื่อพัฒนาสู่เศรษฐกิจเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (BCG) ซึ่งจะสอดรับกับนโยบายภาครัฐที่เดินหน้าหาตลาดการค้าใหม่ๆ และทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศและเขตเศรษฐกิจใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งล่าสุดได้มีการทำข้อตกลง FTA  กับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป หรือเอฟตา (EFTA) เป็นผลสำเร็จและยังมีการเร่งเจรจา FTA อีกหลายฉบับ อาทิ FTA ไทย-สหภาพยุโรป (EU) / ไทย-เกาหลีใต้ / ไทย-ภูฏาน / ไทย – สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) / อาเซียน – แคนาดา โดยทั้งหมดจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการส่งออกและภาคอุตสาหกรรมอาหารของไทย

ในส่วนของ อินฟอร์มา มาร์เก็ตส์ ประเทศไทย ผู้จัดงาน ProPak Asia งานแสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยี เครื่องจักรและโซลูชั่นในกระบวนการผลิต การแปรรูป บรรจุภัณฑ์ ฯลฯ ที่ครอบคลุมทั้งอุตสาหกรรมอาหาร อาหารแปรรูป เครื่องดื่ม บรรจุภัณฑ์ ฯลฯ ชั้นนำของเอเชียนั้น ได้มีการยกระดับการจัดงาน ProPak Asia 2025 ให้มีความสำคัญในการเป็นเวทีความร่วมมือทางธุรกิจ การเจรจาการค้า การลงทุน การสร้างพันธมิตรธุรกิจ รวมถึงเป็นประตูเชื่อมต่ออุตสาหกรรมแปรรูปและผลิตอาหารของภูมิภาค ในการนำเสนอ ถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนความรู้ นวัตกรรม เทคโนโลยีล่าสุดของโลกสู่ผู้ประกอบการ

สำหรับแนวคิดการจัดงาน ProPak Asia 2025 ครั้งนี้ คือ “เส้นทางสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนในอุตสาหกรรมการแปรรูปและบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืน” (Carbon-Neutral Pathways to Sustainable Processing and Packaging Ecosystem) ที่ต้องการมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาแนวทางหรือกลยุทธ์ที่มุ่งลดหรือชดเชยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เท่ากับศูนย์ (Carbon Neutral) ในทุกกระบวนการของการผลิต การแปรรูปและการบรรจุภัณฑ์ โดยคำนึงถึงความยั่งยืนในระยะยาวไม่ว่าจะเป็นการลดการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิต การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การจัดการของเสียและวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ด้วยการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่หรือรีไซเคิลได้ การสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อร่วมกันลดการปล่อยคาร์บอนในทุกส่วน 

ดังนั้นงาน ProPak Asia 2025 จึงไม่ได้เป็นเพียงการจัดงานแสดงสินค้าที่นำเสนอเพียงโซลูชันล้ำสมัย จากบริษัทผู้ผลิตเทคโนโลยีและนวัตกรรมชั้นนำระดับโลก ด้านการผลิตและแปรรูป ผู้ผลิตวัตถุดิบ ผู้ออกแบบและผลิตบรรจุภัณฑ์ ฯลฯ รวมถึงผู้เชี่ยวชาญจากทุกส่วนของอุตสาหกรรมฯ แต่ยังช่วยสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนของอุตสาหกรรมการผลิตในภูมิภาคและเป็นช่องทางสร้างโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานจากทั่วโลกได้พบกับพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ ๆ ผ่านการเข้าร่วมงานในปีนี้ 

งาน ProPak Asia 2025 มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11-14 มิถุนายน 2568 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ ผู้สนใจรายละเอียดการจัดงานและต้องการลงทะเบียนล่วงหน้าเพื่อเข้าชมงาน ProPak Asia 2025 สามารถลงทะเบียนได้ที่ www.propakasia.com 


 

Exit mobile version