Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

DHL มองเห็นโอกาสใหม่ในประเทศไทยผ่าน ‘Strategy 2030’ พร้อมยืนยันพันธกิจในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทย

กรุงเทพฯ, 4 มีนาคม 2568 – ดีเอชแอล (DHL) บริษัทโลจิสติกส์ชั้นนำของโลก ประกาศความมุ่งมั่นต่อประเทศไทยผ่านกลยุทธ์ ‘Strategy 2030 – Accelerate Sustainable Growth’ พร้อมโอกาสในการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสำคัญของภูมิภาค ขณะที่ธุรกิจจำนวนมากกำลังมุ่งสร้างซัพพลายเชนอันยืดหยุ่นที่สามารถรับมือวิกฤตการณ์และมีประสิทธิภาพในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

ในประเทศไทย DHL ทั้งสี่หน่วยธุรกิจให้บริการโลจิสติกส์อย่างเต็มรูปแบบ ได้แก่ DHL eCommerce, DHL Express, DHL Global Forwarding และ DHL Supply Chain  ช่วยให้ภาคธุรกิจไทยสามารถเข้าถึงเครือข่ายและโซลูชันระดับโลกของ DHL ในฐานะพันธมิตรโลจิสติกส์ที่ให้บริการแบบครบวงจร กลยุทธ์ ‘Strategy 2030’ ของ DHL มุ่งตอบสนองต่อ 5 เมกะเทรนด์สำคัญที่กำลังเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจของไทย ได้แก่ การค้าโลก อีคอมเมิร์ซ ความยั่งยืน การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และการพัฒนาของแรงงาน

แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงในภาคอุตสาหกรรมเหล่านี้จะนำมาซึ่งความท้าทายใหม่ๆ แต่ด้วยการดำเนินงานที่แข็งแกร่งและเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วโลกของ DHL ทำให้บริษัทสามารถคว้าโอกาสสำคัญในการทำให้ธุรกิจเติบโต นอกเหนือจากเมกะเทรนด์ดังกล่าว DHL ยังมองเห็นโอกาสในการเติบโตของประเทศไทยที่สำคัญดังต่อไปนี้:

ปัจจัยเกื้อหนุนจากการกระจายฐานการผลิต

DHL จะต่อยอดจากเครือข่ายระดับโลกอันแข็งแกร่งและความเชี่ยวชาญในท้องถิ่น เพื่อใช้ประโยชน์จากปัจจัยเกื้อหนุนจากการกระจายฐานการผลิต ซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของเส้นทางการค้าที่เติบโต การปรับตัวของซัพพลายเชนทั่วโลกให้สนับ และความต้องการของธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วทั่วโลก

แม้ว่าเวียดนามและอินโดนีเซียจะได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในด้านการกระจายฐานการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านซัพพลายเชน แต่ศักยภาพการผลิตที่แข็งแกร่งของไทยในภาคยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ได้สร้างความได้เปรียบให้กับประเทศ กระทรวงพาณิชย์รายงานว่าการส่งออกของไทยเติบโตถึง 5.4% ตลอดปี 2567 ซึ่งนับเป็นยอดส่งออกที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของประเทศ

ตลาดสำคัญอย่างสหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรปเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเติบโต โดยสหราชอาณาจักรกำลังก้าวขึ้นมาเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงสำหรับภาคธุรกิจไทย

พลังงานใหม่

การเปลี่ยนแปลงในภาคพลังงานหมุนเวียนและอุตสาหกรรมยานยนต์จำเป็นต้องมีโซลูชันโลจิสติกส์เฉพาะทาง ซึ่ง DHL มองเห็นโอกาสสำหรับประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐในการดึงดูดผู้ผลิตจากต่างประเทศให้เข้ามาตั้งฐานการผลิตในประเทศ

โซลูชันที่ครอบคลุมซัพพลายเชนด้านยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ของ DHL จะช่วยสนับสนุนให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ได้ถึง 30% ของปริมาณการผลิตยานยนต์ทั้งหมดภายในปี 2573

อีคอมเมิร์ซ

ภาคอีคอมเมิร์ซของประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยสมาคมผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย (Thailand E-commerce Association) คาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดจะเติบโตจาก 26,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2566 เป็น 32,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2568 ซึ่งสะท้อนอัตราการเติบโตที่ประมาณ 21% ในช่วงสองปี เทียบเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้น (CAGR) ที่ประมาณ 10% อีกทั้ง DHL ยังมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนภาคธุรกิจ SME ที่เติบโตของไทย ซึ่งประกอบด้วยผู้ประกอบการกว่า 3.2 ล้านราย และมีส่วนสำคัญในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ คิดเป็น GDP ถึง 35%

ความสำเร็จของแบรนด์อย่าง Gentlewoman และ Fairtex แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของแบรนด์ไทยในการใช้ประโยชน์จากโซลูชันโลจิสติกส์แบบครบวงจรของ DHL เพื่อขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ การผสานเครือข่ายระดับโลกของ DHL เข้ากับความเชี่ยวชาญในท้องถิ่น เสริมสร้างขีดความสามารถให้ธุรกิจไทยแข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพในตลาดระดับสากล

โครงการสำคัญอย่าง GoTrade ของ DHL ได้พัฒนาศักยภาพให้แก่ผู้ประกอบการ SME กว่า 9,000 รายทั่วโลก สำหรับประเทศไทย DHL Express ได้พัฒนาโครงการนี้ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐที่สำคัญ อาทิ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (OSMEP) เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการไทยก้าวสู่โอกาสทางการค้าระหว่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกเหนือจากการสนับสนุนด้านการค้าระหว่างประเทศแล้ว DHL ยังมีบทบาทสำคัญในการเสริมศักยภาพให้กับผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-retailers) ธุรกิจ SME และแบรนด์ต่างๆ ในการขยายตลาดภายในประเทศไทย ผ่านบริการขนส่งที่น่าเชื่อถือ มีมาตรฐาน คุณภาพสูง ในราคาที่คุ้มค่าของ DHL eCommerce   ความมุ่งมั่นในการให้บริการที่เป็นเลิศของ DHL ทำให้มั่นใจได้ว่าธุรกิจทุกขนาดและทุกภาคส่วนจะสามารถเติบโตและประสบความสำเร็จในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงและขับเคลื่อนด้วยดิจิทัลมากขึ้น

DHL ยืนยันพันธกิจระยะยาวที่มีต่อประเทศไทย

DHL แสดงให้เห็นถึงพันธกิจระยะยาวที่มีต่อประเทศไทยผ่านเครือข่ายการดำเนินงานที่ครอบคลุม และการลงทุนอย่างต่อเนื่องในโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาศักยภาพบุคลากร ปัจจุบัน DHL มีบุคลากรรวมกว่า 9,300 คน จากทั้งสี่หน่วยธุรกิจที่ให้บริการในประเทศไทย

ปัจจุบัน DHL Supply Chain บริหารจัดการพื้นที่คลังสินค้ากว่า 678,000 ตารางเมตร ครอบคลุมมากกว่า 70 แห่ง รวมถึงในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ด้วยเครือข่ายการขนส่งที่ครอบคลุมทำให้บริษัทสามารถจัดการการขนส่งได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยรถขนส่งกว่า 4,800 คัน ปัจจุบันบริษัทกำลังลงทุนพัฒนาคลังสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น และมีแผนขยายการใช้รถขนส่งไฟฟ้า (EV) เพิ่มขึ้น 300% ในอีกสามปีข้างหน้า

DHL Express บริหารเครือข่ายการบินและภาคพื้นดินที่แข็งแกร่ง ประกอบด้วยศูนย์กระจายสินค้าระดับภูมิภาค (regional hub) ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ศูนย์บริการ 15 แห่ง และจุดให้บริการทั้งที่เป็นเจ้าของเองและผ่านพันธมิตร 131 แห่ง ทั้งหมดนี้รองรับการจัดส่งด่วนระหว่างประเทศแบบถึงมือผู้รับ มีเครื่องบินขนส่งสินค้าระหว่างประเทศให้บริการ 85 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ โดยศูนย์บริการทั้งหมด 100% ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตพลังงานหมุนเวียน

DHL Global Forwarding มีความเชี่ยวชาญด้านบริการจัดการการขนส่งสินค้าทางอากาศ ทางทะเล ทางรางรถไฟ และทางถนน ด้วยสำนักงาน 7 แห่ง และคลังสินค้า 3 แห่ง รวมพื้นที่ 8,480 ตารางเมตรทั่วประเทศไทย DHL Global Forwarding ให้บริการลูกค้ากว่า 2,000 ราย ศูนย์ DHL International Multimodal Hub แห่งใหม่เป็นการลงทุนสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางการค้าของภูมิภาค ศูนย์นี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการขนส่ง โดยช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่างรูปแบบการขนส่งต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น และลดความซับซ้อนของพิธีการศุลกากรในจุดเดียว นอกจากนี้ ยังเป็นศูนย์เชื่อมต่อที่สำคัญให้กับประเทศเพื่อนบ้านที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล เช่น ประเทศลาว ด้วยทางเลือกการขนส่งที่หลากหลาย

DHL eCommerce มีเครือข่ายการจัดส่งครอบคลุมทั่วประเทศอย่างกว้างขวาง ประกอบด้วยศูนย์กระจายสินค้าปลายทาง 151 แห่ง ยานพาหนะกว่า 2,000 คัน และจุดให้บริการกว่า 230 แห่ง ทำให้สามารถให้บริการได้อย่างทั่วถึง พร้อมทั้งบริการจัดส่งถึงมือผู้รับภายในวันถัดไปสูงถึง 97% ของพื้นที่ทั่วประเทศ ด้วยความมุ่งมั่นในการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง DHL eCommerce ลงทุนในโซลูชันที่ทันสมัยเพื่อยกระดับคุณภาพการบริการที่แตกต่างให้แก่ผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-retailers) ธุรกิจ SME แบรนด์ต่างๆ และลูกค้าองค์กร โดยมีแผนปรับปรุงศูนย์กระจายสินค้าครั้งใหญ่ในปี 2569 เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

ผู้นำด้านโลจิสติกส์ที่ยั่งยืน: ผู้ให้บริการโลจิสติกส์สีเขียวที่เป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งของลูกค้า

ด้วยเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปี 2593 DHL แสดงความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืนในประเทศไทยผ่านโครงการริเริ่มที่ครอบคลุมทั้ง 4 หน่วยธุรกิจ โดยทุกหน่วยธุรกิจได้นำยานยนต์ไฟฟ้า (EV) มาใช้ในการดำเนินงานของตน

DHL Express Thailand เป็นผู้บุกเบิกในฐานะผู้ให้บริการโลจิสติกส์ด่วนระหว่างประเทศรายแรกที่นำจักรยานยนต์ไฟฟ้าและ EV มาใช้ในประเทศไทย บริษัทสามารถปรับเปลี่ยนยานพาหนะเป็น EV ได้ 21% คิดเป็น EV มากกว่า 50 คัน ซึ่งใช้ในการเข้ารับและจัดส่งสินค้า นอกจากนี้ DHL Express ยังสนับสนุนให้ลูกค้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในขอบเขตที่ 3 ผ่านการใช้เชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน (SAF) ผ่านบริการ GoGreen Plus

DHL Supply Chain ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการให้บริการโลจิสติกส์สีเขียวผ่านการขนส่งที่ยั่งยืนมากขึ้น ด้วยการนำรถขนส่งไฟฟ้า (EV) กว่า 30 คัน มาใช้งานโดยร่วมมือกับลูกค้าในภาคธุรกิจค้าปลีก สินค้าอุปโภคบริโภค และภาคยานยนต์ พร้อมกันนี้ยังดำเนินโครงการ Certified GoGreen Specialist ซึ่งได้ฝึกอบรมพนักงานของ DHL Supply Chain ไปแล้วกว่า 80% นอกจากนี้ บริษัทกำลังดำเนินการตามแนวทางการบริหารคลังสินค้าที่ยั่งยืน โดยวางแผนพัฒนาคลังสินค้าที่ใช้พลังงานหมุนเวียน 100% แห่งแรกของประเทศไทยในปี 2568

DHL Global Forwarding แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาการขนส่งทางถนนอย่างยั่งยืนมากขึ้นทั่วภูมิภาคเอเชีย ผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ การขนส่งหลายรูปแบบ และการใช้ EV โดยคาดการณ์ว่า EV ที่ใช้ในประเทศไทยจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 85,000 กิโลกรัมต่อปี  DHL Global Forwarding เป็นผู้นำนวัตกรรมโลจิสติกส์ที่ยั่งยืนผ่านบริการ GoGreen Plus ด้วยการนำเสนอทางเลือกในการลดการปล่อยคาร์บอนผ่านการใช้เชื้อเพลิงทางทะเลและการบินที่ยั่งยืน ช่วยให้ลูกค้าสามารถลดการปล่อยคาร์บอนได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกเส้นทางการค้า

DHL eCommerce ได้นำ EV มาใช้ในเส้นทางรับส่งระหว่างศูนย์กระจายสินค้าในกรุงเทพฯ และพื้นที่เขตเมือง ทั้งนี้ บริษัทมีแผนที่จะนำรถบรรทุกไฟฟ้าสำหรับการขนส่งระยะสั้นมาใช้ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 นอกจากนี้ยังตั้งเป้าหมายที่จะปรับเปลี่ยนยานพาหนะขนส่งปลายทางในกรุงเทพฯ ให้เป็น EV จำนวน 50% ภายในระยะเวลาสองปี

ข้อความจากผู้บริหาร

เกียรติชัย พิตรปรีชา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DHL eCommerce เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “ภาคอีคอมเมิร์ซของไทยยังมีแนวโน้มการเจริญเติบโตที่ดี DHL มีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางอนาคตของอุตสาหกรรมนี้ ผ่านการยกระดับมาตรฐานคุณภาพการขนส่งให้ดียิ่งขึ้นและการขับเคลื่อนนวัตกรรมดิจิทัล ด้วยการผสานเครือข่ายการจัดส่งที่ครอบคลุมทั่วประเทศเข้ากับเทคโนโลยีล้ำสมัยและโซลูชันด้านโลจิสติกส์ที่ยั่งยืน เราสามารถส่งเสริมศักยภาพให้ธุรกิจไทยทุกขนาดและทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าองค์กรหรือบุคคลทั่วไป ให้เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในเศรษฐกิจดิจิทัล”

เฮอร์เบิต วงศ์ภูษณชัย กรรมการผู้จัดการ DHL Express ประเทศไทย และหัวหน้าภาคพื้นอินโดจีน กล่าวว่า “เครือข่ายของเราที่ครอบคลุม 220 ประเทศ พร้อมด้วยโครงสร้างพื้นฐานทางอากาศและภาคพื้นดินส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสำคัญของการค้าโลก เราช่วยเพิ่มศักยภาพธุรกิจทุกขนาดในประเทศไทยให้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากโอกาสธุรกิจที่มีทั่วโลก และส่งเสริมอนาคตที่ยั่งยืนผ่านโซลูชันที่เชื่อถือได้และมีประสิทธิภาพ เช่น บริการ GoGreen Plus เราพร้อมเชื่อมต่อประเทศไทยกับทั่วโลกและเปิดตลาดใหม่ให้แก่ธุรกิจไทย”

วินเซนต์ ยอง กรรมการผู้จัดการ DHL Global Forwarding ประเทศไทย กล่าวว่า “การเปิดตัวศูนย์ DHL International Multimodal Hub ที่สนามบินสุวรรณภูมิเมื่อไม่นานมานี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ด้านโลจิสติกส์ของประเทศไทย ในขณะที่ประเทศไทยกำลังเป็นศูนย์กลางการผลิต EV ที่สำคัญของอาเซียนภายในปี 2568 โซลูชันของเรา เช่น เครือข่ายการขนส่งที่หลากหลายแบบบูรณาการ จะช่วยสนับสนุนเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ของประเทศ”

สตีฟ วอล์กเกอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร DHL Supply Chain กลุ่มธุรกิจประเทศไทย กล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลในซัพพลายเชนและโลจิสติกส์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการที่ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตที่สำคัญสำหรับภาคยานยนต์ เทคโนโลยี และอุตสาหกรรมการผลิต ประกอบกับการมีตลาดค้าปลีกในประเทศขนาดใหญ่ เรามีความเชื่อมั่นอย่างยิ่งต่อโอกาสทางธุรกิจ และมุ่งมั่นที่จะสนับสนุนการเติบโตของลูกค้าและความเป็นเลิศด้านซัพพลายเชนในประเทศไทยในอนาคต”


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

การ์ทเนอร์คาดการณ์ อีกสองปีข้างหน้า 40% ของการรั่วไหลข้อมูล AI เกิดจากการใช้ GenAI ข้ามประเทศอย่างไม่เหมาะสม

กรุงเทพฯ ประเทศไทย 5 มีนาคม 2568 – การ์ทเนอร์ อิงค์ คาดว่าภายในปี 2570 ปัญหาข้อมูลรั่วไหลที่เกี่ยวข้องกับ AI มากกว่า 40% เกิดจากการใช้ Generative AI ข้ามประเทศอย่างไม่เหมาะสม

ความนิยมใช้งาน GenAI ในหมู่ผู้ใช้งานทั่วไปเติบโตเร็วเกินกว่าแนวทางการพัฒนาด้านการกำกับดูแลข้อมูลและมาตรการรักษาความปลอดภัย ซึ่งสร้างความกังวลอย่างยิ่งต่อการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลในประเทศ (Data Localization) เนื่องจากต้องใช้พลังการประมวลผลแบบรวมศูนย์ (Centralized Computing) สำหรับรองรับเทคโนโลยีเหล่านี้

Joerg Fritsch รองประธานนักวิเคราะห์ของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “การถ่ายโอนข้อมูลข้ามประเทศโดยไม่ตั้งใจมักเกิดขึ้นเนื่องจากขาดการกำกับดูแลที่ไม่เพียงพอ โดยเฉพาะเมื่อมีการรวม GenAI เข้าไว้ในผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ โดยไม่มีคำอธิบายหรือการประกาศที่ชัดเจน องค์กรต่าง ๆ เริ่มสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในเนื้อหาที่พนักงานสร้างขึ้นผ่านการใช้เครื่องมือ GenAI แม้เครื่องมือเหล่านี้จะสามารถใช้ในแอปพลิเคชันทางธุรกิจที่ได้รับอนุมัติ แต่ก็มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยหากมีการป้อนคำสั่งที่ละเอียดอ่อนไปยังเครื่องมือ AI และ APIs ที่โฮสต์ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ไม่สามารถระบุได้”

ช่องว่างของการกำหนดมาตรฐาน AI ทั่วโลก นำไปสู่การดำเนินงานที่ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ

การขาดแนวปฏิบัติที่ดีและมาตรฐานที่สอดคล้องกันทั่วโลกสำหรับการใช้งาน AI รวมถึงการกำกับดูแลข้อมูล ทำให้เกิดความท้าทายเพิ่มขึ้น และเป็นเหตุให้เกิดการแบ่งแยกตลาด รวมถึงบังคับให้องค์กรต้องพัฒนากลยุทธ์ขึ้นเฉพาะแต่ละภูมิภาค ซึ่งอาจจำกัดความสามารถของการขยายการดำเนินงานไปสู่ระดับโลกและรับประโยชน์จากผลิตภัณฑ์และบริการ AI

“ความซับซ้อนของการจัดการการไหลเวียนข้อมูลและการรักษาคุณภาพตามนโยบาย AI ในแต่ละประเทศนั้นอาจทำให้การดำเนินงานไม่มีประสิทธิภาพ โดยองค์กรต้องลงทุนด้านการกำกับดูแล AI ขั้นสูงและเพิ่มความปลอดภัยเพื่อปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อนพร้อมปฏิบัติตามกฎระเบียบ และความจำเป็นนี้อาจผลักดันให้ตลาดบริการด้านความปลอดภัย การกำกับดูแล และการปฏิบัติตามกฎระเบียบของ AI เติบโตยิ่งขึ้น รวมถึงโซลูชันเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความโปร่งใสและการควบคุมกระบวนการทำงานของ AI” Fritsch กล่าวเพิ่มเติม  

องค์กรต้องรีบดำเนินการก่อนที่การกำกับดูแล AI จะกลายเป็นข้อบังคับของโลก

การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าภายในปี 2570 การกำกับดูแล AI หรือ AI Governance จะกลายเป็นข้อกำหนดของกฎหมายและข้อบังคับ AI ที่มีอำนาจบังคับใช้ทั่วโลก

“องค์กรที่ไม่สามารถนำโมเดลการกำกับดูแลและการควบคุม AI มาใช้ได้อย่างบูรณาการ อาจเสียเปรียบในการแข่งขันได้ โดยเฉพาะองค์กรที่กำลังขาดทรัพยากรเพื่อการขยายกรอบการกำกับดูแลข้อมูลที่มีอยู่ให้ทันการเปลี่ยนแปลง” Fritsch กล่าวเพิ่มเติม 

เพื่อลดความเสี่ยงจากเหตุการรั่วไหลของข้อมูล AI โดยเฉพาะจากการใช้และถ่ายโอนข้อมูล GenAI ข้ามประเทศอย่างไม่เหมาะสม และเพื่อให้เป็นไปตามข้อปฏิบัติตามกฎระเบียบ การ์ทเนอร์แนะนำกลยุทธ์การดำเนินการสำหรับองค์กรไว้ ดังนี้:

  • เพิ่มประสิทธิภาพการกำกับดูแลด้านข้อมูล: องค์กรต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบระหว่างประเทศและตรวจสอบการถ่ายโอนข้อมูลข้ามประเทศโดยที่ไม่ตั้งใจ ด้วยการขยายกรอบการกำกับดูแลข้อมูลให้ครอบคลุมถึงแนวทางสำหรับข้อมูลที่ประมวลผลด้วย AI รวมถึงการประเมินผลกระทบของการสืบย้อนข้อมูลและการถ่ายโอนข้อมูลสำหรับประเมินผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวแบบสม่ำเสมอ 
  • จัดตั้งคณะกรรมการกำกับดูแล: จัดตั้งคณะกรรมการเพื่อเพิ่มการกำกับดูแล AI และมีการสื่อสารที่โปร่งใสเกี่ยวกับการใช้งาน AI และการจัดการข้อมูล โดยคณะกรรมการเหล่านี้ต้องรับผิดชอบการกำกับดูแลทางเทคนิค การจัดการความเสี่ยงและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ พร้อมมีการสื่อสารและการรายงานการตัดสินใจ 
  • เสริมสร้างความปลอดภัยข้อมูล: ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง การเข้ารหัส และการปกปิดตัวตนเพื่อปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อน ตัวอย่างเช่น ตรวจสอบพื้นที่การประมวลผลที่ปลอดภัย หรือ Trusted Execution Environment (TEE) ในตำแหน่งทางภูมิศาสตร์เฉพาะ และใช้เทคโนโลยีการปกปิดตัวตนขั้นสูง เช่น Differential Privacy เมื่อข้อมูลต้องออกจากภูมิภาคเหล่านี้ 
  • ลงทุนในผลิตภัณฑ์ TRiSM: วางแผนและจัดสรรงบประมาณสำหรับผลิตภัณฑ์และความสามารถด้านการจัดการความไว้วางใจ ความเสี่ยง และความปลอดภัย (TRiSM) ที่ปรับแต่งสำหรับเทคโนโลยี AI รวมถึงการกำกับดูแล AI การกำกับดูแลความปลอดภัยข้อมูล การกรองและแก้ไขคำสั่ง และการสร้างข้อมูลที่ไม่มีโครงสร้างแบบสังเคราะห์ การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าภายในปี 2569 องค์กรที่ใช้การควบคุม AI TRiSM จะใช้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือผิดกฎหมายน้อยลงอย่างน้อย 50% พร้อมลดการตัดสินใจผิดพลาด

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

STT GDC ประกาศเริ่มก่อสร้างดาต้าเซ็นเตอร์แห่งที่สามในกรุงเทพฯ

กรุงเทพฯ ประเทศไทย, 3 มีนาคม 2568 — เอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้าเซ็นเตอร์ (ประเทศไทย) หรือ STT GDC Thailand ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ประกาศเริ่มดำเนินการก่อสร้าง STT Bangkok 2 ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งที่สามในประเทศไทย เพื่อรองรับความต้องการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สำคัญในประเทศ โดยดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่นี้เป็นส่วนหนึ่งของ STT Bangkok แคมปัส ที่มีศักยภาพพัฒนากำลังไฟฟ้าได้ถึง 24 เมกะวัตต์ (MW) ผ่านระบบจ่ายไฟจากสองแหล่งจ่าย เพื่อเพิ่มเสถียรของระบบ โดยการก่อสร้างได้เริ่มดำเนินการแล้วและคาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการในไตรมาส 4 ของปี 2569 

คุณสมบัติการประมวลผลยุคใหม่

STT Bangkok 2 ได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับอนาคตของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล สำหรับการประมวลผลยุคใหม่ ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งนี้นำเสนอการติดตั้งระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวหรือ Liquid Cooling ที่มีความเฉพาะ กับการประมวลผลขั้นสูง รวมทั้งสามารถรองรับเวิร์กโหลด AI ที่ต้องการการจัดการความร้อนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น นวัตกรรมการระบายความร้อนแบบไฮบริดที่สามารถรองรับได้ทั้งการระบายความร้อนด้วยอากาศและของเหลวจะช่วยมอบความยืดหยุ่นเพื่อสนับสนุนสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในดาต้าเซ็นเตอร์ ช่วยให้ลูกค้าสามารถเลือกโซลูชันที่ตรงกับความต้องการที่เฉพาะได้

ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อรองรับความต้องการในการประมวลผลที่หลากหลาย ตั้งแต่การใช้งานในปัจจุบันไปจนถึงการประมวลผลความเร็วสูงที่ทันสมัยที่สุด โดยการออกแบบที่ยืดหยุ่นของ STT Bangkok 2 จะช่วยให้ธุรกิจสามารถก้าวทันการเปลี่ยนแปลงของความต้องการด้านการประมวลผลได้อย่างรวดเร็ว

คุณบุศรินทร์ ประดิษฐยนต์ Country Head เอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้าเซ็นเตอร์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า “ดิฉันและทีมงานรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เริ่มการก่อสร้าง STT Bangkok 2 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญและตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของเราที่จะสนับสนุนการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันของประเทศไทย โดยดาต้าเซ็นเตอร์แห่งใหม่ไม่เพียงแต่เพิ่มขีดความสามารถให้กับเราเพื่อตอบสนองความต้องการโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลขั้นสูงที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างความเป็นผู้ให้บริการชั้นนำในภูมิภาค”

การขยายธุรกิจของ STT GDC ในประเทศไทย

การพัฒนา STT Bangkok 2 เป็นองค์ประกอบสำคัญของการขยายธุรกิจเชิงกลยุทธ์ของ STT GDC ในประเทศไทย และขยายความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ไปสู่การพัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์ที่พร้อมรองรับ AI สำหรับตลาดเกิดใหม่ในภูมิภาคเอเชีย โดยโครงการนี้ยังช่วยเสริมสร้างความเป็นผู้นำของบริษัทฯ ในเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำลังพัฒนารวดเร็วในภูมิภาค

“จากการผสานความเชี่ยวชาญระดับโลกเพื่อการพัฒนาและดำเนินการดาต้าเซ็นเตอร์ของ STT GDC เข้ากับประสบการณ์ด้านเวิร์กโหลด AI จะทำให้ STT Bangkok 2 พร้อมตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมที่ต้องการการประมวลผลขั้นสูงและรองรับการขับเคลื่อนด้วย AI” คุณบุศรินทร์ กล่าวเสริม

STT Bangkok 2 เป็นการพัฒนาต่อยอดความสำเร็จมาจาก STT Bangkok 1 ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งแรกของบริษัทฯ ในประเทศไทย ซึ่งเปิดดำเนินการมาตั้งแต่เดือนกันยายน ปี 2564 ด้วยกำลังไฟฟ้าขนาด 22 เมกะวัตต์ เมื่อ STT Bangkok 1 และ STT Bangkok 2 รวมกันแล้วจะกลายเป็นดาต้าเซ็นเตอร์แคมปัสขนาดใหญ่ของ STT Bangkok ที่พร้อมนำเสนอโซลูชันโครงสร้างพื้นฐานที่มีขนาดใหญ่และแข็งแกร่งยิ่งขึ้นให้กับลูกค้า โดยแคมปัสแห่งนี้จะมีกำลังไฟฟ้ารวมกันมากถึง 46 เมกะวัตต์ เพียงพอสำหรับลูกค้าในการขยายศักยภาพการดำเนินงานภายในสถานที่เดียวกันที่ตั้งอยู่บนทำเลยุทธศาสตร์

การขยายแคมปัสนี้ ทำให้ STT GDC Thailand สามารถให้บริการที่ยืดหยุ่นแก่ธุรกิจต่าง ๆ เพื่อสร้างการเติบโตด้านโครงสร้างพื้นฐานไอทีอย่างราบรื่นตามความต้องการที่เปลี่ยนแปลง พร้อมยังรองรับ AI และเปิดกว้างให้เชื่อมต่อกับผู้ให้บริการโครงข่ายแบบเสรี (Carrier-Neutral)

และยังมี STT Bangkok 3 ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งที่ 3 กำลังไฟฟ้าขนาด 2 เมกะวัตต์ และตั้งอยู่ในโครงการ One Bangkok ที่มีชื่อเสียง ด้วยดาต้าเซ็นเตอร์ทั้งสามแห่งนี้ทำให้ STT GDC ยืนหยัดเป็นผู้นำตลาดในประเทศไทย1 อย่างมั่นคง พร้อมรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วสำหรับบริการดาต้าเซ็นเตอร์ระดับสูงในอุตสาหกรรมดิจิทัลของประเทศที่กำลังขยายตัวรวดเร็ว

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ STT Bangkok 2 และบริการของ STT GDC ในประเทศไทย สามารถคลิกเยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์ https://www.sttelemediagdc.com/

บรรยายภาพดาต้าเซ็นเตอร์แคมปัส STT Bangkok ขนาดใหญ่ ที่รวม ดาต้าเซ็นเตอร์สำคัญ – STT Bangkok 1 (ตึกขวามือสุดที่เปิดดำเนินการแล้ว) และ STT Bangkok 2 (ตึกตรงกลางที่กำลังก่อสร้าง)

โดยทั้งหมดจะให้กำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 46MW ตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์เดียวกัน สามารถรองรับการขยายธุรกิจที่มีความต้องการโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้น

เกี่ยวกับ เอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้าเซ็นเตอร์

เอสที เทเลมีเดีย โกลบอล ดาต้าเซ็นเตอร์ (STT GDC) เป็นหนึ่งในผู้ให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ที่เติบโตรวดเร็วที่สุด บริษัทฯ นำเสนอแพลตฟอร์มระดับโลกสำหรับเป็นรากฐานสำคัญของระบบนิเวศดิจิทัลที่ช่วยเชื่อมโลกเข้าด้วยกัน โดย STT GDC เปิดดำเนินงานอย่างครอบคลุมในสิงคโปร์ สหราชอาณาจักร เยอรมนี อินเดีย ไทย เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และเวียดนาม เพื่อขับเคลื่อนอนาคตดิจิทัลที่ยั่งยืนและวางรากฐานที่โดดเด่นเพื่อสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจในทุกที่ ข้อมูลเพิ่มเติม เยี่ยมชมได้ที่เว็บไซต์: https://www.sttelemediagdc.com/


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัว โซลูชั่นสำหรับอาคารขนาดเล็ก และขนาดกลาง

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดตัว EcoStruxure Building Activate โซลูชั่นอัจฉริยะที่ช่วยพลิกโฉมอาคารขนาดเล็กและกลางสู่ Smart & Sustainable Building ด้วยเทคโนโลยี IoT และ AI ในรูปแบบ SaaS ที่ช่วยลดต้นทุนด้านพลังงาน ปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงาน และมอบประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้แก่ผู้ใช้งาน รองรับการบริหารจัดการแบบรวมศูนย์ ครอบคลุมตั้งแต่อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า โรงแรม ไปจนถึงมหาวิทยาลัย พร้อมระบบเปิดที่สามารถผสานการทำงานกับโครงสร้างเดิมได้อย่างราบรื่น ตอบโจทย์อนาคตของอาคารอัจฉริยะอย่างแท้จริง

นายเผดิมศักดิ์ รัตนเรืองศักดิ์ รองประธานฝ่ายธุรกิจ เพาเวอร์ โพรดักส์ ดูแลกลุ่มคลัสเตอร์ ไทย ลาว และเมียนมา ชไนเดอร์ อิเล็คทริค กล่าวว่า “EcoStruxure Building Activate เป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของอาคารสู่ยุคดิจิทัล ด้วยเทคโนโลยี IoT และขับเคลื่อนด้วย AI เราสามารถช่วยให้ลูกค้าลดต้นทุน ยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้งาน และเดินหน้าสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืนได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

EcoStruxure Building Activate เป็นโซลูชั่นการจัดการพลังงานและสินทรัพย์สำหรับอาคารขนาดเล็กและขนาดกลาง ในรูปแบบ Software as a Service (SaaS) ให้ความยืดหยุ่น ช่วยให้มองเห็นความเป็นไปของระบบแบบรวมศูนย์ ช่วยลดความซับซ้อนในการดำเนินงานและการบำรุงรักษา สำหรับอาคารที่ขนาดต่ำกว่า 10,000 ตารางเมตร

  • ใช้งานง่าย: ปรับการดำเนินงานให้เหมาะสมด้วย Interface ที่ใช้งานง่าย การตรวจจับความผิดปกติอัจฉริยะ และรายงานอัตโนมัติ
  • ระบบเปิด: โซลูชั่นโปรโตคอลแบบเปิดที่สามารถรวมเข้ากับหลากหลายระบบอาคารที่มีอยู่อย่างได้อย่างราบรื่น แม้แต่ระบบยี่ห้ออื่น
  • มีความยืดหยุ่น: จัดการอาคารเดี่ยวและกลุ่มอาคารได้มากว่า 100 สาขา ได้ด้วยคุณสมบัติเพิ่มเติมที่สามารถเพิ่มได้ตามการเติบโตของกิจการ
  • ให้ความยั่งยืน:ช่วยลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ด้วยการวัด การจัดการ และการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานเพื่อบรรลุเป้าหมายการลดคาร์บอน

“เราสามารถเปลี่ยนอนาคตของอาคารดั้งเดิมที่ไม่เคยใช้ดิจิทัลเลย ให้เป็น Smart & Sustainable ด้วย EcoStruxure Building Activate อาทิ อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า โรงแรม โรงพยาบาล และมหาวิทยาลัย ที่ต้องการปฏิรูปสู่ Smart Building อย่างเต็มรูปแบบ โดยโซลูชั่นนี้สามารถช่วยให้เจ้าของอาคาร ลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานโดยรวม 

นอกจากนี้ ยังเป็นการเพิ่มมูลค่าด้านอสังหาริมทรัพย์ และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในยุคเศรษฐกิจสีเขียว”นายเผดิมศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. จัดประกวดนวัตกรรม KMUTNB Innovation Awards 2025 ชิงเงินรางวัลนับแสน

สำนักวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ กำหนดจัด งานประกวดสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ประจำปี 2568 (KMUTNB Innovation Awards 2025) เปิดรับสมัครวันที่ 1 – 11 มีนาคม 2568 (เวลา 16:00 .) ชิงเงินรางวัลนับแสน

  การประกวดสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมพระจอมเกล้าพระนครเหนือ จะถูกจัดโชว์ผ่านการจัดแสดงนิทรรศการในรูปแบบออนไลน์ (Virtual Exhibition) ในวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน 2568 ณ ห้อง Cloud 9 ชั้น 9 อาคารสำนักวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มจพ. กรุงเทพฯ ณ ที่เว็บไซต์ https://kmutnb-innoawards.com และนำเสนอผลงานรอบตัดสิน

มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้คณาจารย์นักวิจัยนักศึกษาและนักเรียนตลอดจนประชาชนทั่วไปได้มีเวทีในการแสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์และองค์ความรู้ในการสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์นวัตกรรมและพัฒนาความรู้ความสามารถด้านนวัตกรรมเพี่อความได้เปรียบในการแข่งขันกับนานาประเทศรวมถึงสร้างความตระหนักและความตื่นตัวในการเป็นผู้ประกอบการตลอดจนการบ่มเพาะและเร่งการพัฒนาผู้ประกอบการเพื่อให้เกิดธุรกิจนวัตกรรมรายใหม่สนับสนุนการพัฒนาประเทศไปสู่เศรษฐกิจฐานนวัตกรรมและสังคมฐานความรู้โดยมีรางวัลแบ่งเป็นประเภทต่างๆดังนี้

  1) รางวัลประเภท INNOVATIVE IDEAS (ID) จำนวน 6 รางวัล มูลค่ารวม 60,000 บาท

  2) รางวัลประเภท INNOVATIVE PRODUCTS (IP) จำนวน 6 รางวัล มูลค่ารวม 105,000 บาท

  3) รางวัลพิเศษ Special prize จากผู้สนับสนุนการจัดงาน

  4) รางวัลจากคะแนนโหวตผ่าน Virtual Exhibition

  ขอเชิญนักเรียน นิสิต นักศึกษา หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ที่มีไอเดีย นวัตกรรมสร้างสรรค์ ส่งผลงานเข้าร่วมประกวด ในงานประกวดสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมพระจอมเกล้าพระนครเหนือ ประจำปี 2568 (KMUTNB Innovation Awards 2025) เปิดรับผลงานผ่านช่องทางออนไลน์ได้ที่ https://kmutnb-innoawards.com

  หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  ฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการจัดงานประกวดสิ่งประดิษฐ์และนวัตกรรมพระจอมเกล้าพระนครเหนือ  สำนักวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มจพ. โทรศัพท์ 0-2555-2000 ต่อ 1506, 1548 หรือที่ https://facebook.com/KMUTNBINNO


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

คณะพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรม มจพ. รับสมัครนักศึกษาใหม่ ประจำปีการศึกษา 2568

คณะพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรม สาขาวิชาการพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรมและทรัพยากรมนุษย์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เปิดรับสมัครนักศึกษาใหม่ ประจำปีการศึกษา 2568 หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต ระดับปริญญาตรี ใบที่ 2 โดยรับสมัครผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีทุกสาขา (ยกเว้นสาขาบริหารธุรกิจ) และนักศึกษาที่กำลังศึกษาในระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 4 (ยกเว้นสาขาบริหารธุรกิจ) ที่กำลังจะจบการศึกษาใน ภาคการศึกษาที่ 2/2567 โดยต้องมี Transcript  มายื่นในวันมอบตัว

รายละเอียดหลักสูตรและการรับสมัครดังนี้

หลักสูตรบริหารธุรกิจบัณฑิต ระดับปริญญาตรี ใบที่ 2 สาขาวิชาการพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรมและทรัพยากรมนุษย์ (BBR-D) เรียน 1 ปีการศึกษา (2 ภาคเรียน) และฝึกปฏิบัติงานจริงในสถานประกอบการ 5 เดือน เรียนวันจันทร์ วันพุธ วันศุกร์ นอกเวลาราชการ และวันเสาร์เต็มวัน เปิดรับสมัคร 3 รอบดังนี้

  รอบที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 10 มกราคม ถึง 31 มีนาคม 2568

  รอบที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 1  เมษายน ถึง 20 พฤษภาคม 2568

  รอบที่ 3 ตั้งแต่วันที่ 1  มิถุนายน ถึง 15 มิถุนายน 2568

   รายละเอียดหลักสูตรดูได้ที่เว็บไซต์ https://bid.kmutnb.ac.th/ สามารถสมัครเรียนออนไลน์ได้ที่ https://www.admission.kmutnb.ac.th/หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://lnk.bio/Bid.Kmutnb ฝ่ายวิชาการ ชั้น 2 อาคาร 96  คณะพัฒนาธุรกิจและอุตสาหกรรม มจพ.โทรศัพท์ 0-2555-2000 ต่อ 3813


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

DNB และ อีริคสัน เพิ่มศักยภาพเครือข่าย 5G ของมาเลเซียด้วยเทคโนโลยี 5G Advanced

บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติของประเทศมาเลเซีย หรือ Digital Nasional Berhad: (DNB) และ อีริคสัน ได้เปิดตัวเทคโนโลยี 5G Advanced บนเครือข่ายของ DNB ซึ่งเป็นหนึ่งในเครือข่ายแรกที่เปิดตัวเทคโนโลยีนี้ โดยเทคโนโลยีใหม่นี้ใช้ประสิทธิภาพจาก AI เพื่อยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้ด้วยความหน่วงต่ำพิเศษและรองรับปริมาณงานสูง เพื่อมอบประสบการณ์ที่เสมือนจริง

งานเปิดตัวนี้จัดขึ้นที่ My5G Portal Experience Centre ของ DNB ที่ตั้งอยู่ที่ย่าน Tun Razak Exchange หรือ TRX ศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ที่สำคัญของมาเลเซีย โดยมี นาย YB Gobind Singh Deo รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเป็นประธาน พร้อมด้วยผู้นำจากหน่วยงานรัฐบาลและผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือต่าง ๆ ในงานเปิดตัวเป็นการแสดงสดจากวงดนตรีที่สมาชิกวงอยู่กันสองสถานที่ โดยอาศัยประสิทธิภาพจากความหน่วงที่ต่ำพิเศษ แบนด์วิดธ์ที่สูง และความเสถียรของ 5G Advanced ทำให้วงสามารถเล่นพร้อมกันได้แบบเรียลไทม์ การสาธิตนี้ยังแสดงให้เห็นศักยภาพในการใช้งานด้านอื่น ๆ อาทิ การผ่าตัดทางไกล (Remote Surgery) และการศึกษาผ่านเทคโนโลยีเสมือนจริง (Immersive Education)

5G Advanced เป็นการต่อยอดพัฒนาขึ้นมาจากเครือข่าย 5G ทำให้เครือข่ายสามารถมอบประสบการณ์ให้กับผู้ใช้ได้อย่างสม่ำเสมอและเหนือชั้นในทุกเวลาและสถานที่ และมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมบนเครือข่ายเพื่อให้บรรลุผลลัพธ์ตามต้องการ โดยเครือข่าย DNB ยังได้รับประสิทธิภาพการดำเนินงานตามแนวทาง AI Intent-Based ของอีริคสัน เพื่อสร้างเครือข่ายที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งความก้าวหน้าเหล่านี้สามารถช่วยยกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้และเปิดโอกาสให้เกิดการสร้างสรรค์นวัตกรรมสำหรับผู้บริโภค รวมถึงแอปพลิเคชันทางธุรกิจที่ไม่สามารถทำได้ด้วยเครือข่าย 5G แบบมาตรฐาน

โซลูชัน 5G Advanced ของอีริคสัน เช่น RedCap สามารถรองรับการใช้งานที่หลากหลายมากขึ้น โดยยืดอายุแบตเตอรี่และลดความซับซ้อนในอุปกรณ์ต่าง ๆ อาทิ อุปกรณ์สวมใส่และเซ็นเซอร์อุตสาหกรรม สำหรับภาคธุรกิจ นี่หมายถึงการใช้งาน IoT ที่ดีขึ้น ในประสิทธิภาพการดำเนินงานที่ดีกว่า และมีวิธีที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้นในการสร้างนวัตกรรม โดย 5G Advanced ยังนำเสนอโซลูชันตามเจตนารมณ์ หรือ Intent-Based Solutions อาทิ ระบบประหยัดพลังงานอัตโนมัติ (Automated Energy Saver) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสมัครใช้บริการ Energy Efficiency and Management ของอีริคสัน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงานอย่างสูงสุด

ในสุนทรพจน์ของนาย YB Gobind แสดงถึงความหวังในการยกระดับเครือข่าย 5G ของมาเลเซีย โดยเน้นส่งเสริมการใช้งาน 5G ให้มากขึ้นในหมู่ผู้ใช้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคธุรกิจ “การเร่งการใช้งาน 5G ในธุรกิจต่าง ๆ มีความสำคัญต่อการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันของมาเลเซีย ไม่เพียงแต่ทำให้มาเลเซียเป็นผู้นำด้าน 5G ในช่วงที่ประเทศเป็นประธานอาเซียนในปีนี้เท่านั้น แต่ยังส่งเสริมการลงทุนดิจิทัลและมอบประโยชน์ให้กับประเทศเราในระดับภูมิภาค”

Datuk Azman Ismail ซีอีโอของ DNB กล่าวว่า “เครือข่าย 5G ของเราได้รับการยอมรับในระดับโลกในด้านประสิทธิภาพและความเสถียร DNB มุ่งหวังที่จะช่วยเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของธุรกิจในภาคส่วนต่าง ๆ ด้วยเทคโนโลยี 5G Advanced อาทิ ภาคการผลิต สาธารณสุข โลจิสติกส์ น้ำมันและก๊าซ เกษตรกรรม และการท่องเที่ยว ด้วยเครื่องมือขั้นสูงในการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่พร้อมส่งมอบผลิตภัณฑ์และบริการที่เหนือชั้นกว่า”

David Hagerbro ประธานบริษัท อีริคสัน ประจำมาเลเซีย ศรีลังกา และบังกลาเทศ กล่าวว่า “เทคโนโลยี 5G Advanced เปิดใช้งานแล้วบนเครือข่ายของ DNB โดยอีริคสันยังคงมุ่งมั่นพัฒนาศักยภาพของ 5G Advanced ร่วมกับ DNB อย่างมียุทธศาสตร์เพื่อทำให้เครือข่ายมีความอัจฉริยะ มีประสิทธิภาพสูง และปลอดภัยยิ่งขึ้น สำหรับ DNB เป็นผู้นำระดับโลกด้าน 5G อยู่แล้ว และการเปิดตัว 5G Advanced จะช่วยตอกย้ำความเป็นผู้นำให้กับบริษัทฯ”

DNB ยังคงสนับสนุนการใช้งาน 5G ในกลุ่มสาธารณะ องค์กร และธุรกิจผ่านความร่วมมือและเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ รวมถึงการสร้างความตระหนักรู้ของโครงการการศึกษา ‘My5G Portal’ ภายใน DNB’s immersive 5G experience center เพื่อแสดงยูสเคสการใช้งานมากกว่า 50 ยูสเคสใน 12 อุตสาหกรรม นำเสนอประสบการณ์ที่จับต้องได้ให้แก่ผู้เยี่ยมชมเกี่ยวกับศักยภาพของเทคโนโลยี 5G สำหรับปฏิวัติวิธีที่ผู้คนทำงาน ดำเนินชีวิต และเล่นด้วยกัน

สิ้นเดือนธันวาคมปี 2567 มาเลเซียมีผู้สมัครใช้บริการ 5G ประมาณ 18.2 ล้านราย คิดเป็นสัดส่วนการใช้งานที่ 53.4% ตามที่มาเลเซียมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีในภูมิภาค ดังนั้นการนำเทคโนโลยี 5G Advanced มาใช้จะมีบทบาทสำคัญเพื่อบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจพร้อมส่งเสริมสังคมที่เชื่อมต่อถึงกันมากยิ่งขึ้น


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

BINANCE TH ร่วมกับ GULF จับมือ ม.ธรรมศาสตร์ ลงนาม MoU พัฒนา “บุคลากรสินทรัพย์ดิจิทัล”

กรุงเทพฯ ประเทศไทย [24 กุมภาพันธ์ 2568] – BINANCE TH by Gulf BINANCE ผู้นำแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับการกำกับดูแลภายใต้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ร่วมกับ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ลงนามบันทึกข้อตกลงความเข้าใจ (MOU) กับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อพัฒนาและเติมทักษะให้กับบุคลากรรุ่นใหม่ เพื่อพัฒนาหลักสูตรและกิจกรรมต่าง ๆ รองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย 

ข้อมูลจาก ก.ล.ต. เผยมูลค่าการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย ณ เดือน มกราคม 2568 มีมูลค่ากว่า 9.95 หมื่นล้านบาท  โดยมีบัญชีนักลงทุนมากกว่า 2.45 ล้านราย สะท้อนให้เห็นถึงการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของตลาดคริปโทเคอร์เรนซี่ที่มีความต้องการบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก ทั้งในด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลที่ยังอยู่ในวงจำกัด  สอดคล้องกับข้อมูลของกระทรวงแรงงาน ที่ระบุว่า ณ ปัจจุบัน ประเทศไทยต้องการกําลังแรงงานด้านดิจิทัลมากกว่า 140,000 คน อาทิ วิศวกรซอฟต์แวร์ นักวิเคราะห์ข้อมูล นักพัฒนาเอไอ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ผู้พัฒนาเทคโนโลยีบล็อกเชน ผู้พัฒนาโปรแกรมเซมิคอนดัคเตอร์ ไมโครชิป ออโตเมชั่น นักการตลาดดิจิทัล

นายสารัชถ์ รัตนาวะดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า 

“กัลฟ์ให้ความสำคัญกับการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ใช่แค่เพียงภาคการเงินเท่านั้น เรามองเห็นโอกาสในการประยุกต์ใช้บล็อกเชนในธุรกิจที่หลากหลาย เช่น การซื้อขายคาร์บอนเครดิต การบริหารจัดการพลังงานหมุนเวียน และการทำธุรกรรมซื้อขายไฟฟ้า แต่การที่จะขับเคลื่อนสิ่งเหล่านี้ให้เกิดขึ้นจริง เราจำเป็นต้องมีบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถที่พร้อม ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในครั้งนี้ จึงเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาบุคลากรรุ่นใหม่ ที่จะเข้าใจทั้งด้านพลังงานและเทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานของไทยให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น นอกจากนี้ การมีบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านคริปโทเคอร์เรนซี จะช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของเทคโนโลยีบล็อกเชนในภูมิภาค และดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้อีกด้วย”

นายนิรันดร์ ฟูวัฒนานุกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด กล่าวว่า “การเติบโตของตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในไทยกำลังขยายตัวขึ้นอย่างมาก โดยในปี 2024 มูลค่าการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มของเราเติบโตขึ้นกว่า 300% และคาดว่าจะเติบโตต่อเนื่องในปีนี้ จากการยอมรับของนักลงทุนสถาบันที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการอนุมัติ Bitcoin ETF ในสหรัฐฯ ที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ดังนั้นเราจึงต้องเร่งพัฒนาบุคลากรด้านบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลให้ทันต่อการเติบโตของอุตสาหกรรม ผ่านการพัฒนาหลักสูตร e-Learning และ Blended Learning  ที่ครอบคลุมทั้งด้านทฤษฎีและการประยุกต์ใช้จริง โดยจะเน้นเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีบล็อกเชน สินทรัพย์ดิจิทัล การเงินดิจิทัล และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้นักศึกษาไทยมีความรู้ทัดเทียมในระดับสากล และพร้อมเป็นผู้นำในการพัฒนาระบบการเงินดิจิทัลของประเทศในอนาคตอันใกล้”

ศาสตราจารย์ ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า “มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มุ่งมั่นในการผลิตบัณฑิตที่มีความพร้อมรับมือกับความท้าทายในศตวรรษที่ 21  มธ.พร้อมปรับปรุงหลักสูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ รวมถึงอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล โดยเราตั้งเป้าผลิตบัณฑิตด้านนี้กว่า 8,000 คนต่อปี และความร่วมมือกับผู้นำทั้งในอุตสาหกรรมพลังงานและสินทรัพย์ดิจิทัลครั้งนี้ จะช่วยยกระดับการเรียนการสอนให้มีความทันสมัย ผ่านการผสมผสานองค์ความรู้จากในและนอกห้องเรียน รวมถึงประสบการณ์จริงจากภาคธุรกิจ ช่วยให้นักศึกษาได้เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมอย่างใกล้ชิด และนำมาต่อยอดได้ นอกจากนั้นนักศึกษาและบุคลากรไทยที่เข้าร่วมโครงการนี้จะได้รับประโยชน์มากมาย เช่น โอกาสในการฝึกงานกับบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล โอกาสในการทำงานในตำแหน่งที่กำลังเป็นที่ต้องการในตลาดแรงงาน และโอกาสในการสร้างเครือข่ายกับผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ”

Changpeng Zhao (CZ) อดีต CEO ของ Binance กล่าวว่า “เราเชื่อว่าการศึกษาเป็นรากฐานของนวัตกรรมและการเข้าถึงทางการเงิน ความร่วมมือของเรากับ Gulf Thailand และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เพื่อให้ความรู้แก่นักศึกษา 1,000 คนเกี่ยวกับบล็อกเชนและคริปโตถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างศักยภาพให้กับคนรุ่นต่อไปของประเทศไทยด้วยความรู้และทักษะที่จำเป็นในการเติบโตในเศรษฐกิจดิจิทัล

ประเทศไทยมีระบบนิเวศบล็อกเชนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และการเสริมสร้างความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับเทคโนโลยีคริปโตให้กับเยาวชนจะช่วยขับเคลื่อนการยอมรับอย่างรับผิดชอบ การเป็นผู้ประกอบการ และการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว ความคิดริเริ่มนี้ไม่เพียงแต่สนับสนุนกลุ่มผู้มีความสามารถในท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังเสริมสร้างอุตสาหกรรมคริปโตระดับโลกด้วยการส่งเสริมชุมชนผู้นำ นักพัฒนา และนักประดิษฐ์ในอนาคตที่มีข้อมูลครบถ้วน

เรารู้สึกภูมิใจที่ได้ร่วมมือในความพยายามเชิงกลยุทธ์นี้และยังคงมุ่งมั่นที่จะทำให้การศึกษาเกี่ยวกับบล็อกเชนเข้าถึงได้สำหรับทุกคน เพื่อให้แน่ใจว่าประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการกำหนดอนาคตของ Web3″

ความร่วมมือครั้งนี้มีระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่การลงนาม โดยทั้งสามองค์กรจะร่วมกันพัฒนาหลักสูตรและกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของนักศึกษาและบุคลากรให้มีความรู้ด้านเทคโนโลยีบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัล สอดรับกับนโยบายของรัฐบาลในการมุ่งผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง Digital Asset Hub แห่งอาเซียน ซึ่งคาดว่าภูมิภาคนี้จะมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 1.3 แสนล้านบาท ภายในปี 2025

คำเตือน: คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวน โปรดศึกษาข้อมูลและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

เกี่ยวกับไบแนนซ์ ทีเอช บาย กัลฟ์ ไบแนนซ์

ไบแนนซ์ คือแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลโดยได้รับใบอนุญาตภายใต้ชื่อบริษัท กัลฟ์ ไบแนนซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัท กัลฟ์ อินโนวา จำกัด (บริษัทในเครือของบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไบแนนซ์ แคปปิตอล แมเนจเมนท์ จำกัด (บริษัทในเครือของกลุ่ม BINANCE) 


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

JETRO ร่วม BOI และ EECO เชิญผู้สนใจร่วมงาน “Thailand-Japan Sustainable Business Forum 2025”

องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร : JETRO) สำนักงานกรุงเทพฯ ได้มีการจัดตั้ง  Sustainable Business Desk ขึ้นเพื่อส่งเสริมข้อริเริ่มมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนหรือ Carbon Neutrality (CN) ซึ่งงานฟอรั่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของความร่วมมือธุรกิจเพื่อความยั่งยืนไทย-ญี่ปุ่น

โอกาสนี้ เจโทร กรุงเทพฯ ได้ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) และ สำนักงานคณะกรรมการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EECO) จัดงาน Thailand-Japan Sustainable Business Forum 2025 ขึ้นในวันที่ 4 มีนาคม 2568 เวลา 15.00 – 17.00 น. ณ ห้องบอลรูม 1 ชั้น 4 โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ

ภายในงานได้รับเกียรติกล่าวเปิดงานจากนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พร้อมด้วย ดร. จุฬา สุขมานพ. เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EECO) และ นายคุโรดะ จุน ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร กรุงเทพฯ) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนไทย-ญี่ปุ่น ด้านการลงทุนและการขับเคลื่อนด้านความยั่งยืน

นอกจากนั้นภายในงานยังมีพิธีลงนามโครงการนำร่องการส่งเสริมเทคโนโลยีดักจับและใช้ประโยชน์จากคาร์บอน (CCUS) โดยอาศัยจุลสาหร่ายเพื่อสนับสนุนแนวทางลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก  (Microalgae CCUS) ระหว่าง โรงไฟฟ้าบีแอลซีพี (BLCP Power Limited) และ บริษัท Algal Bio  พร้อมด้วยการเสวนาโดยผู้นำธุรกิจจากไทยและญี่ปุ่น ที่จะนำเสนอนวัตกรรมและการประยุกต์ใช้เพื่อผลลัพธ์ด้านความยั่งยืนและเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (CN) อาทิ  เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP Group) และ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) (CPF) ที่ได้ร่วมกับ บริษัท Thermalytica ในการนำเสนอแนวทางความยั่งยืนและโครงการนำร่องด้านเทคโนโลยีการลดอุณหภูมิในโรงเรือนเพื่อทดสอบแนวคิด กระบวนการ หรือขั้นตอน (Proof of Concept (PoC)) ในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจสีเขียวอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมด้วยบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (PTTGC) และ บริษัท CBT/Toray ที่จะนำเสนอการพัฒนาเศษวัสดุทางการเกษตร เช่น น้ำตาลชีวภาพจากชีวมวลที่ไม่ใช้เป็นอาหารไปสู่การผลิตเรซินชีวภาพและเส้นใยชีวภาพเพื่อการพาณิชย์ ซึ่งสามารถตอบโจทย์เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และการผลิตที่ปล่อยคาร์บอนต่ำได้

สำหรับผู้สนใจเข้าร่วมงานฯ สามารถลงทะเบียนได้แล้วที่ https://forms.office.com/r/HtArTSsbP3 และหาข้อมูลเพิ่มเติมที่https://www.jetro.go.jp/thailand/topics/_534311.html


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ใช้ชีวิตให้ติดสบาย กับเครื่องปรับอากาศมิตซูบิชิ อีเล็คทริค มิสเตอร์สลิม พร้อมแนะนำรุ่นใหม่! XZ Series

บริษัท มิตซูบิชิ อีเล็คทริค กันยงวัฒนา จำกัด ขอแนะนำเครื่องปรับอากาศมิสเตอร์สลิม ระบบอินเวอร์เตอร์ รุ่นใหม่ล่าสุด 3 ซีรีส์ XZ Series มาพร้อม 3D Move-Eye Comfort Sensor เซ็นเซอร์ที่ช่วยมอบความเย็นสบายให้ผู้ใช้งานได้อย่างรู้ใจ และช่วยให้ประหยัดพลังงานได้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยจัดการปัญหาฝุ่นได้อย่างครบวงจร โดยแผ่นกรองอากาศและแผ่นกรองฝุ่น PM 2.5 Filter สามารถกำจัดไวรัส แบคทีเรีย รวมทั้งลดปัญหาฝุ่นเกาะภายในเครื่องด้วย Dual Barrier Coating และเพื่อให้เข้ากับทุกสไตล์การแต่งห้องได้มากขึ้น ได้เพิ่มสีดำใหม่นอกเหนือจากสีขาว นอกจากนี้ยังมีเครื่องปรับอากาศอีกหลายรุ่นที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน อาทิ รุ่น GZ Series โดดเด่นด้วย ECO EYE Sensor เซ็นเซอร์อัจฉริยะตรวจจับความเคลื่อนไหวเพื่อลดการใช้พลังงานเกินความจำเป็น หากไม่พบผู้ใช้งานภายในห้อง สามารถเปิด – ปิดเครื่องปรับอากาศได้อัตโนมัติ โดยไม่ต้องกดรีโมท มาพร้อมฟังก์ชัน Fast cooling Plus ให้คุณเย็นเร็วทันใจ สบายกว่าเดิม โดยจะเร่งรอบการทำงานของคอมเพรสเซอร์และส่งลมเย็นไปยังผู้ใช้งานบริเวณกลางห้อง เพื่อให้คุณรู้สึกเย็นอย่างรวดเร็ว เมื่ออุณหภูมิภายในห้องเย็นขึ้นจะปรับเข้าสู่โหมด Swing เพื่อกระจายความเย็นไปทั่วบริเวณห้อง และบานเกล็ดจะปรับเข้าสู่ตำแหน่งบนสุด เพื่อไม่ให้ผู้ใช้งานรู้สึกเย็นจนเกินไป และเกิดความสบายสูงสุด พร้อมมาตรฐานฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ระดับ 3 ดาว และ รุ่น Happy Plus Inverter MZ Series ฟังก์ชันที่ครบครัน คุ้มค่า ถูกออกแบบมาเพื่อความสบายด้วยดีไซน์ที่สะดวกต่อการล้างทำความสะอาดได้ง่าย เพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานยิ่งขึ้น ด้วยฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 ระดับ 1 ดาว เป็นต้น

พบกับมิตซูบิชิ อีเล็คทริค มิสเตอร์สลิม ระบบอินเวอร์เตอร์ใหม่ ได้แล้ววันนี้ที่ร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ สอบถามข้อมูลผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมโทร. 02-763-7000 กด 7 หรือ www.mitsubishi-kyw.co.th/Product/For-Home/conditioner.aspx


Exit mobile version