Categories
Home & Garden คุณทำเองได้ (DIY)

การต่อระบบท่อน้ำทิ้งเครื่องกรองน้ำ RO แบบสองระบบให้สามารถเอาน้ำกลับมาใช้ประโยชน์ได้

หากคุณเป็นอีกคนที่กำลังใช้ หรือกำลังอยากได้เครื่องกรองน้ำ RO แต่ยังหวั่นใจกับเสียงล่ำลือถึงความสิ้นเปลืองน้ำ ที่ต้องมีน้ำทิ้งออกไปมากกว่าน้ำที่ดื่มได้ เรามีแนวทางแก้ไขมาแนะนำครับ

สำหรับการแก้ไขที่กล่าวไปข้างต้นก็คือการกักน้ำทิ้งของเครื่องกรองน้ำไว้ในถัง จากนั้นใส่ปั๊มน้ำลงไปในถังเก็บน้ำเพื่อสูบน้ำออกมาใช้นั่นเอง โดยการน้ำที่เป็นน้ำคัดทิ้งนี้ ไม่แนะนำให้นำมาล้างผักหรืออาหารที่เราใช้บริโภคนะครับ แต่สามารถนำไปใช้ล้างภาชนะ(ในกรณีคัดทิ้งจากน้ำประปา) รดน้ำต้นไม้ บ้างพื้นได้

แต่ช้าก่อน! หากทำเพียงแค่นั้นมันก็จะยุ่งยากคนใช้งานเกินไป เราจึงขอแนะนำ การต่อท่อแบบ 2 ระบบ นั่นก็คือ การเชื่อมต่อทั้งปั๊มน้ำจากถังเก็บน้ำและน้ำจากท่อประปาเข้าด้วยกัน โดยมีหัวก๊อกจากอ่างล้างจานเป็นตัวจ่ายน้ำหลักดังภาพด้านล่าง

อุปกรณ์ที่ต้องจัดเตรียม

ปั้มน้ำ 220 โวลต์ 80 วัตต์ หรือกำลังวัตต์ตามต้องการ (ขึ้นกับความเหมาะสมของระยะทางระหว่างถังน้ำกับก๊อกน้ำ) ลิงก์สั่งซื้อตามต้นแบบ

วาล์วไฟฟ้า หรือโซลินอยด์ วาล์ว 4 หุน (1/2 นิ้ว) ขนาดขดลวด 12 โวลต์ ชนิด NO (Normal Open) หรือแบบจ่ายไฟแล้ววาล์วปิดนั่นเอง ลิงก์สั่งซื้อวาล์

เช็ควาล์วสปริง ทองเหลือง 4 หุน (1/2 นิ้ว) ลิงก์สั่งซื้อ

ฟุตสวิตช์ หรือสวิตช์เท้า สำหรับสั่งงานปั้มน้ำและวาล์วไฟฟ้า ลิ้งก์สั่งซื้อ

ท่อและข้อต่อ PVC 4 หุน (1/2 นิ้ว) ใช้แบบไหน เท่าไหร่ตามแต่หน้างาน

การเชื่อมต่ออุปกรณ์เข้าด้วยกันและการทำงาน

ภาพด้านล่างจะรวมการเชื่อมต่อสายไฟและแนวการติดตั้งวาล์วต่างๆ

ภาพด้านล่างแสดงการทำงานเมื่อยังไม่เหยียบสวิตช์

ภาพแสดงการทำงานเมื่อเหยียบสวิตช์


 

Categories
Gadget Home & Garden คุณทำเองได้ (DIY)

Solar-Junk Amplifier

วงจรขยายเสียงที่สร้างด้วยอุปกรณ์พื้นๆ ใช้ไฟเลี้ยงต่ำจากแบตเตอรี่ก้อนเดียวก็ดังได้แถมเกาะติดกับกระแสอีโคด้วยการใช้ไฟเลี้ยงจากพลังงานแสงอาทิตย์

นี่คือวงจรขยายเสียงขนาดเล็ก ที่ไม่ได้เอาไว้ฟังกันเป็นเรื่องเป็นราว แต่มีจุดประสงค์เพื่อเอาไว้ใช้กับงานบางประเภท เช่น ขยายเสียงให้กับไอซีเสียงเพลง วงจรเตือน หรือนำไปทำเป็นอินเตอร์คอม เป็นต้น โดยคุณภาพของมันก็พอฟังได้ อุปกรณ์ที่ใช้ก็เป็นอุปกรณ์พื้นๆ ที่หาได้ในร้านอะไหล่ย่านบ้านหม้อ ที่สำคัญคือ ทำงานที่แรงดันไฟเลี้ยงต่ำครับ เพียง 1.2 ถึง 1.5V หรือจากแบตเตอรี่เพียงก้อนเดียวก็สามารถขยายเสียงได้ ดังนั้นในวงจรขยายที่นำมาเสนอนี้จึงใช้ถ่านไฟฉายเพียงก้อนเดียวเท่านั้นสามารถขับเสียงออกลำโพง 8Ω ได้อย่างสบาย

ยังเท่านี้ยังเท่ไม่พอครับ ต้องเพิ่มลูกเล่นอีกนิด เมื่อวงจรขยายเสียงตัวนี้ใช้ไฟเลี้ยงเพียง +1.5V ก็ดังได้ จึงเกิดแนวคิดต่อยอดไปว่า หากหันมาใช้พลังงานจากธรรมชาติที่มีต้นทุนถูกแถมไม่ต้องเปลี่ยนถ่านเวลาหมด ก็น่าจะดีไม่น้อย จึงนำแผงรับแสงอาทิตย์หรือโซล่าร์เซลมาต่อเข้ากับภาคจ่ายไฟของโครงงานนี้ ก็จะทำให้วงจรขยายเสียงพื้นๆ มีเสน่ห์ชวนฝันขึ้นมาทันตา


รูปที่ 1 วงจรสมบูรณ์ของ Solar-Junk Amplifier วงจรขยายเสียงที่ใช้แบตเตอรี่ 1.5V เพียงก้อนเดียว

เห็นวงจรทั้งหมดของ Solar-Junk Amplifier ในรูปที่ 1 อย่าได้แปลกใจ เพราะนี่คือ วงจรขยายสัญญาณสุดพื้นฐานและเรียบง่าย สัญญาณที่เข้ามาทางอินพุทจะได้รับการขยายให้แรงขึ้นในขั้นต้นด้วยทรานซิสเตอร์ Q1 เบอร์ 9014 จากนั้นสัญญาณจะได้รับการถ่ายทอดต่อจากขาคอลเล็กเตอร์ของ Q1 ไปยังทรานซิสเตอร์ Q2 ซึ่งทำหน้าที่จัดเฟสให้กับทรานซิสเตอร์ขยายกำลังในภาคสุดท้ายทั้งสองตัวคือ Q3 และ Q4 ผ่านทางหม้อแปลงเอาต์พุต T1 โดยที่ Q3 และ Q4 ถูกจัดการทำงานในแบบพุช-พูล มีตัวต้านทาน R7 และไดโอด D1ทำหน้าที่ไบอัส สัญญาณที่ได้รับการขยายจากทรานซิสเตอร์ทั้งสองตัว สัญญาณจะเกิดการเหนี่ยวนำจากขดปฐมภูมิมาสู่ขดทุติยภูมิของหม้อแปลง T2 เพื่อขับออกลำโพงต่อไป

การใช้หม้อแปลงเอาต์พุตมาใช้ในการจัดเฟสของสัญญาณและใช้ในการคับปลิ้งสัญญาณออกไปยังลำโพง เป็นการใช้งานอุปกรณ์พื้นฐานในการสร้างวงจรขยายเสียงในแบบดั้งเดิม ที่อาจไม่พบแล้วในการออกแบบวงจรขยายเสียงสมัยใหม่

ด้วยการใช้หม้อแปลงเอาต์พุตจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการทำให้วงจรขยายเสียงนี้สามารถขับเสียงออกลำโพง 8Ω ได้โดยใช้แรงดันไฟเลี้ยงที่ต่ำมาก นั่นคือ ใช้แบตเตอรี่เพียง 1 ก้อนเป็นแหล่งจ่ายไฟ จะใช้แบบประจุได้หรือแบบอัลคาไลน์ก็ได้ รวมทั้งการนำแผงเซลรับแสงอาทิตย์หรือโซล่าร์เซลมาใช้เป็นแหล่งจ่ายไฟก็ยังไหว

การสร้าง

เนื่องจากนี่คือโครงงานวงจรขยายเสียงที่ใช้หลักการแบบพื้นฐาน การสร้างจึงต้องทำได้ด้วยขั้นตอนพื้นฐานเช่นกัน เริ่มจากจัดหาอุปกรณ์ให้พร้อม อุปกรณ์ทั้งหมดสามารถหาซื้อได้จากร้านขายอะไหล่อิเล็กทรอนิกส์ในย่านบ้านหม้อได้สบายๆ สำหรับทรานซิสเตอร์หากหาเบอร์ตรงไม่ได้ ก็ใช้เบอร์แทนได้ และที่อาจทำให้คนขายอะไหล่ตกใจนิดหน่อยคือ การซื้อหม้อแปลงเอาต์พุต (output transformer) ในยุคสมัยหนึ่งหม้อแปลงแบบนี้ได้รับความนิยมสูงมาก ใช้ในการคับปลิ้งสัญญาณเล็กๆ ให้ขับออกลำโพงได้ดังฟังชัด แต่มาถึงสมัยนี้ การใช้หม้อแปลงแบบนี้ลดลงมาก สำหรับโครงงานนี้มีจุดมุ่งหมายในการนำเสนอพื้นฐานของวงจรขยายเสียง ดังนั้นการจัดหาหม้อแปลงเอาต์พุตนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญ


รูปที่ 2 ลายทองแดงของแผ่นวงจรพิมพ์ขนาดเท่าแบบของโครงงาน Solar Junk Amplifier (ดาวน์โหลดลายทองแดงขนาดเท่าจริง)


รูปที่ 3 แบบการลงอุปกรณ์บนแผ่นวงจรพิมพ์

จากนั้นทำแผ่นวงจรพิมพ์ตามแบบลายทองแดงในรูปที่ 2 แล้วบัดกรีลงอุปกรณ์ตามแบบในรูปที่ 3 การบัดกรีก็เริ่มจากใส่อุปกรณ์ตัวเตี้ยๆ เช่น ลวดจั๊มเปอร์ที่ได้มาจากเศษขาอุปกรณ์และตัวต้านทานก่อน จากนั้นจึงใส่อุปกรณ์ตัวที่มีความสูงถัดมา ตัวเก็บประจุอิเล็กทรอไลต์และทรานซิสเตอร์ทั้ง 4 ตัวต้องระมัระวังเรื่องขั้วก่อนบัดกรี ต้องติดตั้งให้ถูกต้อง สำหรับหม้อแปลงเอาต์พุตก่อนบัดกรีแนะนำให้ใช้คัตเตอร์ขูดขาทั้งหมดให้สะอาดก่อน มิฉะนั้นอาจจะบัดกรีไม่ติดได้ เพราะที่ขาของมันมีน้ำยาเคลือบอยู่

สำหรับหน้าตาของวงจรขยายเสียง Solar-Junk Amplifier ที่ใช้ไฟเลี้ยงต่ำมากหลังจากประกอบเสร็จแล้ว แสดงให้เห็นเป็นประจักษ์ดังรูปที่ 4

ทดสอบวงจรขยายเสียง

เนื่องจากเป็นวงจรขยายเสียง จึงแสดงผลการทดสอบให้เห็นเป็นรูปภาพไม่ได้ ดังนั้นหากอยากรู้ว่า จะขยายเสียงได้ดังแค่ไหน ก็ต้องลงมือทำเองล่ะครับ เพียงต่อแบตเตอรี่ 1 ก้อนเข้าที่จุดต่อ Vcc และต่อลำโพง 8Ω เข้าที่จุดต่อ SPEAKER จากนั้นป้อนสัญญาณเสียงเข้ามาทางอินพุต หากไม่มีอะไรผิดพลาด ต้องได้ยินเสียงที่ดังขึ้นออกจากลำโพง ปรับความดังเบาด้วย VOLUME

วงจรนี้ใช้กระแสไฟฟ้าไม่มาก ดังนั้นแบตเตอรี่ 1 ก้อนจึงใช้งานได้หลายวัน หรือจะขยับงบประมาณอีกหน่อยไปใช้แบตเตอรี่แบบประจุได้ 1.2V ที่จ่ายกระแสไฟฟ้าได้สูง หรือใช้แบตเตอรี่ก้อนใหญ่ SIZE-D ก็ทำได้เลยตามต้องการ


รูปที่4 หน้าตาโครงงาน Junk Amplifier เมื่อประกอบเสร็จแล้ว

การดัดแปลงวงจรเพื่อใช้กับแผงเซลรับแสงอาทิตย์

สำหรับการดัดแปลงให้ใช้กับแผงเซลรับแสงอาทิตย์ได้นั้น อันที่จริงไม่มีอะไรยุ่งยาก นำขั้วบวกลบของแผงเซลรับแสงอาทิตย์มาต่อแทนแบตเตอรี่ได้เลย แต่มันอาจดูไม่ค่อยลงตัวสักเท่าไหร่เพราะต้องวางชุดวงจรทั้งหมดไว้ในที่ๆ มีแสงอาทิตย์จึงจะทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ดังนั้น
ในตัวต้นแบบจึงได้ทำเป็น 2 ระบบโดยการเพิ่มไมโครสวิตช์ชนิดที่มีหน้าสัมผัส NC และ NO เข้าไปดังรูปที่ 5 ส่วนจะนำไปติดตั้งกับบ้านต้นไม้แบบในรูปตัวอย่างได้อย่างไรนั้น กรุณาติดตามอ่านในส่วนการสร้างบ้านต้นไม้ต่อไปครับ


รูปที่ 5 การต่อไมโครสวิตช์สำหรับสลับแหล่งพลังงานระหว่างแบตเตอรี่และเซลรับแสงอาทิตย์



รูปที่ 6 แบบชิ้นส่วนของบ้านต้นไม้ (ดาวน์โหลดขนาดเท่าจริง)

ขั้นตอนการสร้างบ้านต้นไม้

(1) ตัดพลาสวูดหนา 5 มม. ตามแบบในรูปที่ 6 หรือดาวน์โหลดขนาดเท่าจริง

(2) นำแผ่นหลังคา 1 และ 2 มาเฉือนด้านที่มีความกว้าง 14 ซม. 1 ด้าน ให้ได้มุม 120 องศา ทั้งสองแผ่น ดังรูปที่ 7


รูปที่ 7 ลักษณะการเฉือนแผ่นหลังคา

(3) นำแผ่นจั่วมาทาบกับแผ่นเพดานแล้วใช้ดินสอวาดตามมุมเอียงของแผ่นจั่วดังรูปที่ 8 ใช้คัดเตอร์เฉือนตามแนวดินสอจะได้แผ่นเพดานที่มีมุมรับกับแผ่นจั่วดังรูปที่ 8.3


รูปที่ 8 การวัดมุมแผ่นเพดานเพื่อเฉือนให้ได้แนวเอียงที่รับกับแผ่นจั่ว

(4) ประกอบแผ่นจั่วเข้ากับแผ่นเพดานด้วยกาวร้อนดังรูปที่ 9.1 จากนั้นนำแผ่นหลังคาทั้ง 2 แผ่นมาประกอบดังรูปที่ 9.3 จะได้ชุดหลังคาที่เราจะนำแผงวงจรมาติดตั้งไว้ด้านใน


รูปที่ 9 การประกอบชุดหลังคา จั่ว และแผ่นเพดาน

(5) นำลำโพงมาทาบกับแผ่นเพดานแล้วใช้ดินสอวาดตามขอบลำโพง จากนั้นใช้ดอกสว่านขนาด 3 มม. เจาะเป็นช่องให้เสียงออกดังรูปที่ 10.1 แล้วจึงยึดลำโพงไว้ด้านในด้วยปืนยิงกาวดังรูปที่ 10.2


รูปที่ 10 ลักษณะการติดตั้งลำโพง

(6) เจาะรูบนแผ่นหลังคาด้านใดก็ได้สอดปลายสายของแผงเซลรับแสงอาทิตย์เข้าไปดังรูปที่ 11.1 จากนั้นยึดแผงเซลรับแสงอาทิตย์ด้วยปืนยิงกาวดังรูปที่ 11.2


รูปที่ 11 ลักษณะการติดตั้งแผงเซลรับแสงอาทิตย์

(7) เชื่อมต่อสายลำโพงและสายไฟเลี้ยงเข้ากับเทอร์มินอลบล็อกของแผงวงจรดังรูปที่ 12.1 ต่อไมโครสวิตช์แบบ 2 ทาง 3 ขาสำหรับสลับระหว่างแผงเซลรับแสงอาทิตย์และแบตเตอรี่ดังรูปที่ 5 สำหรับตัวต้นแบบเลือกใช้ไมโครสวิตช์ติดไว้ที่ด้านในของช่องหลังคาด้วยปืนยิงกาว หากต้องการใช้พลังงานจากแผงโซล่าร์เซลล์ก็ปิดฝาเข้าไปพออยู่ ถ้าหากต้องการใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ก็ปิดเข้าไปให้สุดจะทำให้ฝาไปกดก้านสวิตช์เพื่อต่อหน้าสัมผัสที่จุด NO ของไมโครสวิตช์


รูปที่ 12 การติดตั้งไมโครสวิตช์

(8) เจาะรูที่แผ่นจั่วให้ก้านของ VR1 รอดออกมาได้ดังรูปที่ 13.1 จากนั้นติดตั้งแผงวงจรเข้าไปด้านในโดยใช้เสารองโลหะยาว 25 มม. รองแผงวงจรให้สูงกว่าลำโพงดังรูปที่ 13.2 ให้แกนของ VR1 โผล่ออกมาดังรูปที่ 13.3 เจาะรูที่แผ่นเพดานขนาด 3 มม. 2 รู ให้ตรงกับตำแหน่งเสารองโลหะที่รองแผ่นวงจรด้านในแล้วใช้สกรูขนาด 3×10 มม.ขันยึดให้แน่นดังรูปที่ 13.4


รูปที่ 13 การติดตั้งแผงวงจรภายในห้องหลังคา

(9) ติดตั้งบานพับที่แผ่นจั่วอีกหนึ่งชิ้นที่ยังไม่ได้ประกอบ ดังรูปที่ 14.1 บากแผ่นเพดานเป็นร่องรองรับบานพับดังรูปที่ 14.2


รูปที่ 14 การติดตั้งบานพับเข้ากับแผ่นจั่วเพื่อทำเป็นฝาเปิดปิดสำหรับเก็บเครื่องเล่น MP3

(10) ก่อนจะติดตั้งฝาปิดจากขั้นตอนที่ 9 แนะนำให้ติดตั้งมือจับเสียก่อน โดยออกแบบเป็นรูปทรงเครื่องเล่น MP3 และส่วนปรับระดับความดังเสียงก็ออกแบบเป็นรูปทรงดอกไม้ โดยพิมพ์บนกระดาษสติ๊กเกอร์แล้วตัดให้ได้รูปทรงตามแบบ ตัดพลาสวูดให้มีรูปทรงตามแบบ หรือหากมีฝีมือในการวาดก็สามารถใช้สีอะครีลิกวาดจะดีมากๆ เพราะหากเจอสภาพแวดล้อมนอกบ้านสีจะคงทนกว่าการใช้สติ๊กเกอร์


รูปที่ 15 รูปแบบแป้นปรับระดับเสียงและมือจับแผ่นจั่ว

(11) เจาะรูกลางแผ่นพลาสวูดรูปดอกไม้ขนาดพอดีกับแกนของ VR1 แล้วสวมลงไปดังรูปที่ 16.1 นำภาพดอกไม้แปะลงไปดังรูปที่ 16.2 ส่วนแผ่นจั่วสำหรับเปิดปิดใส่เครื่องเล่น MP3 ให้นำแผ่นพลาสวูดรูปทรงเครื่องเล่น MP3 มาติดด้วยกาวร้อนดังรูปที่ 16.3 แล้วแปะรูปเครื่องเล่น MP3 ลงไป


รูปที่ 16 การติดตั้งแป้นปรับระดับเสียงและมือจับแผ่นจั่ว

(12) นำแผ่นจั่วที่ติดตั้งบานพับแล้วมาประกอบกับแผ่นเพดานด้วยสกรูเกลียวปล่อยขนาด 2 มม. ดังรูปที่ 17


รูปที่ 17 การติดตั้งแผ่นจั่วสำหรับเปิดปิดห้องหลังคา

(13) นำแผ่นผนัง 1, 2, 3 และ 4 มาประกอบเข้ากับด้านล่างของเพดานด้วยกาวร้อนดังรูปที่ 18.1 สำหรับแผ่นผนัง 2 ต้องบากออกเล็กน้อยให้คร่อมบานพับดังรูปที่ 18.2 และเพื่อความแข็งแรงแนะนำให้ตัดเศษพลาสวูดมาเสริมระหว่างรอยต่อดังรูป


รูปที่ 18 การประกอบแผ่นผนัง

(14) นำแผ่นพื้นระแนงทั้ง 4 ชิ้นมาประกอบกับส่วนล่างของแผ่นผนังด้วยกาวร้อนดังรูปที่ 19.1​สุดท้ายตัดเศษพลาสวูดเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมมาติดไว้ทั้ง 4 มุม เพื่อทำเป็นขารอง เผื่อนำไปปลูกต้นไม้น้ำจะได้ไหลลงได้สะดวกยิ่งขึ้น


รูปที่ 19 การประกอบแผ่นพื้นระแนง

(15) สุดท้ายเป็นขั้นตอนที่ห้ามละเลย ให้นำซิลิโคนมาอุดกันน้ำเข้าตามร่องของแผงเซลรับแสงอาทิตย์ และตามร่องหลังคา โดยใช้เทปพันสายไฟหรือกระดาษกาวปิดส่วนที่ไม่ต้องการให้ซิลิโคนเปื้อนดังรูปที่ 20.2 จากนั้นก็ปาดซิลิโคนลงไปในร่องให้รอบแผง แล้วจึงลอกเทปกาวออกดังรูปที่ 20.3 ปล่อยไว้ให้กาวซิลิโคนแห้งประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วนำไปใช้งานได้


รูปที่ 20 การอุดซิลิโคนกันน้ำเข้า

การใช้งาน

เสร็จแล้วครับเครื่องขยายเสียง 2 ระบบ การนำไปใช้งานก็ง่ายมากๆโดยหากต้องการใช้ไฟเลี้ยงจากแผงเซลรับแสงอาทิตย์ก็ให้ปิดฝาหลังในระดับพอดีหรือระดับที่ฝาปิดไม่สัมผัสกับก้านสวิตช์นั่นเอง แต่หากต้องการใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ก็ให้ดันฝาหลังเข้าไปจนสุดเพื่อดันก้านไมโครสวิตช์ต่อหน้าสัมผัส NO จากนั้นก็นำไปปลูกไม้ประดับแล้วตั้งไว้ในสวนได้เลย จะเปิดเพลงหรือฟังธรรมะในสวนก็ตามสะดวกครับ

รายการอุปกรณ์
ตัวต้านทาน ขนาด 1/8W 5% หรือ 1%
R1 – 220kΩ
R2 และ R4 – 100Ω 2 ตัว
R3 – 2.2kΩ
R5 – 47Ω
R6 – 22kΩ
R7 – 270Ω
ตัวเก็บประจุ
C1, C4, C7, C9, C11 และ C12 – 0.1µF 50V หรือ 63V โพลีเอสเตอร์ หรือเซรามิก 6 ตัว
C2 – 0.02µF หรือ 0.022µF 50V หรือ 63V โพลีเอสเตอร์หรือเซรามิก
C3 – 0.01µF 50V หรือ 63V โพลีเอสเตอร์หรือเซรามิก
C5 – 0.001µF 50V หรือ 63V โพลีเอสเตอร์หรือเซรามิก
C6 – 100µF 16V อิเล็กทรอไลต์
C8 – 1000µF 16V อิเล็กทรอไลต์
C10 – 220µF 16V อิเล็กทรอไลต์
อุปกรณ์สารกึ่งตัวนำ
D1 – ไดโอด 1N4148
Q1 และ Q2 – ทรานซิสเตอร์ NPN เบอร์ 9014 2 ตัว
Q3 และ Q4 – ทรานซิสเตอร์ NPN เบอร์ 9013 2 ตัว

อื่นๆ
VR1 – ตัวต้านทานปรับค่าได้แบบโปเทนชิโอมิเตอร์ 10kW แบบ B ขาลงแผ่นวงจรพิมพ์
S1 – สวิตช์เลื่อน 3 ขาลงแผ่นวงจรพิมพ์
T1 และ T2 – หม้อแปลงเอาต์พุตขนาดเล็ก 2 ตัว
SP1 – ลำโพง 8W 1W ขึ้นไป
กะบะถ่าน AA หนึ่งก้อนแบบมีสายต่อ, เทอร์มิน็อลบล็อก 2 ขาตัวเล็ก รุ่น DT-126 (3 ตัว), แผ่นวงจรพิมพ์

หมายเหตุ
– หม้อแปลงเอาต์พุตขนาดเล็กมีจำหน่ายที่ ร้านอีเลคทรอนิคส์พาร์ทซัพพลาย (EPS) หรือประกิตแอนด์เซอร์คิทในบ้านหม้อพลาซ่าชั้นสอง หรือร้านจำน่ายอะไหล่อิเล็กทรอนิกส์ในย่านบ้านหม้อ

รายการอุปกรณ์สร้างบ้านต้นไม้
แผ่นพลาสวูดหนา 5 มม. ขนาด A4 จำนวน 4 แผ่น
กระดาษสติ๊กเกอร์ 1 แผ่น
เสารองโลหะ 25 มม.
สกรู 3×10 มม. 2 ตัว
สกรูเกลียวปล่อย 2 มม. ยาว 6 มม. 8 ตัว
กาวร้อน
กาวซิลิโคน
ปืนยิงกาวพร้อมแท่งกาว

หมายเหตุ
แผ่นพลาสวูดหนา 5 มม. ขนาด A4 มีจำหน่ายที่ www.inex.co.th

Solar-Junk Amplifier คือ โครงงานเครื่องขยายเสียงที่ต้องการนำเสนอให้นักเล่นนักทดลองวงจรอิเล็กทรอนิกส์รุ่นใหม่ได้รับทราบถึงการใช้งานอุปกรณ์พื้นฐานในการสร้างเป็นเครื่องขยายเสียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการใช้อุปกรณ์อย่างหม้อแปลงเอาต์พุต และที่เป็นจุดเด่นซึ่งเน้นย้ำมาตลอดคือ การใช้แหล่งจ่ายไฟจากแบตเตอรี่เพียงก้อนเดียวสำหรับวงจรขยายเสียงแล้วเป็นเรื่องที่น่าสนใจ และท้าทายนักเล่นโครงงานเครื่องเสียงที่ต้องการใช้ไฟเลี้ยงต่ำที่สุดในการสร้างเครื่องขยายเสียงโดยไม่พึ่งวงจรทวีคูณแรงดันในแบบต่างๆ

Solar-Junk Amplifier ไม่ใช่แอมป์ขยะ แต่มันคือ เครื่องขยายเสียงที่สร้างจากอุปกรณ์ที่ถูกลืม….


 

Categories
Home & Garden คุณทำเองได้ (DIY)

กระถางต้นไม้จากหลอดไฟไส้

จากหลอดไฟไส้ที่ขาดจนต้องโยนทิ้ง ชะลอความคิดนั้นไว้สักนิดแล้วใช้ความคิดสร้างสรรค์เปลี่ยนขยะเทคโนโลยี สู่ของตกแต่งบ้านเป็นกระถางต้นไม้ใสๆ ใบเล็กๆ เพี่อไม้แขวนน่ารักๆ ของคุณ

โครงงานนี้ขอเชิญชวนเมกเกอร์และเพี่อนๆ มาประดิษฐิ์กระถางต้นไม้จากหลอดไฟไส้เก่า สำหรับเอาไว้แขวนในห้องหรือในมุมต่างๆ ของบ้าน เพื่อสร้างความรู้สึกสดชื่น เชื่อเหลือเกินว่าหลายท่านคงเบื่อกับการแต่งห้องแบบเดิมๆ มาลองของใหม่กับอุปกรณ์เก่าที่กำลังจะหมดค่า ขั้นตอนวิธีการทำและเครื่องไม้เครื่องมือก็หาได้ง่ายๆ จึงเหมาะกับทั้งเมกเกอร์มือใหม่ และมือโปร

สิ่งที่ต้องเตรียม
1. หลอดไฟไส้ (ที่ขาดแล้ว)
2. ลวด
3. ไขควง
4. คีมตัด
5. เชือก
6. ปืนยิงกาว
7. คีมจับ
8. กาวแท่ง

ลงมือประดิษฐ์
(1) นำหลอดไฟไส้ที่ไม่ใช้หรือเสียแล้วมาทำ เริ่มจากการแกะขั้วทองเหลืองที่ปิดอยู่ก้นหลอดออก โดยใช้คีมหรือคัตเตอร์งัดออก

(2) ใช้ไขควงหรือคีมทำการทุบกรอบตัวปิดหลอดไฟสีดำออกก่อน ขั้นตอนนี้ค่อนข้างอันตรายสำหรับเด็ก ๆ ที่จะทำด้วยตัวเอง
ดังนั้นควรอยู่ในการดูแลของผู้ใหญ่ (รูปที่ 2.1) นำไขควงมาแทงให้ไส้ของหลอดไฟตกอยู่ในหลอดแก้ว (รูปที่ 2.2) นำไส้หลอดและเศษวัสดุทิ้ง จากนั้นนำหลอดไฟที่ไท่ทีไส้ไปทำ ความสะอาด (รูปที่ 2.3)

(3) นำลวดมาพันเข้ากับเกลียวของขั้วหลอดไฟเพื่อทำเป็นที่แขวน (รูปที่ 3.1) นำคีมจับมาม้วนตรงปลายของลวดเพื่อนำเชือกมามัด (รูปที่ 3.2)

(4) นำลวดอีก 1 เส้นมาพัน ใช้คีมจับทำการดัดปลายลวดตามรูปที่ 4.1 จากนั้นพันลวดให้เป็นตามรูปที่ 4.2

(5) นำลวดที่ดัดไว้ทั้งหมดมาพันเข้ากับเกลียวของหลอดไฟ จัดวางให้เป็นสามแฉกตามรูปที่ 5

(6) ใช้ปืนยิงกาวหลอมกาวเพื่อยึดลวดกับหลอดไฟ ระหว่างที่กาวยังไม่เย็นตัว ทำการจัดระยะห่างของลวดให้เท่ากันพอดี จากนั้นรอให้กาวเย็นตัว

(7) นำเชือก 3 เส้น ความยาวตามต้องการ มาพันเข้ากับปลายลวด จัดความยาวของเชือกให้ตัวหลอดไฟสมดุลพอดี แล้วมัดให้แน่น

(8) นำลวดอีก 1 เส้น ดัดเป็นรูปตัว S เพื่อใช้แขวนเชือก นำเชือกทั้ง 3 เส้นจากขั้นตอนที่ (7) มาผูกรวมกับลวดตัว S จะได้เป็นกระถางหลอดไฟใสๆ ไว้ใช้งาน

(9) นำต้นไม้น้ำมาใส่ให้สวยงาม อย่าลืมเติมน้ำเพื่อเลี้ยงต้นไม้ด้วย นำไปแขนตกแต่งได้ตามอัธยาศรัย

ท้ายสุดคือ ต้องระวังในการนำไปใช้งานสักหน่อย เพราะไม่ว่าอย่างไรมันก็คือ แก้วบางๆ จะหยิบจับ แขวน วาง ก็ต้องระวังกันนิด ไม่งั้นมันจะแตก จะมาเสียดายตอนหลังก็สายเสียแล้ว…..


 

Categories
Gadget Home & Garden Lighting คุณทำเองได้ (DIY)

Spa Lighting

โครงงานสำหรับคนรักสุขภาพ นำแสงสีต่างๆ ที่มีความหมายแตกต่างกัน ช่วยผ่อนคลายและบำบัดความเครียดจากการทำงานหนักของคนในสังคมเมือง ด้วย Spa lighting ใช้ลอยน้ำให้แสงสี 7 สี “เพียงแค่พลิกฝ่ามือสีก็เปลี่ยน”

การใช้สีบำบัด (Color Therapy)
เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางในแวดวงแพทย์ทางเลือกว่าสีมีผลต่อสุขภาพจิตและอารมณ์ความรู้สึก ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อสุขภาพของร่างกายของมนุษย์ด้วย จากการศึกษายังพบว่าผู้ที่อาศัยอยู่ในสภาพแสงที่สลัว อย่างเช่น ตอนฝนกำลังจะตกจะส่งผลให้เกิดความรู้สึกเศร้าหมองตามไปด้วย เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นน่ะหรือ

สมาคมแพทย์ทางเลือกกล่าวไว้ว่าเมื่อยามเจ็บป่วยทำให้จังหวะการทำงานของอวัยวะในร่างกายทำงานผิดปกติ ในขณะที่แสงและสีแต่ละสีก็มีความยาวคลื่นแสงและความถี่ที่แตกต่างกันออกไปและส่งผลโดยตรงต่อการทำงานของระบบประสาทรวมทั้งสามารถช่วยเสริมสร้างจังหวะการทำงานที่ผิดปกติของอวัยวะในร่างกายได้ ดูประโยชน์ของสีแต่ละสีได้จากตาราง

แนวคิดการทำงานของวงจร
หัวใจของการสร้างไฟสีสวยๆ นั้น มาจากหลอด LED ที่มีสีแดง, เขียว และน้ำเงิน ซึ่งเป็นแม่สีของแสงในหลอดเดียว และผสมกันเป็นสีต่างๆ วงจรนี้จะสร้างสีพื้นฐานทั้งหมด 7 สี ซึ่งสีที่ได้ก็จะเรียงเหมือนกับโลโก้ของช่อง 7 สีเลยครับ คือ แดง น้ำเงิน ม่วง เขียว เหลือง ฟ้าคราม และขาว


รูปที่ 1 แสดงแม่สีแมื่อวางซ้อนกันจะได้สีต่างๆ

โดย LED ที่เลือกใช้เป็นตัวถังแบบ SMD เบอร์ LRGB9553 (หาซื้อได้ที่ อีเลคทรอนิคส์ ซอร์ส) ที่เลือกใช้ตัวนี้เพราะต้องการความสว่างมากพอสมควร มีมุมกระจายแสงที่กว้าง ขนาดเล็กเพื่อไม่ให้บังแสงไฟที่เกิดขึ้น

ถามถึงวงจรที่เลือกใช้ในครั้งนี้ ไม่ซับซ้อน วุ่นวาย ไม่ต้องใช้ไมโครคอนโทรลเลอร์ ไม่มีโปรแกรมอะไรทั้งนั้น ถ้าเป็นมือใหม่ ก็ใช้ฝีมือประกอบวงจรและบัดกรีให้ถูกต้องก็พอ โดยหัวใจในการทำงานของวงจรเป็นไอซีนับเลขฐานสองเบอร์ CD4040 ตัวเดียวเท่านั้น

เลขฐานสองจะเกี่ยวกับการผสมสีได้ยังไง?
มาดูลำดับของค่าที่ได้จากไอซีนับกันก่อน โดยให้ดูเฉพาะเลข 3 บิตล่างเท่านั้น จะมีอยู่เพียง 8 ลำดับเท่านั้น

เริ่มจาก 000 ⇒ 001 ⇒ 010 ⇒ 011 ⇒ 100 ⇒ 101 ⇒ 110 ⇒ 111 หลังจากนั้นค่าจะทดไปบิตที่สี่และสามบิตนี้จะวนนับค่านี้ไปเรื่อยๆ สังเกตเห็นอะไรไหมครับ ถ้าแทนตำแหน่งบิตขวาสุดด้วยสีแดง, ตำแหน่งบิตตรงกลางด้วยสีน้ำเงิน และตำแหน่งบิตซ้ายสุดด้วยสีเขียว โดยถ้าตำแหน่งไหนเป็น “0” ก็ไม่มีไฟติด และตำแหน่งที่เป็น “1” ก็ให้ไฟติด ก็จะได้ผลลัพธ์ดังตาราง


ตารางที่ 2 การลำดับค่าของไอซีนับในแต่ละบิต

พอเห็นแบบนี้ ก็จัดการวางวงจรขับ LED ต่อกับไอซี 4040 ได้เลย โดยต่อขา Q1 กับวงจรทรานซิสเตอร์ขับกระแสสำหรับสีแดง, ขา Q2 สำหรับวงจรขับสีน้ำเงิน และ ขา Q3 สำหรับวงจรขับสีเขียว ส่วนขา Q อื่นๆ ไม่ใช้ครับ เพราะเราสนใจแค่ 3 บิตล่างเท่านั้น


รูปที่ 2 วงจร Spa Lighting

หลัง​รูปแบบ​การ​ผสม​สี​เรียบร้อย​แล้ว ก็​มา​ดู​เรื่อง​การ​สั่งงาน​กัน​บ้าง ใน​เมื่อ​สี​ของ​ลูกบอล​แสง​สามารถ​เปลี่ยน​ได้ 7 สี และ​สภาวะ​ไฟ​ดับ​ทั้งหมด รวม 8 ลำดับ​แล้ว ข้อแม้​ใน​การ​เปลี่ยนสี​ของ​ลูกบอล​จะ​เกิด​จาก​การ​ป้อน​สัญญาณ​เข้าไป​ที่​ขา CLK ของ​ไอซี 4040 โดย​ป้อน​สัญญาณ​ลูก​หนึ่ง จะ​เพิ่มค่า​นับ​ทีละ “1” เช่นกัน โดย​ขา CLK จะ​รับสัญญาณ​จังหวะ​สัญญาณ​เปลี่ยน​จาก​ลอจิก​สูง​มา​ลอจิก​ต่ำ และ​เป็น​แบบชมิตต์ทริกเกอร์ ซึ่งเหมาะสำหรับ​รับสัญญาณ​จาก​อุปกรณ์​ตรวจจับ​ภายนอก​ได้ดี โดย​มี​การ​ต่อตัว​ต้านทาน​พูลอัป​เอา​ไว้​แล้ว

การเปลี่ยนสีของลูกบอล
คราวนี้มาลองนึกถึงการใช้งานดูครับว่าเวลาจะเปลี่ยนสีลูกบอลนั้น ถ้าจะใช้สวิตซ์กดธรรมดาพื้นๆ ที่มีขายกันอยู่ทั่วไปมากดๆ ใช้งาน ก็จะดูน่าเบื่อมิใช่น้อย แต่จะใช้ตัวตรวจจับแปลกๆ ก็จะดูวุ่นวายไปกันใหญ่

อย่างนี้ต้องทำให้ใช้ง่าย “แบบพลิกฝ่ามือ“ สิครับ

เซนเซอร์ตรวจจับการพลิกฝ่ามือ? ใช้อะไรดี หาซื้อได้ง่ายมั้ย หรือทำเองได้หรือเปล่า

ตัวตรวจจับที่สามารถเอามาใช้ได้มีหลากหลายแบบครับ ไม่ว่าจะเป็นสวิตช์ปรอท หรือจะเป็นสวิตช์ตรวจจับแรงโน้มถ่วงหรือ Gravity sensor ก็ดี แต่ดีเกินไปสำหรับงานนี้

ตัวที่แนะนำคือสวิตช์ตรวจจับระดับแบบลูกเหล็กครับ หลักการจะคล้ายๆ กับสวิตช์ปรอท แต่จะเปลี่ยนจากโลหะปรอทที่เป็นของเหลว เป็นลูกเหล็กกลมๆ แทน เวลาเอียงหรือเขย่า จะได้ยินเสียง กุกๆ กักๆ ให้ความรู้สึกที่ดีว่าเขย่าแล้วและพอหาซื้อได้ในร้านแถวบ้านหม้อ

ในวงจรจะใช้สวิตช์ต่อเข้ากับตัวต้านทาน 220Ω และตัวเก็บประจุ 10µF เพื่อเวลาต่อวงจร เพื่อลดการเกิดบาวซ์ หน้าสัมผัสสวิตช์ ที่จะทำให้เกิดสัญญาณรบกวนและทำงานซ้อนได้ ทำให้การทำงานมีเสถียรภาพมากขึ้น พลิกมือหนึ่งครั้ง จะได้สัญญาณ 1 ลูกแน่นอนมากขึ้น

ดูที่ขาสัญญาณรีเซต จะต่อวงจร RC เพื่อทำหน้าที่ล้างค่านับเป็น 000 ให้ LED ดับ

การประดิษฐ์เซนเซอร์ตรวจจับการพลิกฝ่ามือ
ถ้าหาซื้อเซนเซอร์ไม่ได้ หรืออยากทำเองก็ไม่ยากครับ หาลวดทองเหลืองหรือขาคอนเน็กเตอร์ชุบทองได้จะดีมาก ใช้ยางลบหมึกขัดขาคอนเน็กเตอร์ให้สะอาด ดัดเป็นมุมฉาก 2 ชิ้น จากนั้นหาเสารอง PCB พลาสติกสีดำตัวยาว ที่มีขายตามแผงลอยย่านบ้านหม้อ มาเจาะรูสองรูทะลุทั้งสองฝั่ง จากนั้นนำลวดที่เตรียมไว้มาร้อยรูดังรูป

จากนั้นหาเม็ดลูกปืนกลมๆ ขนาดประมาณ 2 ถึง 3 มม. เช็ดให้สะอาด ใส่เข้าไปในรู จากนั้นเจาะรูด้านล่างทะลุตรงกลาง แล้วเอาลวดร้อยปิดไม่ให้ลูกเหล็กหลุดออกมา ลองเขย่าจะต้องมีเสียง และเมื่อเอามิเตอร์วัดที่ปลายลวดสองเส้นด้านบน จะต้องต่อวงจรเมื่อเขย่าลูกเหล็กไปแตะขั้วทั้งสองพร้อมกัน ก็จะได้สวิตซ์ตรวจจับการเขย่า ฝีมือเราเองแล้ว

วงจรภาคจ่ายไฟ
วงจรส่วนถัดมาเป็นวงจรไฟเลี้ยง โดยได้รับแรงดันจากแบตเตอรี่ขนาด AAA 3 ก้อน ซึ่งเพียงพอสำหรับไอซี 4040 รวมถึงการขับ LED ให้ติดสว่างได้ โดยวงจรนี้ได้เพิ่มเติมวงจรไดโอดเรียงกระแสแบบบริดจ์ เพื่อต่อกับวงจรประจุแบตเตอรี่ภายนอกลูกบอล เพราะเวลาใช้งานจริงเราจะผนึกลูกบอลให้กันน้ำ ดังนั้นเวลาไฟหมด จะแกะออกมาเปลี่ยนก้อนใหม่ก็ทำไม่ได้ จึงต้องใช้วิธีการต่อภายนอกแทน และเมื่อต่อลูกบอลเข้ากับวงจรประจุแรงดันแล้ว ไฟที่ส่งเข้ามาจะผ่านไปยังไดโอด 1N4148 ซึ่งจะต่อพ่วงไปที่ขารีเซต ทำให้แสงไฟที่อาจจะเปิดค้างอยู่ก่อนหน้านี้ กลับไปที่สถานะ 000 ไฟจะดับหมด เพื่อให้ประจุแรงดันได้อย่างเต็มที่

การประกอบสร้างวงจร
ในส่วนของการสร้าง หลังจากที่ได้แผ่น PCB มาแล้วให้ตัด-แต่งจนได้แผ่นกลมสวยงาม ค่อยๆใส่อุปกรณ์เรียงลำดับจากตัวเตี้ยไปหาตัวสูง และไอซี 4040 ก็บัดกรีลงไปเลยครับ ไม่ต้องใช้ซ็อกเก็ตก็ได้ เชื่อฝีมือกันอยู่แล้ว ถัดมาเป็นตัวเก็บประจุที่ต้องพับขาวางนอน และดูขั้วให้ดีก่อนใส่เสมอ


รูปที่ 3 ลายทองแดงของ Spa Lighting (ดาวน์โหลดลายวงจรพิมพ์ขนาดเท่าจริง)

รูปที่ 4 การลงอุปกรณ์ทั่วไปบนแผงวงจร

รูปที่ 5 การติดตั้ง LED และตัวเก็บประจุด้านที่เป็นลายทองแดง

ทรานซิสเตอร์ KTD1146 แนะนำให้เผื่อขาไว้พับ โดยหงายเบอร์ขึ้นด้านบน เพื่อให้ความสูงอุปกรณ์น้อยที่สุด ซึ่งจะเป็นประโยชน์ตอนยึดกะบะถ่านให้ขั้นตอนสุดท้าย

เรื่องค่าตัวต้านทาน RR, RB และ RG นั้น เป็นตัวต้านทานที่จำกัดกระแสไหลผ่าน LED ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดความสว่างในแต่ละสี RR เป็นของสีแดง, RB เป็นของสีน้ำเงิน และ RG เป็นของสีเขียว ซึ่งโดยปกติแล้วจะใช้ค่า 220Ω เท่ากันหมด ซึ่งจะให้กระแสไหลผ่าน LED ไม่มากจนเกินไป และได้ความสว่างที่เหมาะกับลูกบอลที่ใช้งาน สำหรับคนที่อยากจะปรับแต่งความสว่างของแต่ละสี ก็สามารถเพิ่มหรือลดค่าความต้านทานได้ตามชอบ แต่ก็ไม่ควรใช้ค่าต่ำกว่า 120W เพราะจะทำให้กระแสไหลผ่านสูงเกินไป จนอาจทำให้ LED ร้อนและเสียหายได้

จากนั้นใส่ไดโอดบริดจ์ ดูทิศทางให้ถูกต้อง ต่อสายไฟเชื่อมจุด 1-R , 2-B , 3-G และลวดจัมป์แถวๆ ไฟ + และต่อสายไฟจากกะบะถ่าน และต่อสายไฟที่จุดไฟเข้า เผื่อออกมาไว้ก่อน ดังรูปที่ 5

สังเกตว่าวงจรนี้มีการวางอุปกรณ์สองด้าน อุปกรณ์ส่วนใหญ่วางอยู่ปกติ ส่วน LED LRGB9553 จำนวน 6 ดวง และตัวเก็บประจุ 0.1 µF (ที่อยู่ตรงกลาง) บัดกรีไว้ด้านลายทองแดง การบัดกรี LED แบบ SMD ให้ใช้ความระมัดระวัง เพราะตัวเล็กและต้องดูทิศทางให้ดีก่อนบัดกรีเสมอ สังเกตง่ายๆ ว่า ทิศของมุมบากขา 1 จะเรียงชี้วนตามเข็มนาฬิกา

ส่วนสวิตช์ลูกเหล็กที่ทำไว้ ก็ให้ใส่ด้านอุปกรณ์ตามปกติ แล้วบัดกรีให้เรียบร้อย ตรวจสอบความถูกต้องให้แน่ใจอีกครั้ง หงายแผ่นวงจรให้ LED หันหน้าขึ้นด้านบนก่อน

การทดสอบ
นำแบตเตอรี่แบบประจุได้ขนาด AAA 3 ก้อนใส่ในกะบะถ่านให้เรียบร้อย LED จะยังคงดับอยู่ เมื่อพลิกวงจรคว่ำลง แล้วหงายหน้าขึ้นมา LED จะต้องเปล่งแสงสีแดงออกมา และเมื่อคว่ำลงอีกครั้งแล้วหงายหน้าขึ้นมาใหม่ สีจะต้องเปลี่ยนตามจังหวะที่กำหนดเอาตามตารางก่อนหน้านี้ ถ้าสีใดขาดหายไปทั้งหมด ให้ตรวจสอบวงจรทรานซิสเตอร์ที่สีนั้นๆ รวมถึงสายไฟที่เชื่อมออกมาด้วยว่าถูกต้องหรือไม่ แต่ถ้าหากมีเฉพาะบางดวงที่ดับไป หรือสีหายไปเป็นบางจุด ให้ถอดแบตเตอรี่ออกก่อน แล้วตรวจสอบจุดบัดกรี LED และอย่าให้ตะกั่วลัดวงจรได้

การทำลูกบอลสำหรับใส่วงจร
สำหรับลูกบอลที่ใช้นี้เป็นบอลพลาสติกใส (หาซื้อได้แถวสำเพ็งร้านที่มีภาชนะพลาสติกเยอะๆ ร้านไหนก็ได้ มีแทบทุกร้าน) มีส่วนประกบกัน 2 ส่วนเป็นส่วนฝาและส่วนรองรับแผงวงจร แต่เพื่อความสวยงามและต้องการให้แสงกระจายให้สีที่นุ่มนวลกับสายตามากขึ้นจึงต้องลงมือตกแต่งสีด้วยการพ่นสีสเปรย์สีขาว โดยให้พ่นด้านในของลูกบอล แต่ก่อนพ่นต้องห่อหุ้มผิวด้านนอกเสียก่อน อาจใช้เทปกระดาษกาวแปะกับกระดาษหนังสือพิมพ์เพื่อป้องกันสีไปเลอะบริเวณผิวด้านนอกของบอลดังรูปที่ 6


รูปที่ 6 การทำสีให้เป็นบอลสปา


รูปที่ 7 ทำสีเสร็จแล้วพร้อมประกอบ

เมื่อได้บอลที่ทำสีแล้ว ให้เจาะรูขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 มม. ที่ฝาด้านล่างดังรูปที่ 10 จำนวน 2 รู โดยเจาะห่างกันประมาณ 4 ซ.ม. เพื่อใส่ตะปูเป๊กเป็นจุดต่อกับชุดวงจรประจุไฟ ที่เรากำลังจะทำในขั้นต่อไปแล้วใช้กาวร้อน กาวแท่ง หรือกาวยางติดยึดตะปูและอุดรูกันน้ำให้เรียบร้อย แล้วบัดกรีต่อสายไฟเข้ากับแผ่นวงจร ทดสอบวงจรของลูกบอลอีกครั้งว่าไฟยังคงทำงานถูกต้องทุกสี ทุกหลอด แล้วถอดแบตเตอรี่ออกก่อน


รูปที่ 8 เจาะรูเพื่อติดตะปูเป็กสำหรับเป็นจุดประจุแบตเตอรี่

วงจรประจุไฟให้บอลแสง
ส่วนของวงจรประจุแบตเตอรี่ ใช้ไฟจากอะแดปเตอร์ 9V ผ่านวงจรไดโอดเพื่อจัดเรียงขั้วไฟให้ถูกต้องเสมอ แล้วผ่านไอซี LM317T ที่จัดวงจร เพื่อจ่ายกระแสคงที่ คำนวณจากสูตร

I set = 1.2 / RS

ในที่นี้ RS มีค่า 15W กระแสที่จ่ายได้มีค่าประมาณ 80mA. ถ้าคิดคร่าวๆ การประจุแบตเตอรี่ AAA ความจุ 800 mAh ได้เต็ม จะใช้เวลาประมาณ 10 ชั่วโมงนั่นเอง แต่ถ้าใจร้อน ก็สามารถลดค่า RS ลงได้ เพื่อให้กระแสไฟออกมากขึ้น แต่ก็จะทำให้ไอซี LM317T ร้อนมากขึ้นและต้องติดแผ่นระบายความร้อนเพิ่มเติมด้วย แต่อย่างไรก็ตามไม่ควรตั้งค่ากระแสไฟออกมากกว่า 200mA เพราะจะทำให้เกิดความร้อนมากทั้งตัววงจรประจุและแบตเตอรี่ที่อยู่ในลูกบอลด้วย รวมถึงวงจรนี้ไม่ได้ออกแบบให้ตัดไฟเมื่อประจุเต็มแล้ว ทำให้ถ้ายังคงจ่ายกระแสต่อไปอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน อายุการใช้งานของแบตเตอรี่อาจจะเสื่อมเร็วกว่าปกติได้ ส่วน LED สีเขียว จะแสดงสถานะให้ทราบว่ามีไฟเข้า และไฟ LED สีแดงจะติดเมื่อมีการต่อลูกบอลเข้ากับจุดต่อไฟครบวงจรและเริ่มการประจุไฟ


รูปที่ 9 วงจรประจุแบตเตอรี่ของลูกบอลแสง


รูปที่ 10 ลายทองแดงและการวางอุปกรณ์ของวงจรชาร์จ  (ดาวน์โหลดลายวงจรพิมพ์ขนาดเท่าจริง)

สร้าง​แท่น​ยึด​วงจร​ประจุ​ไฟ​และ​รองรับ​การ​วาง​ของ​บอล​แสง
สำหรับแท่นยึดวงจรประจุแบตเตอรี่นั้น ทำจากแผ่น พลาสวูดสีขาวขนาดหนา 5 มม. ตัดให้มีส่วนโค้งด้วยวงเวียนใบมีดตามแบบในรูปที่ 11 ดูเข้ากันกับลูกบอลแสงของเรา จุดที่จะต่อกับตะปูเป๊กที่อยู่บนลูกบอลนั้น เลือกใช้กระดุมแม่เหล็ก ซึ่งหาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์งานฝีมือเย็บปักถักร้อย ถ้าซื้อของแถวบ้านหม้อแล้ว ให้เดินลงมาแถวย่านพาหุรัด สะพานหันและสำเพ็งรับรองว่ามีแน่นอนครับ เลือกเอาขนาดเล็กมา 1 คู่ ใช้เฉพาะฝั่งที่มีแม่เหล็กเพื่อดูดตะปูเป๊กจะได้นำไฟฟ้าได้ดีขึ้นดังรูปที่ 11
ประกอบวงจรประจุแบตเตอรี่และการทดสอบ

รูปที่ 11 ตัดแผ่นพลาสวูดตามแบบจำนวน 2 ชิ้นส่วนโค้งตัดด้วยวงเวียนใบมีด ยี่ห้อ OLFA สำหรับทำโครงสร้างของแท่นวงจรประจุไฟลูกบอลแสง

ทำการบัดกรีวงจรให้เรียบร้อย ต่อสายไฟออกไปยังกระดุมแม่เหล็กที่เจาะยึดไว้กับแผ่นพลาสวูด แล้วนำฉากเหล็กตัวจิ๋วที่ซื้อมาจากโฮมโปร ยึดสกรูเกลียวปล่อยเข้ากับฐานอีกทีหนึ่งดังรูปที่ 12  จากนั้นเสียบสายอะแดปเตอร์ 9 Vdc เข้าไป จะต้องเห็น LED สีเขียวติด และเมื่อนำลูกบอลที่ใส่แบตเตอรี่แบบประจุได้ มาเขย่าให้ LED ติดสีไหนก็ได้ โดยการหันด้านตะปูเป๊กดูดติดกับจุดกระดุมแม่เหล็กทั้งสองจุด LED ของลูกบอลจะต้องดับลง และ LED สีแดงที่แสดงสถานะ CHARGE จะต้องติดสว่างขึ้นมา เป็นอันใช้ได้

ตรวจสอบการทำงานทั้งหมดให้แน่ใจอีกครั้ง แล้วขันสกรู รองเสารองพลาสติก ยึดวงจรประจุไฟเข้ากับฐานให้เรียบร้อย อาจจะหาแผ่นสติ๊กเกอร์ปิดช่องขันสกรูให้ดูเรียบร้อยมากขึ้น และหากลูกยางรองฐานให้ดูมั่นคงมากขึ้น


รูปที่ 12 ประกอบแผ่นพลาสวูดที่ตัดแล้ว 2 ชิ้นเข้าด้วยกัน

ผนึกลูกบอลขั้นสุดท้าย
เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามแผน ให้นำกะบะใส่แบตเตอรี่ ขนาด AAA 3 ก้อน ยึดเข้ากับแผ่นวงจรลูกบอลให้แน่นหนา ด้วยเทปโฟมกาวสองหน้าแบบแรงยึดสูง ให้ทดลองเขย่าดู จนมั่นใจว่าแน่นหนาดีแล้ว จากนั้นให้ใช้กาวร้อนหยดลงไปที่รอยประกบส่วนฝาล่างของลูกบอล แล้วนำฝาส่วนบนมาประกบโดยไม่ต้องประกบกันสนิทให้เผยอขอบให้เป็นร่องไว้ประมาณ 1 ถึง 2 มิลลิเมตรดังรูปที่ 13.2 รอให้กาวแห้งสัก 10 วินาที ทำการคาดเทปกระดาษกาวหรือเทปพันสายไฟที่กาวไม่เหนียวยืดอาจใช้ของ 3M ก็ได้ พันให้รอบขอบบริเวณรอยต่อของฝาบนและฝาล่าง เพื่อป้องกันการเลอะของกาวซิลิโคน

รูปที่ 13 การผนึกลูกบอลแสงให้กันน้ำได้

จากนั้น บีบกาวซิลิโคนลงไปตามร่องแล้วใช้นิ้วมือปาดซ้ำลงไปให้เนื้อกาวซิลิโคนอัดแน่นลงไปในร่องจนรอบลูกบอล วิธีนี้จะช่วยให้กันน้ำได้ดี เพราะซิลิโคนมีคุณสมบัติที่เหนียวและยืดหยุ่นตัวได้ดี

เมื่อปาดกาวซิลิโคนจนรอบลูกบอลแล้ว ให้ดึงเทปกาวที่คาดกันไว้ออกทันที ไม่ต้องรอจนกาวซิลิโคนแห้ง เพราะจะทำให้ลอกออกยาก จากนั้นปล่อยให้เนื้อกาวซิลิโคนแห้งสนิทประมาณ 4 ถึง 5 ชั่วโมงเป็นอันเสร็จพร้อมนำไปใช้งานในอ่างน้ำที่บ้านได้ทันที

การนำไปใช้งาน
สำหรับการนำไปใช้งานก็ไม่มีอะไรยุ่งยากแล้วครับ เพราะอย่างที่บอกว่าแค่พลิกฝ่ามือสีก็เปลี่ยน ดังนั้นในการใช้งานก็เพียงคว่ำลูกบอลแล้วหงายขึ้นก็ทำให้ LED ส่อง สว่างเป็นสีที่เราต้องการเรียงลำดับกันไปเรื่อยๆ ตามตารางที่ 2 และสามารถดูความหมายและประโยชน์ของสีต่างๆ ได้ในตารางที่ 1

**********************************************
รายการอุปกรณ์ลูกบอลแสง
**********************************************
R1,R2 – 10kΩ 1/8 ±5% 2 ตัว
R3,RR,RB,RG – 220Ω 1/8W ±5% 19 ตัว
R4-R6 2.2kΩ 1/8W ±5% 3 ตัว
C1 – 0.1µF 50V. แบบ MKT. ขากว้าง 5 มม. 1 ตัว
C2 10µF 16V. อิเล็กทรอไลต์ 2 ตัว
D1 1N5819 1 ตัว
D2 1N4148 1 ตัว
BD1 DB104G บริดจ์ไดโอด 1A. แบบตัวถัง DIP 1 ตัว
Q1-Q3 KTD1146 3 ตัว
IC1 CD4040 หรือ MC14040 1 ตัว
LED1-LED6 LRGB9553 ตัวถัง SMD 4 ขา 6 ตัว
SW1 สวิตซ์ตรวจจับแบบลูกเหล็ก 1 ตัว
อื่นๆ กะบะถ่าน AAA 3 ก้อน, แบตเตอรี่แบบประจุได้
ขนาด AAA 3 ก้อน, สายไฟ
กล่องลูกบอลใส, อุปกรณ์ทำสีเคลือบผิวด้านในกล่อง, ตะปูเป๊ก, กระดาษกาว

*******************************************************
รายการอุปกรณ์วงจรประจุแบตเตอรี่
******************************************************
R1,R2 1kΩ 1/4W ±5% 2 ตัว
R3 15Ω 1/2W ±5% 1 ตัว
C1 220µF 16V. อิเล็กทรอไลต์ 2 ตัว
D1-D2 1N4001 2 ตัว
BD1 DB104G บริดจ์ไดโอด 1A. แบบตัวถัง DIP 1 ตัว
LED1 สีแดง 3 mm. 1 ตัว
LED2 สีเขียว 3 mm. 1 ตัว
IC1 LM317T 1 ตัว
J1 แจ๊คอะแดปเตอร์ 1 ตัว
อื่นๆ กระดุมแม่เหล็ก, แผ่นพลาสวูด, สายไฟ, เสารอง PCB พลาสติกตัวสั้น, สกรู 3 x 15มม.หัวตัด พร้อมนอต, ฉากเหล็กตัวจิ๋ว


 

Categories
Gadget Home & Garden คุณทำเองได้ (DIY)

Pillow Speaker

สำหรับผู้ที่รักในเสียงเพลง ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ ก็มักจะมีหูฟังคอยฟังเพลงอยู่ตลอดเวลา แล้วในยามนอนล่ะจะฟังอย่างไร ไอ้ครั้นจะใส่หูฟังนอนก็ไม่สะดวกเท่าไร  แต่ถ้าจะเปิดเครื่องเสียงล่ะก็ อาจจะเสียงดังเกินไป
จนรบกวนคนรอบข้างที่นอนอยู่ แล้วจะทำยังไงดีล่ะ นี่คือทางออกของผู้ที่รักเสียงเพลงครับ “Pillow Speaker” หรือหมอนลำโพงนั่นเอง จะใช้หนุนนอนเหมือนหมอนธรรมดาก็ได้ หรือจะใช้ฟังเพลงระหว่างนอนก็ดี แล้วเขาทำกันยังไงล่ะ ตามมาทางนี้เลย…

คิดแล้วยังเสียดายหูฟังคู่เก่งของกระผมไม่หาย ที่นอนทับจนสายขาด แต่จะโทษใครได้ล่ะก็ต้องโทษตัวเองนี่แหละ ที่อยากฟังเพลงก่อนนอน หากใครเคยเจอเรื่องแบบนี้ คงต้องหันมาดูไอเดียนี้กันแล้วครับ

Pillow Speaker สิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้ทำได้ง่ายๆ ไม่ต้องมีทักษะอิเล็กทรอนิกส์ในเชิงลึกก็ทำได้แล้วครับ และที่สำคัญมันใช้งานได้ค่อนข้างดีทีเดียว เพราะขณะเราเอนศีรษะลงหมอน น้ำหนักศีรษะของเราจะกดหมอนลงไป ทำให้หูฟังที่ติดตั้งไว้ด้านในจะนูนขึ้นมาใกล้กับหูของเรา ทำให้สามารถได้ยินเสียงดนตรีได้อย่างชัดเจน แต่หากศีรษะใครเล็กก็หาหมอนที่มีขนาดไม่ใหญ่นักเวลานอนจะได้พอดี ลองมาดูการประดิษฐ์กันเลยครับ

เตรียมอุปกรณ์กันก่อน

รูปที่ 1 อุปกรณ์กองอยู่ตรงหน้าเตรียมลุย

1.หมอน ขนาดตามที่ต้องการ จำนวน 1 ใบ
2.หูฟังแบบครอบศรีษะ จำนวน 1 อัน
(จะใช้หูฟังเก่าที่ไม่ใช้แล้วก็ได้)
3.แจ็คสเตอริโอ ขนาด 3.5 ม.ม. จำนวน 1 ตัว
4.เข็มและด้าย (ด้ายให้ใช้สีตามสีพื้นของหมอน)
5.คัตเตอร์
6.กรรไกร
7.หัวแร้งและตะกั่วบัดกรี
8.ปลอกหมอน (แบบตามชอบ)
9. สายรัด

ขั้นตอน​การ​สร้าง​หมอน​ลำโพง
(1) ​นำ​หูฟัง​แบบ​ครอบ​ศีรษะ​ที่​เตรียมไว้​มา​ทำการ​แยก​เอา​ส่วน​ของ​ลำโพง​ออก​จากที่​ครอบ​


รูปที่ 2 หูฟังแบบครอบซื้อมือสองมาจากบ้านหม้ออันละ 30 กว่าบาท


รูปที่ 3 แยกส่วนประกอบหูฟังแบบครอบศีรษะ

(2) เมื่อ​แยกส่วน​หูฟัง​แล้ว จากนั้น​ก็​ทำการ​เลาะ​ตะเข็บ​ด้าน​ข้าง​ของ​หมอน​ออกด้านใดด้านหนึ่ง เพื่อ​นำ​หูฟัง​เขัาไป​ติดตั้ง โดย​ใช้​คัตเตอร์​ค่อยๆ เลาะ​ด้าย​ออกมา


รูปที่ 4 เลาะตะเข็บข้างหมอนออกข้างใดข้างหนึ่ง

(3) สอด​หูฟัง​ที่​แยก​ไว้แล้ว เข้าไป​ติด​ด้านใน​ของ​หมอน โดยกะระยะให้หูฟังอยู่ 2 ด้านของศีรษะด้วยการทดลองกดตรงกลางหมอนหรือจะลองหนุนเพื่อทิ้งน้ำหนักของศีรษะลงตรงกลางหมอนเลยก็ดี จะทำให้เรารู้ระยะที่เหมาะสมของการติดตั้งหูฟัง เมื่อได้ตำแหน่งที่เหมาะสมแล้วก็​ทำการ​ใช้ด้ายเย็บ​หูฟังติดกับหมอน เพื่อ​ไม่​ให้​หูฟัง​เลื่อนไป​มาได้


รูปที่ 5 หูฟังล่อนจ้อนเตรียมซุกในหมอน


รูปที่ 6 สอดเข้าไปในตำแหน่งเหมาะๆ


รูปที่ 7 เย็บหูฟังติดกับหมอน

(4) ​เก็บสายไว้ตามแนวตะเข็บขางหมอน แล้วปล่อยสายหูฟังออกมาด้านนอก ก่อนเย็บปิดผมใช้สายรัดล็อกสายสัญญาณส่วนที่อยู่ด้านใน เพื่อป้องกันสายหูฟังขาดเพราะอาจมีคนมาดึงปลายสาย (โดยเฉพาะแม่บ้านของกระผม) จากนั้นใช้ด้ายเย็บ​ปิดด้าน​ข้าง​ของ​หมอน​ให้สนิท


รูปที่ 8 สอดสายปลายสายหูฟังออกแล้วเย็บปิด

(5) เสร็จแล้วก็หาปลอกหมอนมาสวม หรืออาจวาดลวดลาย​บนปลอก​หมอน​ตามต้องการ โดย​ใช้​สี​สำหรับ​ย่อม​ผ้า เพื่อ​ความ​คงทน

(6) บัดกรีแจ็กสเตริโอตัวผู้ขนาด 3.5 มม. ที่ปลายสายสัญญาณก็เป็นอันพร้อมใช้แล้วครับ

การใช้งาน
แทบไม่ต้องอธิบาย ก็เสียบแจ๊กเข้ากับเครื่องเล่นเพลง แต่คุณภาพเสียงอาจไม่ดังสะใจเท่าการครอบกับหูโดยตรง แต่ยังไงก็สะดวกกว่าการครอบหูนอนก็แล้วกัน เพราะไม่มีสายเกะกะรุงรังกวนใจนะจะบอกให้


 

Categories
Home & Garden Lighting คุณทำเองได้ (DIY)

Auto Lamp

สร้างโคมไฟดีไซด์โมเดิร์นที่เปิดปิดและปรับความสว่าง ได้เองอย่างง่ายๆ

แนวคิด

โคมไฟอัตโนมัตินี้ถูกออกแบบให้สามารถปรับความสว่างได้อัตโนมัติ ตามสภาพแสงในบริเวณนั้น โดยให้ดับในสภาพแสงสว่างปกติและเริ่มสว่างเมื่อแสงสว่างลดน้อยลง ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ AA เพียง 4 ก้อนทำให้ประหยัดพลังงานมากกว่าโคมไฟปกติ โคมไฟนี้ใช้งานง่าย สามารถเคลื่อนที่ย้ายได้สะดวก วงจรของโคมไฟอัตโนมัตินี้เป็นวงจรง่ายๆ ที่ทุกคนสามารถทำมันขึ้นมาเองได้ ดังรูปที่ 1

รายการอุปกรณ์ของแผงวงจร
R1 – LDR ขนาดเล็ก 1 อัน
R2 – ตัวต้านทาน 3.9 kΩ ¼ w 5 % 1 ตัว
R3 – ตัวต้านทาน 1.5 kΩ ¼ w 5 % 1 ตัว
R4 – ตัวต้านทาน 47 kΩ ¼ w 5 % 1 ตัว
R5,R6,R7,R8,R9 – ตัวต้านทาน 68Ω ¼ w 5% 5 ตัว
Q1, Q2 – ทรานซิสเตอร์ เบอร์2N3904 2 ตัว
LED1 ถึง LED5 – LED ความสว่างสูงสีขาว 5 มม. 5 ดวง
กระบะสำหรับใส่แบตเตอรี่ AA 4 ก้อน 1 อัน

รายการอุปกรณ์ของโคม
• แผ่นพลาสวูดหนา 5 มม. ขนาด 50 x 50 ซม.
• แผ่นอะครีลิกสีขาวโปร่งแสงหนา 1 มม. ขนาด 30 x 30 ซม.
• กาวร้อน
• กาวยาง
• สายไฟอ่อน
• แผ่นยางอัดสีน้ำตาล
• น้ำยาประสานพลาสติก

หลักการทำงาน

วงจรโคมไฟอัตโนมัตินี้ เราใช้ LDR เป็นตัวควบคุมความสว่างของ LED ดังนั้นวงจรนี้จึงใช้ไฟเลี้ยงวงจรเพียง 6 V โดยใช้แบตเตอรี่ AA 4 ก้อน โดยเมื่อจ่ายไฟเลี้ยงเข้าวงจร LDR ก็จะเริ่มรับแสงเพื่อปรับความต้านทานภายในตัวมัน จึงส่งผลให้ความสว่างของโคมไฟเปลี่ยนไป ซึ่งการปรับความสว่างและหรี่ของโคมไฟนั้น ได้กำหนดเอาไว้ในช่วงที่เหมาะสมกับไฟในห้องทำงาน แต่ถ้าท่านต้องการจะปรับเปลี่ยนก็ให้ปรับค่าตัวต้านทาน R2
การต่อทรานซิสเตอร์ในวงจรอัตโนมัตินี้จะสังเกตได้ว่า ใช้การต่อแบบดาร์ลิงตัน ซึ่งมีข้อดีคือ สามารถให้อัตราการขยายที่สูง การจัดวงจรทรานซิสเตอร์แบบนี้เป็นผลงานการคิดค้นของ ซิดนีย์ ดาร์ลิงตัน

รูปที่ 1 วงจรของ Automatic Lamp

การประกอบวงจร
ก่อนการประกอบวงจรเรามาเริ่มจากการทำแผ่นวงจรพิมพ์ จากนั้นก็ลงอุปกรณ์ตามแบบในรูปที่ 3 โดยใส่และบัดกรีอุปกรณ์ตัวที่เตี้ยที่สุดก่อน แล้วไล่ลำดับความสูงขึ้นมาเรื่อยๆ

รูปที่ 2 ลายทองแดงของแผ่นวงจรพิมพ์ Automatic Lamp (ดาวน์โหลดลายวงจรพิมพ์ขนาดเท่าจริง)

รูปที่ 3 แบบการลงอุปกรณ์ Automatic Lamp

การทดสอบวงจร
เมื่อเราต่อวงจรเสร็จแล้ว คราวนี้เรามาทดสอบกันว่ามันสามารถใช้งานได้หรือไม่ วิธีการทดสอบก็เป็นวิธีง่ายๆ เริ่มจากการใส่แบตเตอรี่ AA 4 ก้อนเข้าไป นำโคมไฟไปวางไว้ในที่มีแสงสว่างเพียงพอ LED ทั้ง 5 ดวงจะต้องดับ และถ้านำไปไว้ในที่มืด LED จะติด หากไม่มีที่มืดให้ทดสอบโดยใช้มือมาบัง LDR ไว้

ลงมือสร้างโคมไฟกันเถอะ
สำหรับตัวโคมไฟนี้ได้ออกแบบให้มีรูปทรงเป็นต้นเสาสไตล์ญี่ปุ่น แต่จะเรียกอย่างไรก็ไม่สำคัญ ขอให้เวิร์กก่อนก็แล้วกันเป็นใช้ได้
ก่อนทำการสร้างเราจะแบ่งโคมไฟนี้ออกเป็น 3 ส่วนด้วยกันคือ ส่วนฝาครอบที่ฝัง LDR กับแผงวงจร, ส่วนโคมส่องสว่างที่เป็นอะครีลิกสีขาว และส่วนลำตัวสำหรับตั้งกับพื้นและติดตั้งกะบะถ่าน ดังนั้นผมจะขออธิบายแต่ละส่วนเรียงลำดับกันไปนะครับ

ส่วนฝาครอบ
(1) เริ่มจากการตัดแผ่นพลาสวูดหนา 5 มม. ขนาด 8×2.5 ซม. 2 แผ่น , 7×2.5 ซม. 2 แผ่น ขนาด 8×8 ซม. 1 แผ่น ด้วยคัตเตอร์ จากนั้นประกอบเข้าด้วยกันดังรูปที่ 4 แล้วนำแผ่นยางอัดสีน้ำตาลมาแปะเพื่อความอาร์ตให้รอบ โดยการปาดกาวยางบางๆ ลงบนพลาสวูดแล้วก็ติดด้วยแผ่นยางตามลงไป

รูปที่ 4 ตัดพลาสวูดหนา 5 มม. ให้ได้ขนาดตามนี้

(2) ติดตั้ง LDR โดยเจาะรูขนาด 3 มม. แล้วสอดขา LDR ลงไปหุ้มขา LDR ด้วยฉนวนกันลัดวงจร (อาจใช้เทปพันสายไฟหรือเทปใสก็ได้) และต่อสายไฟยาวๆ ออกมาประมาณ 5 ซม. แล้วบัดกรีกับแผงวงจรด้านลายทองแดงดังรูปที่ 5

รูปที่ 5 การติดตั้งและต่อสายไฟให้กับ LDR

(3) ยึดแผงวงจรด้วยสกรูเกลียวปล่อย

ส่วนโคมส่องสว่าง
(1) ตัดแผ่นอะครีลิกสีขาวหนา 1 มม. ให้ได้ขนาด 7×15 จำนวน 4 แผ่น

(2) นำมาประกอบกันดังรูปที่ 6 โดยใช้น้ำยาประสานพลาสติกเป็นตัวทำละลาย

รูปที่ 6 โคมที่ประกอบจากอะครีลิก 1 มม.

ส่วนโคม
(1) ตัดแผ่นพลาสวูดหนา 5 มม. ขนาด 20×8 ซม. 2 แผ่น, ขนาด 20×7 ซม. 2 แผ่น และขนาด 7×7 ซม. 1 แผ่น สำหรับเป็นแผ่นฐานรับโคมอะครีลิก แล้วประกอบเข้าด้วยกันด้วยกาวร้อน โดยเปิดฝาด้านใดด้านหนึ่งไว้เดินสายจากแบตเตอรี่ขึ้นไปหาแผงวงจร

(2) ติดตั้งกะบะถ่าน AA 4 ก้อน ด้วยกาวสองหน้าอย่างหนาโดยให้ด้านที่เป็นสายไฟออกหันออกมาด้านนอกดังรูปที่ 7

รูปที่ 7 ประกอบแผ่นพลาสวูดส่วนลำตัวโคมไฟและติดตั้งกะบะถ่าน AA 4 ก้อน

ประกอบทุกส่วนเข้าด้วยกัน

รูปที่ 8 การเดินสายภายใน

(1) เดินสายไฟเลี้ยงวงจรในโคมอะครีลิก โดยเผื่อสายให้ยาวถึงกะบะถ่านที่ติดตั้งไว้ด้านล่างของส่วนลำตัวดังรูปที่ 8.1

(2) เจาะรู 3 มม. ที่ส่วนฐานสำหรับรองรับโคมอะครีลิกหรือพอให้สายไฟสอดผ่านได้ที่มุม 2 ฝั่งแล้วสอดสายเข้าไปดังรูปที่ 8.2

(3) บัดกรีสายที่สอดเข้าไปกับกะบะถ่านทั้ง 2 เส้นให้เรียบร้อยดังรูปที่ 8.3 จากนั้นก็ปิดแผ่นพลาสวูดที่เหลือได้เลยครับ

(4) ส่วนปลายสายไฟอีกด้านหนึ่งก็บัดกรีเข้ากับแผงวงจรดังรูปที่ 8.4

(5) ทำการประกอบเข้าด้วยกัน โดยสวมส่วนหัวเข้ากับโคมอะครีลิก ก่อน แล้วจึงค่อยไปสวมกับลำตัว ซึ่งเมื่อสวมแล้วตัวโคมอะครีลิกจะวางอยู่บนแผ่นฐานของลำตัวพอดีดังรูปที่ 9.1

(6) ขั้นตอนสุดท้ายหลังจากทุกอย่างถูกประกอบเข้าด้วยกันแล้ว ให้นำแผ่นยางอัดมาติดที่ลำตัวด้วยกาวยาง

รูปที่ 9 การประกอบทุกส่วนเข้าด้วยกันแล้วตกแต่งพื้นผิวด้วยแผ่นยางอัด

เสร็จแล้วครับขั้นตอนอันยุ่งยากก็มีเพียงเท่านี้ ต่อไปก็เพียงจ่ายไฟเข้าโดยการนำแบตเตอรี่ AA 4 ก้อน มาใส่ในกะบะถ่าน วงจรก็จะเริ่มทำงานทันที ทดลองนำมือไปค่อยๆ บังแสงอย่างช้าๆ จะเห็นว่าแสงจากโคมไฟจะก็จะค่อยๆ สว่างขึ้นตามความมืดที่เพิ่มมากขึ้นนั่นเอง


 

Categories
Home & Garden Pets คุณทำเองได้ (DIY)

CAT FOUNTAIN

เห็นชื่ออย่าเพิ่งนึกว่ามันคือน้ำพุรูปแมวนะคร้า แต่มันคืออุปกรณ์ช่วยให้น้ำแมวที่กรองฝุ่นละอองได้ ทำให้เจ้าเหมียวได้เพลิดเพลินกับการกินน้ำมากยิ่งขึ้น เห็นมีขายในเว็บเยอะแยะแต่ราคาหลักพันเลยเชียวนะ ดูแล้วก็ไม่น่าจะยาก เลยลองทำเองซะเลย อิอิ

น้ำพุแมวเครื่องนี้จะช่วยให้น้ำในภาชนะได้หมุนเวียนตลอดเวลาเพื่อช่วยกรองฝุ่นละอองให้ลงไปอยู่ในวัสดุกรอง แต่เนื่องจากน้ำที่ให้เจ้าเหมียวก็เป็นน้ำกรองอยู่แล้ว เลยใช้วัสดุกรองหยาบๆ ก็พอ ในตัวที่ทำนี้ใช้หินกรวดก้อนเล็กๆ ไว้ดักจับฝุ่นหรือเศษขี้ผงให้นอนอยู่ตามซอกหินค่ะ

อุปกรณ์การประดิษฐ์
1. ภาชนะใส่น้ำแบบมีฝาปิด
2. ถ้วยพลาสติกขนาดใหญ่สำหรับครอบปั้มน้ำได้
3. ถ้วยพลาสติกขนาดเล็ก
4. หลอดดูดน้ำ
5. หินกรวดขนาดเล็ก
6. ปั้มน้ำไฟตรงขนาด 6 ถึง 12V 3W (สั่งซื้อคลิก)
7. อะแดปเตอร์ไฟตรง 6V

ขั้นตอนการประดิษฐ์
เมื่ออุปกรณ์พร้อม คนพร้อม แมวก็พร้อม (ตั้งนานแล้ว) จะรออะไรมาเริ่มกันเลยค่ะ

(1) นำถ้วยพลาสติกขนาดใหญ่มาเจาะรู 2 แถว ที่ขอบถ้วยโดยจำนวนของรูเจาะไม่ต้องรอบขอบถ้วย เอาแค่ครึ่งด้วยก็พอดังรูปที่ 1


รูปที่ 1 เจาะรูขอบถ้วยที่ครอบปั้มน้ำเพื่อให้น้ำเข้าไปภายใน

(2) คว้านก้นถ้วยพลาสติกขนาดใหญ่ให้ขนาดเท่ากับก้นของถ้วยเล็กดังรูปที่ 2.1 จากนั้นสอดถ้วยเล็กเข้าไปดังรูปที่ 2.2 จะได้ฐานน้ำพุ 2 ชั้น แนะนำว่ารูที่คว้านต้องมีขนาดพอดีหรือคับนิดหน่อยจะได้ไม่ต้องใช้กาวหรือสารเคมีมายึดถ้วย เพื่อความปลอดภัยของเจ้าเหมียว


รูปที่ 2 คว้านก้นถ้วยใบใหญ่และสอดถ้วยใบเล็ก

(3) เจาะรูก้นถ้วยเล็กให้พอดีกับหลอดดูดน้ำ เนื่องจากเราจะใช้หลอดดูดน้ำแทนการใช้สายยางต่อกับปั้มน้ำ
หมายเหตุ : ขออภัยนะค่ะในรูป 3.1 และ 3.2 จะเห็นว่าเป็นถ้วยคนละแบบเพราะเกิดความผิดพลาดของรูเจาะเลยต้องเปลี่ยนถ้วยใหม่ ^^


รูปที่ 3 เจาะรูก้นถ้วยใบเล็กขนาดเท่าหลอดดูด

(4) นำฝากล่องมาคว้านให้ขนาดกว้างกว่าถ้วยใบใหญ่ประมาณ 1 ซม. หรือหากไม่ต้องการปิดฝาก็ข้ามขั้นตอนนี้ไปได้เลย


รูปที่ 4 คว้านฝาภาชนะใส่น้ำ

(5) ติดตั้งปั้มน้ำไฟตรงลงไป แล้วนำถ้วยที่ประกอบกันและเจาะรูแล้วจากขั้นตอนที่ 3 มาวางครอบปั้มน้ำไว้ จากนั้นสวมหลอดดูดลงไปในท่อของปั้มน้ำแล้วตัดปลายหลอดดูดให้เสมอกับก้นถ้วย


รูปที่ 5 ติดตั้งอุปกรณ์ทั้งหมดลงในภาชนะใส่น้ำ

(6) นำหินกรวดไปล้างทำความสะอาดหลายๆ ครั้ง แล้วเทใส่ลงในภาชนะหรือจะใส่หินลงถุงผ้าก่อนก็ดีเพื่อง่ายในการล้างทำความสะอาดค่ะ จากนั้นเติมน้ำและเสียบอะแดปเตอร์เข้ากับปั้มน้ำไฟตรง แล้วปิดฝา


รูปที่ 6 ใส่หินกรวดสำหรับกรองฝุ่นละออง

(7) อันที่จริงมันเสร็จแล้วค่ะ แต่ดูแปลกๆ เลยหาวัสดุมาตกแต่งสักหน่อย ไหนๆ มันก็เป็นน้ำพุแล้วทำเป็นสวนเล็กๆ มันซะเลย โดยใช้อิฐลูกเต๋าและต้นไม้เทียม จัดเรียงให้ถูกใจแล้วยึดด้วยปืนยิงกาว


รูปที่ 7 ตกแต่งฝาปิดด้วยอิฐลูกเต๋าและต้นไม้เทียม

เสร็จแล้วจ้าน้ำพุแมวฝีมือป้าแจ่ม ลองให้เจ้าเหมียวมาตรวจสอบหน่อย แต่ดูมันจะตกใจเล็กน้อยเพราะไม่เคยเห็น ต้องใช้เวลาปรับตัวสักพักกว่าจะกล้ากินน้ำ

ลองทำกันดูนะค่ะ งานนี้ตอนแรกจะให้ปั้มทำงานแบบอัตโนมัติเมื่อเจ้าเหมียวเดินมาแต่คุณพ่อบ้านไม่ว่างทำให้ซักที ใครมีความรู้ด้านอิเล็กทรอนิกส์ก็จัดการต่อได้เลยค่ะ แต่ของป้าเอาแค่นี้ก็ใช้ได้แล้ว


เรื่องที่คุณอาจสนใจ

Categories
Home & Garden Lighting คุณทำเองได้ (DIY)

Straw LED Lamp

ประดิษฐ์โคมไฟ LED สำหรับอ่านหนังสือและส่องสว่างยามค่ำคืนแบบง่ายๆ จากวัสดุเหลือใช้

“เมื่อไหร่จะซื้อโคมไฟมาติดให้ซักที” เสียงเล็กๆ ที่ทรงพลังจากแม่บ้านของผม ผู้ชื่นชอบการอ่านหนังสือก่อนนอนเป็นยิ่งนัก ทำเอาเมกเกอร์อย่างเราเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข ต้องทำอะไรบางอย่างแล้วล่ะสิ

ในเมื่อโจทย์ที่ได้รับคือไฟสำหรับอ่านหนังสือหัวเตียง จะไปซื้อมาก็มีแต่ราคาสูง แถมเสียเชิงเมกเกอร์อย่างเราเป็นอย่างยิ่ง ว่าแล้วก็ร่างแบบ ทำการคุ้ยๆ เขี่ยๆ ของเก่าในบ้านจนเจอแถบ LED ที่เคยซื้อเก็บไว้ ลองนำมาสอดกับหลอดดูดที่ได้มาจากร้านสะดวกซื้อ แม้ขนาดของหลอดจะเล็กไปหน่อยแต่ก็ไม่เป็นไร ได้แสงขาวๆ สำหรับอ่านหนังสือเป็นใช้ได้ มาดูกันเลยครับว่า ผู้เขียนใช้อุปกรณ์อะไรบ้าง

อุปกรณ์ที่ต้องใช้
1. LED แบบแถบ 6 ดวง
2. หลอดดูดแบบงอได้ 3 อัน
3. ตัวดูดกระจก ทำเป็นฐานยึด
4. แจ็กอะแดปเตอร์
5. สายไฟเส้นเล็กยาวประมาณ 30 ซม.
6. อะแดปเตอร์ไฟตรง 12V.
7. ลวด (เป็นอุปกรณ์เสริม)

เครื่องมือการประดิษฐ์
1. หัวแร้ง+ตะกั่วบัดกรี
2. ปืนยิงกาวพร้อมกาวแท่ง
3. คัตเตอร์

รูปที่ 1 อุปกรณ์ที่ต้องใช้

ขั้นตอนการประดิษฐ์
(1) บัดกรีสายไฟเส้นเล็กเข้ากับขั้วบวกและลบของ LED แบบแถบดังรูปที่


รูปที่ 2 บัดกรีสายไฟเข้ากับขั้วบวกและลบ ของ LED แบบแถบ

(2) นำหลอดดูดมาผ่ากลางให้สามารถสอด LED แบบแถบเข้าไปได้ดังรูปที่ 3 แต่หากผู้อ่านมีหลอดขนาดใหญ่พอสอด LED แบบแถบได้ก็ให้ข้ามขั้นตอนนี้ไปได้เลย (ตัวต้นแบบใช้หลอดจากร้านสะดวกซื้อเส้นผ่านศูนย์กลางมันเล็กไปหน่อย)


รูปที่ 3 ผ่าหลอดดูดเป็นแนวยาวเท่ากับ LED แบบแถบ

(3) ค่อยๆ แหวกเพื่อสอดสายไฟและ LED แบบแถบเข้าไปในหลอดดังรูปที่ 4


รูปที่ 4 บรรจุ LED แบบแถบเข้าไปในหลอดดูด

(4) ตัดหลอดอีก 1 ชิ้น ให้ความยาวเท่ากับ LED แบบแถบ ดังรูปที่ 5.1 แล้วผ่าตามแนวยาวดังรูปที่ 5.2 นำไปครอบ LED ดังรูปที่ 5.3 จะได้ตัวโคมดังรูปที่ 5.4


รูปที่ 5 ครอบหลอดอีกชิ้นเป็นโคม LED

(5) ต่อหลอดชิ้นใหม่เพื่อเพิ่มความสูงของโคม โดยให้สายไฟสอดเข้าในหลอดดังรูปที่ 6.1 สอดลวดยาวประมาณ 15 ซม. เข้าไปในหลอดดังรูปที่ 6.2 เพื่อเป็นช่วยรับน้ำหนักและดัดโค้งได้ตามต้องการ จากนั้นสอดปลายหลอดเข้ากับรูของตัวดูดกระจก ดังรูปที่ 6.4


รูปที่ 6 ต่อหลอดและเสริมลวด

(6) ทำตัวครอบปิดแจ็กอะแดปเตอร์ ในที่นี้ใช้ปลายของซิลิโคนแบบหลอดนำมาตัดให้ได้ขนาดตามต้องการแล้วยึดด้วยปืนยิงกาว


รูปที่ 7 ทำฝาครอบแจ็กอะแดปเตอร์

(7) บัดกรีปลายสายเข้ากับแจ็กอะแดปเตอร์ดังรูปที่ 8 แล้วยึดเข้ากับตัวดูดกระจกด้วยปืนยิงกาว


รูปที่ 8 บัดกรีสายไฟและติดตั้งแจ็กอะแดปเตอร์เข้ากับฝาครอบ

เพียงเท่านี้คุณก็ได้โคมไฟอ่านหนังสือประจำหัวเตียง การใช้งานก็เพียงเสียบอะแดปเตอร์ LED ก็สว่างผ่านการกรองแสงไม่ให้จ้าเกินไปด้วยหลอดดูดสีขาวขุ่น และยังปรับก้มเงยได้อีกต่างหาก

ลองทำกันดูนะครับ หรือจะนำไอเดียไปดัดแปลงใช้กับ LED แบบดวงเดี่ยวและใช้กะบะถ่านเอาก็ย่อมได้ สำหรับฉบับนี้ขอนำโคมไฟไปอวดแม่บ้านก่อนล่ะคร้าบ


เรื่องที่คุณอาจสนใจ

Categories
Gadget Home & Garden คุณทำเองได้ (DIY)

เครื่องเพาะถั่วงอก ระบบน้ำหยด

ลงมือสร้างเครื่องเพาะถั่วงอกประจำครัวเรือนที่หน่วงเวลาการรดน้ำได้โดยไม่ต้องใช้ไฟฟ้า

การเพาะถั่วงอกนั้นจริงแล้วเป็นเรื่องไม่ยากหากมีเวลาดูแล หมั่นรดน้ำทุก 3 หรือ 4 ชั่วโมง หรืออย่างน้อยก็ต้องรดเช้าและเย็นอย่าให้ขาด แต่ภารกิจของคนเมืองที่ต้องเร่งรีบออกจากบ้านก่อนไก่ตื่นเพื่อหลีกเลี่ยงความคับคั่งของการจราจร ผลสุดท้ายลืมสิคร๊าบ แต่จะดีแค่ไหน หากหน้าที่นี้ปล่อยให้ระบบน้ำหยดเป็นผู้ดูแลการรดน้ำแทนเรา

อย่างที่ทราบกันโดยทั่วไป ถั่วงอกจะสมบูรณ์ ขาวอวบ น่ารับประทานได้นั้น การรดน้ำในช่วงเวลาที่เหมาะสมคือปัจจัยสำคัญอันดับต้นๆ แต่ถ้าจะเอาให้ง่ายก็ใช้เครื่องตั้งเวลามาควบคุมวาล์วไฟฟ้าหรือปั้มน้ำให้รดน้ำตามเวลาที่เราต้องการ แต่แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายที่จะต้องตามมานอกจากค่าไฟแล้วยังมีค่าเครื่องตั้งเวลากับวาล์วไฟฟ้า(โซลินอยด์วาล์ว) ดังนั้นการทำระบบน้ำหยดพักน้ำไว้ในถัง แล้วใช้ระบบกาลักน้ำ (Siphon) ดึงน้ำจากถังพักไหลลงไปยังตะกร้าเพาะถั่วจึงเป็นทางเลือกที่น่าจะตอบโจทย์นี้

หากยังนึกภาพไม่ออกลองดูหลักการทำงานของเครื่องเพาะถั่วงอกในหน้าถัดไปครับ

เตรียมอุปกรณ์ (ไม่รวมเครื่องมือช่าง)
1. ภาชนะทึบแสง 2 ใบ ทรงกลมก็ดี ทรงเหลี่ยมก็ได้
2. ตะกร้ารูปทรงและขนาดที่สามารถใส่ลงในภาชนะตามข้อ 1 ได้ 1 ใบ
3. ท่อ PVC ขนาด 4 หุนพร้อมหัวอุด
4. ก้านลูกโป่ง หรือหลอดกาแฟ
5. หัวน้ำหยด
6. ข้อต่อ 4 หุน สำหรับต่อจากวาล์วน้ำให้ขนาดเข้ากับสายยางได้
7. สายยางเล็ก (ท่อ PE)
8. วาล์วน้ำ (สต๊อปวาล์ว)
9. กาวซิลิโคน
10. พลาสวูดหรือแผ่นพลาสติกอะคริลิก



รูปที่ 1 อุปกรณ์หลักๆ สำหรับทำเครื่องเพาะถั่วงอกระบบน้ำหยด

หลักการทำงานของเครื่องเพาะถั่วงอกระบบน้ำหยด
ก่อนจะไปถึงขั้นตอนการสร้าง เรามาดูหลักการทำงานกันก่อนจะได้เห็นภาพรวมของการทำงาน เพื่อการจัดเตรียมอุปกรณ์อย่างไม่ขาดตกบกพร่องกันนะครับ
1. เริ่มจากเปิดน้ำเข้าถังบน หัวน้ำหยดจะปล่อยให้น้ำหยดลงถังน้ำอย่างช้าๆ (มากน้อยขึ้นอยู่กับการปรับวาล์วน้ำและหัวน้ำหยดด้วย)
2. เมื่อระดับน้ำสูงจนถึงปลายท่อระดับ (ในที่นี้คือก้านลูกโป่ง) น้ำจะค่อยๆ ไหลลงท่อ แต่จะไหลลงอย่างช้าๆ
3. เมื่อน้ำภายในท่อไหลเข้าไปแทนที่อากาศทั้งหมดระบบกาลักน้ำ (Siphon) ก็เริ่มสูบน้ำลงด้านล่าง ตอนนี้น้ำจะไหลผ่านแผ่นกระจายน้ำที่เป็นแผ่นพลาสติกเจาะรูไว้ทั่วทั้งแผ่นลงไปยังตะกร้าที่บรรจุเมล็ดถั่วไว้
4. น้ำที่ผ่านตะกร้าจะไหลออกทางท่อน้ำทิ้งด้านล่าง

โดยระบบจะทำงานซ้ำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ทำให้มั่นใจได้ว่าถั่วของเราจะได้รับน้ำอย่างสม่ำเสมอ และได้เก็บเกี่ยวผลผลิตในเวลา 3 วันแน่นอน

รูปที่ 2 แสดงโครงสร้างของเครื่องเพาะถั่วงอก

ขั้นตอนการสร้าง
สำหรับขั้นตอนการสร้าง ผู้เขียนจะอ้างอิงจากภาพประกอบที่ 2 ซึ่งเป็นภาพวาดโครงสร้างและส่วนประกอบของเครื่อง
(1) นำตะกร้ามาตัดขอบออกดังรูปที่ 3 จะได้ตะกร้าที่ใส่ลงในถังน้ำได้พอดี แต่หากท่านที่มีตะกร้าขนาดพอดีกับถังน้ำอยู่แล้วก็ข้ามขั้นตอนนี้ไปเลย


รูปที่ 3 การตัดขอบปากตะกร้าให้ใส่ลงในถังน้ำได้พอดี

(2) ตัดท่อ PVC ขนาด 3 หรือ 4 หุน ก็ได้ เป็นชิ้นเล็กๆ นำมาผูกติดก้นตะกร้าด้วยสายรัด (การหนุนให้ก้นตะกร้าสูงจากพื้นก็เพื่อป้องกันไม่ให้เมล็ดถั่วถูกน้ำขังจนทำให้เน่าได้) ดังรูปที่ 4



รูปที่ 4 ใช้ท่อ PVC หนุนตะกร้าป้องกันน้ำขัง

(3) เจาะรูที่ก้นถังน้ำให้พอดีกับท่อน้ำทิ้งขนาด 4 หุน ที่เตรียมไว้ จากนั้นใช้กาวซิลิโคนอุดภายในถังน้ำเพื่อป้องกันน้ำรั่วซึมจากรอยเจาะ


รูปที่ 5 การติดตั้งท่อน้ำทิ้ง

(4) ทำแผ่นกระจายน้ำโดยตัดแผ่นพลาสวูดหนา 3 หรือ 5 มม. ให้ขนาดสามารถปิดลงไปกึ่งกลางของถังน้ำได้ดังรูป 6.3 (ถังน้ำส่วนใหญ่มีรูปทรงก้นเล็กปากบาน) แล้วตัดพลาสวูดชิ้นเล็กๆ ไว้เป็นที่จับติดด้วยกาวร้อนตรงกลางแผ่นจากนั้นเจาะรูด้วยดอกสว่าน 3 มม. ให้ทั่วทั้งแผ่นให้น้ำกระจายได้ทั่วตะกร้าดังรูปที่ 6.4


รูปที่ 6 ตัดแผ่นกระจายน้ำ

(5) นำสายยางขนาดเล็กมาหุ้มแผ่นกระจายน้ำเพื่อให้แผ่นกระจายน้ำแนบสนิทกับถังน้ำโดยไม่หลุดล่วงได้ง่าย โดยใช้กรรไกรผ่ากลางสายยางดังรูปที่ 7.2 แล้วนำไปหุ้มที่ขอบของแผ่นให้รอบดังรูปที่ 7.3


รูปที่ 7 การหุ้มขอบแผ่นกระจายน้ำ

(6) ตัดแผ่นพลาสวูดหนา 5 มม. สำหรับทำฝาปิดถังล่างขนาดเท่ากับปากถังแล้วเจาะรูกลางแผ่นสำหรับสอดท่อน้ำจากถังบน


รูปที่ 8 ทำฝาปิดถังล่าง

(7) นำถังอีกใบมาเจาะรูกลางถังขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2 ถึง 3 ซม. จากนั้นตัดแผ่นพลาสวูดเป็นทรงกลมมาแปะทับรูที่เจาะไว้ที่ก้นถัง เจาะรูให้มีขนาดเท่ากับก้านลูกโป่ง (ให้คับก้านลูกโป่ง) ดังรูปที่ 9.1 จากนั้นนำก้านลูกโป่งสอดเข้าไปในรู โดยให้ความสูงพอประมาณหรือเท่ากับระดับน้ำที่เราต้องการ


รูปที่ 9 ทำท่อระดับจากก้านลูกโป่ง

(8) นำท่อ 4 หุน มาบากให้มีรูปทรงดังรูปที่ 10.1 โดยความสูงของท่อขึ้นกับความสูงของท่อระดับ (ก้านลูกโป่ง) แต่ต้องสูงกว่าท่อระดับ 1 ถึง 2 มม. จากนั้นครอบหัวอุดแล้วนำไปวางสวมท่อระดับดังรูปที่ 10.4


รูปที่ 10 ทำท่อระบบไซฟอน

(9) ติดตั้งหัวน้ำหยดเข้ากับส่วนบนของถังน้ำดังรูปที่ 11.1 ส่วนปลายสายอีกด้านก็ต่อเข้ากับหัวต่อท่อ 4 หุนดังรูปที่ 11.2 สุดท้ายสวมท่ออ่อนเข้ากับน้ำทิ้งของถังน้ำล่าง ก็เป็นอันเสร็จขั้นตอนการสร้างแล้วครับ


รูปที่ 11 ติดตั้งหัวน้ำหยดและท่อน้ำทิ้ง

ขั้นตอนการใช้งาน
(1) นำเมล็ดถั่วเขียวแช่น้ำอุ่นไว้ประมาณ 4 ชั่วโมง
(2) เทเมล็ดถั่วเขียวที่แช่น้ำอุ่นแล้วลงตะกร้า
(3) ปิดแผ่นกระจายน้ำให้ได้ระดับดับไม่เอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง
(4) ปิดฝาของถังน้ำใบล่าง
(5) นำถังบนมาวางซ้อนให้ก้านลูกโป่งสอดลงในรูของฝาปิด
(6) เปิดวาล์วน้ำน้อยๆ แล้วปรับหัวน้ำหยดให้ได้ปริมาณน้ำประมาณ 1 ชั่วโมงต่อ 500 มิลลิลิตร (ใช้น้ำ 3 ชั่วโมงต่อ 1.5 ลิตร)
(7) ทิ้งไว้ 2 ถึง 3 วัน แล้วลองเปิดดูผลผลิต



รูปที่ 12 ขั้นตอนการใช้งาน

หลังจากผ่านไป 2 วัน ลองเปิดดูผลผลิตกันสักหน่อยครับ ผลที่ออกมาก็เป็นดังรูปที่ 13.1 และวันที่ 3 เป็นดังรูปที่ 13.2 นำไปล้างและรับประทานได้เลย


รูปที่ 13 ผลผลิตในวันที่ 2 และ 3

เพียงเท่านี้เราก็จะได้เครื่องเพาะถั่วงอกที่รดน้ำให้เราทุก 3 ชั่วโมง(อยู่ที่การปรับหัวน้ำหยด) แล้วล่ะครับ แนะนำให้รับประทานแบบปรุงสุกจะดีที่สุด สำหรับคนที่ชื่นชอบการรับประทานแบบดิบๆ ก็ต้องดูแลเรื่องปริมาณให้เหมาะสมด้วยนะ เพราะหากมากเกินไปย่อมมีโทษเสมอ


เรื่องที่คุณอาจสนใจ

Categories
Home & Garden คุณทำเองได้ (DIY)

รางปลูกต้นไม้แนวตั้ง

เพิ่มพื้นที่สีเขียวให้คอนโดและบ้านทาวน์เฮ้าส์ที่มีพื้นที่จำกัด ด้วยสวนแนวตั้ง จากวัสดุที่คุณคุ้นเคย

นับวันราคาที่ดินในกรุงเทพฯ ยิ่งมีราคาสูงขึ้นทุกปี ยิ่งมีข่าวโครงการรถไฟฟ้าจะสร้างผ่านด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่ มนุษย์เงินเดือนทั่วไปก็คงได้อาศัยทาวน์เฮ้าส์ที่ราคายังพอกัดฟันซื้อได้ แต่ขึ้นชื่อว่าทาวน์เฮ้าส์ คงจะนึกออกใช่มั้ยล่ะครับ ว่าพื้นที่มันจำกัดแค่ไหน จะลงดินปลูกต้นไม้ก็ได้แค่กระหย่อมหลุมเดียว และนอกจากพื้นที่จำกัดแล้วโผล่มาหน้าบ้านยังต้องถูกบังคับให้ส่งยิ้มกับเพื่อนบ้านทุกคราไป ก็เพราะรั้วแต่ละหลังใช้ร่วมกัน แถมยังเป็นแค่ลูกกรงเหล็ก ดูแล้วมันชั่งไม่เป็นส่วนตัวเสียจริงๆ ว่าแล้วเราจะรอช้าอยู่ทำไมมาทำบ้านหลังน้อยของเราให้เขียวขจีแบบไม่สิ้นเปลืองพื้นที่อันน้อยนิดและยังช่วยบดบังสายตายามต้องการความเป็นส่วนตัวอีกด้วย

ขยายความสักนิดถึงอุปกรณ์ที่ว่าคุณคุ้นเคย ก็ลองแหงนมองขึ้นไปนอกตัวบ้านหรือระเบียงคอนโดของคุณตรงคอนเดนซิ่งยูนิต (คอยล์ร้อน) ดูสิครับ คุณก็จะพบอุปกรณ์ที่คุ้นเคย (แต่ไม่เคยได้ใช้เอง) ใช่แล้วครับมันคือรางครอบท่อแอร์นั่นเอง สาเหตุที่เลือกใช้รางครอบท่อแอร์ ก็เพราะว่ามันตัด เจาะง่าย และที่สำคัญราคาถูกคือ 1 เส้นยาว 2 เมตร ในราคาไม่ถึงร้อยบาท จะตัดผิด เจาะพลาดก็ยังไม่สิ้นเปลืองงบประมาณมากนัก เมื่อรู้แล้วว่าเจ้าอุปกรณ์หลักที่ว่ามันคืออะไร ดียังไง ก็มาจัดเตรียมหาซื้ออุปกรณ์กันก่อนครับ

เตรียมอุปกรณ์
• รางครอบท่อแอร์ 1 เส้น
• แผ่นพลาสวูดหนา 5 มม.
• เชือกไนล่อน
• ดินถุง
• กากมะพร้าวสับ
• ต้นไม้ที่ต้องการปลูก (แนะนำพวกไม้ตระกูลเฟิร์นหรือพืชผักสวนครัว)
• เลื่อยมือ

ขั้นตอนการประดิษฐ์
(1) นำรางครอบท่อแอร์มาตัดด้วยเลื่อยมือให้ได้ความยาวตามต้องการ โดยในตัวต้นแบบนี้ ตัดที่ 50 ซม. จำนวน 3 ท่อน เพื่อทำเป็นรางปลูก 3 ชั้นดังรูปที่ 1


(2) เจาะรูสำหรับระบายน้ำด้านล่าง ด้วยดอกสว่านขนาด 3 มม. ดังรูปที่ 2

(3) เจาะรูสำหรับนำต้นไม้ลงปลูก รางละ 3 รู ต้นไม้จะได้ไม่เบียดกันจนเกินไปดังรูปที่ 3

(4) ทำแผ่นปิดราง 2 ด้าน โดยนำรางมาวางทาบกับแผ่นพลาสวูดแล้ววาดด้วยดินสอดังรูปที่ 4.1 จากนั้นใช้คัตเตอร์หรือสว่านมือขนาดเล็ก(แนะนำสว่านมือ Dremel รุ่น 3000 N-10 สั่งซื้อได้ที่ www.inex.co.th)ตัดตามรอยดินสอและขัดด้วยกระดาษทรายละเอียด จะได้แผ่นปิดรางครอบท่อ โดยทำ 2 แผ่นต่อ 1 ราง ดังนั้นผมต้องตัดแผ่นพลาสวูดทั้งหมด 6 แผ่น

(5) ยึดแผ่นปิดรางโดยการตัดพลาสวูดเป็นชิ้นเล็กๆ ขนาด 1×2.5 ซม.ดังรูปที่ 5.1 แล้วยึดด้วยกาวร้อนดังรูปที่ 5.3 ทำให้ครบทั้ง 3 รางจะได้รางปลูกที่ยึดฝาปิดด้านข้างแล้วจำนวน 3 รางดังรูปที่ 5.5

(6) เจาะรูสำหรับร้อยเชือก โดยให้เจาะในตำแหน่งทะแยงระหว่างส่วนรางด้านล่างและส่วนฝาครอบ เพื่อให้เวลาแขวนต้นไม้จะได้เอียงเข้ามาให้เราได้เชยชมและสัมผัสความเขียวขจีของต้นไม้ได้อย่างเต็มอิ่ม

(7) ร้อยเชือกไนล่อนเข้าในรูที่เจาะไว้จากขั้นตอนที่แล้ว โดยให้ร้อยจากรางปลูกแถวบนก่อน เมื่อร้อยจากฝาลงมาส่วนล่างแล้วให้มัดเป็นปมกันเอาไว้ดังรูปที่ 7.3 จากนั้นก็ร้อยรางชั้นล่างถัดไปแล้วก็มัดปมเช่นกัน ทำจนครบทั้ง 3 ชั้น แล้วนำไปแขวนตามตำแหน่งที่ต้องการได้เลย

(8) โรยกากมะพร้าวสับบางๆ ลงในรางปลูก เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับดิน แล้วใส่ดินลงไปให้เต็ม เมื่อทำครบทุกรางแล้วก็นำต้นไม้ลงปลูกได้เลย

เมื่อลงต้นไม้เสร็จก็รดน้ำให้ชุ่ม เป็นอันเสร็จสิ้นการทำสวนแนวตั้งแบบรางปลูก 3 ชั้น แล้วล่ะครับ ส่วนการให้ปุ๋ยไม่แนะนำให้ใช้ปุ๋ยเคมีโดยตรง เพราะจะทำให้ดินมีสภาพเป็นกรดมากเกินไป แนะนำให้ใช้ปุ๋ยคอก(มูลสัตว์) ผสมกับดินก้ามปูก็ได้ แล้วโรยไม่ต้องมาก โดยให้สัปดาห์ละครั้งก็พอ แต่น้ำสำคัญมากเพราะรางปลูกมีขนาดเล็ก ควรให้เช้าเย็นอย่างสม่ำเสมอ

ทำกันง่ายๆ ไม่ต้องใช้ฝีมือการประดิษฐ์มากมาย ก็ได้สวนแนวตั้งในราคาหลักร้อยแล้ว ลองทำกันดูนะครับ


เรื่องที่คุณอาจสนใจ

Exit mobile version