Categories
Fixit (ซ่อมได้) คุณทำเองได้ (DIY)

แอร์น้ำหยด

ปัญหาแอร์มีน้ำหยดออกทางด้านล่างตัวเครื่องนั้นเกิดได้ 2 ลักษณะด้วยกันคือ

Categories
Fixit (ซ่อมได้) คุณทำเองได้ (DIY)

ปัญหาแอร์พ่นน้ำ

คำว่าแอร์พ่นน้ำในที่นี้หมายถึง มีน้ำกระเด็นออกมาจากช่องลมหน้าเครื่องปรับอากาศ มีลักษณะคล้ายกับละอองฝน เราลองมาวิเคราะห์กันดูครับว่ามันเกิดมาจากสาเหตุอะไร

Categories
Fixit (ซ่อมได้) คุณทำเองได้ (DIY)

แก้ปัญหาแอร์ตัดนาน

อีกปัญหาที่หลายคนแก้ไม่ตกของแอร์ หรือเครื่องปรับอากาศ ก็คือแอร์ตัดนานเกินไป คือเมื่อเปิดแอร์ตอนเข้านอนแล้วแรกๆ ก็ทำความเย็นปกติดี แต่พอกลางดึกกลับไม่เย็นขึ้นมา หลายคนเลือกวิธีปรับลดอุณหภูมิที่รีโมตคอนโทรล หรือจากปกติเคยตั้งอุณหภูมิไว้ที่ 27 องศาเซลเซียส ก็เย็นจนต้องห่มผ้า แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ต้องปรับลดอุณหภูมิลงมาเหลือเพียง 23 องศาเซลเซียส แอร์ถึงจะทำความเย็นได้เหมือนเมื่อก่อน ทั้งที่เพิ่งเรียกช่างมาล้างแอร์ไปได้ไม่นาน เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น เรามาแก้ปัญหานี้ด้วยกันครับ

วิเคราะห์หาสาเหตุเสียก่อน
อาการแอร์ตัดนานเกินไป เกิดจากการตรวจจับอุณหภูมิของเซ็นเซอร์ ทำงานผิดปกติไปจากเดิม โดยปกติเซ็นเซอร์ที่เครื่องปรับอากาศใช้สำหรับตรวจจับอุณหภูมิ นั้นก็คือเทอร์มิสเตอร์ หรือตัวต้านทานที่ค่าความต้านทานแปรผันตามอุณหภูมิ ทั่วไปจะใช้แบบอุณหภูมิลดค่าความต้านทานเพิ่ม และมีเจ้าเซ็นเซอร์นี้ติดตั้งอยู่ 2 ตัวด้วยกันคือ


1. เซ็นเซอร์ตรวจจับอุณภูมิลมกลับหรือตรวจจับอุณหภูมิของห้องนั่นเองครับ มีลักษณะเหมือนหัวไม้ขีดไฟ มีกระเปาะสีดำ ปกติมักติดตั้งอยู่ด้านหน้าของแผงคอยล์เย็น เพื่อตรวจสอบว่าอุณหภูมิในห้องลดลงถึงค่าที่เราตั้งไว้ที่รีโมตคอนโทรลเลอร์หรือยัง ถ้าถึงแล้วก็จะสั่งให้ตัดการทำงานของคอมเพรสเซอร์ (คอนเดนซิ่งยูนิต)

2. เซ็นเซอร์ตรวจจับอุณหภูมิท่อสารทำความเย็น (น้ำยาแอร์) มีลักษณะเป็นทรงกระบอกตัวกระเปาะทำจากโลหะ ส่วนมากทำจากทองแดง เมื่อท่อเย็นจัด (สัมพันธ์กับเซ็นเซอร์ตรวจจับอุณภูมิลมกลับ) ก็สั่งตัดการทำงานของคอมเพรสเซอร์เช่นกัน เซ็นเซอร์ตัวนี้ติดตั้งอยู่ติดกับท่อ บริเวณขวามือของแผงคอยล์เย็น (อีวาพอเลเตอร์)

หมายเหตุ : เครื่องปรับอากาศบางรุ่น ตรวจจับสารทำความเย็น (น้ำยาแอร์หมด)โดยอาศัยเซ็นเซอร์จับอุณหภูมิท่อ หากเครื่องปรับอากาศทำงานสักระยะแล้วท่อไม่เย็นจะสั่งปิดระบบทันที

รูปแสดงเหตุการณ์ที่เซ็นเซอร์ทั้ง 2 ตัวทำการตรวจจับอุณหภูมิ

จากรูปด้านบนจะเห็นว่าเหตุการณ์ที่ 3 เป็นสาเหตุให้แอร์ของเราไม่ยอมสั่งให้คอมเพรสเซอร์ทำงาน ทั้งที่เซ็นเซอร์ตัวที่ 1 ก็รับรู้ได้ถึงอุณหภูมิห้องที่สูงขึ้นแล้ว แต่เซ็นเซอร์ตัวที่ 2 กลับบอกว่าท่อยังเย็นอยู่ยังไม่ต้องสั่งให้คอมเพรสเซอร์ทำงาน

ดังนั้นเราจะเห็นว่าเซ็นเซอร์อุณหภูมิทั้งสองตัวนี้ต้องทำงานสัมพันธ์กัน แต่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าเซ็นเซอร์ตรวจจับอุณภูมิลมกลับนั้นไม่เป็นสาเหตของปัญหานี้ครับ เพราะมันติดตั้งอยู่ด้านนอก จึงแห้งไม่เปียกชื้นและไม่สกปรกอะไร ต่างจากเซ็นเซอร์ตรวจจับอุณหภูมิท่อสารทำความเย็นที่ต้องเปียกชื้นอยู่ตลอดเวลาขณะเราใช้งานเครื่องปรับอากาศทำให้มีโอกาสเกิดคราบสกปรกที่ผิวของกระเปาะโลหะบนตัวมัน

เมื่อคราบสกปรกจับตัวมากขึ้นทำให้เมื่อเปิดแอร์นานๆ ความชื้นจะสะสมอยู่กับคราบสกปรกเหล่านี้ ทำให้ค่าความต้านทานภายในตัวมันลดลงช้ามากๆ หรือเปลี่ยนแปลงได้ช้ากว่าปกตินั่นเอง ทำให้แผงวงจรควบคุมเข้าใจว่าท่อยังเย็นอยู่จึงไม่ยอมสั่งให้ชุดคอนเดนซิ่งยูนิต (คอยล์ร้อน) ทำงานครับ

วิธีแก้ไขเซ็นเซอร์ตรวจจับอุณหภูมิท่อสารทำความเย็นสกปรก
1. สับเบรกเกอร์ตัดไฟก่อน จากนั้นถอดบานสวิงออกจากหน้ากากของเครื่องปรับอากาศ โดยแต่ละรุ่นจะมีวิธีการถอดไม่เหมือนกัน ให้ค่อยๆ พิจารณาเอา (ระวังสลักหักด้วยนะครับ)


รูปแสดงการถอดบานสวิงแอร์

2. คลายสกรูยึดหน้ากากทั้ง 2 ด้าน ของเครื่องออก (บางรุ่นอาจมีตำแหน่งที่ต่างไปจากนี้)



รูปการตำแหน่งสกรูยึดหน้ากาก

3. ใช้มือประคองด้านซ้ายและขวาของหน้ากากแล้วค่อยๆ ขยับดึงหน้ากากจากส่วนล่างออกมาแล้วงัดขึ้นด้านบนดังรูป


รูปแสดงทิศทางการถอดหน้ากาก

4. ถอดเซ็นเซอร์ตรวจจับอุณหภูมิท่อสารทำความเย็นออกมา โดยใช้ไขควงตัวเล็กดันออกมาจากช่องเสียบ (ห้ามจับสายดึงออกมาเด็ดขาดอาจทำให้สายขาดจากหัวเซ็นเซอร์ได้)


5. ใช้กระดาษทรายขัดคราบสกปรกออกให้สะอาด จากนั้นใส่กลับที่เดิม แล้วประกอบหน้ากากและบานสวิงเข้าตามเดิม

เพียงแค่นี้ แอร์ของเราก็กลับมาทำความเย็นได้ตามปกติแล้วล่ะครับ ลองทำตามดูนะครับ รับรองว่าหายไปอีกหลายปีเลยทีเดียว จนกว่ามันจะสกปรกอีกก็ถอดออกมาขัดอีก เว้นแต่ว่ามันจะเสื่อมสภาพจนใช้งานไม่ได้ อันนี้ต้องซื้อมาเปลี่ยนแล้วล่ะครับ


เรื่องที่คุณอาจสนใจ

Categories
Fixit (ซ่อมได้) คุณทำเองได้ (DIY)

แก้ปัญหาพัดลมหมุนช้า

หลายคนคงเคยประสบกับปัญหา พัดลมที่บ้านอยู่ๆ ก็มีอาการหมุนช้า ไม่แรงเหมือนเคย ปกติเคยเปิดเบอร์ 1 ก็ลมกำลังดี แต่ตอนนี้ต้องเปิดเบอร์ 3 ถึงจะหมุน บางคนเจอแบบไม่หมุนเลยก็มี ปัญหานี้แก้ไขได้ไม่ยาก และไม่ต้องใช้ทักษะขั้นสูงแต่ประการใด เพียงใช้ไขควงตัวเดียวก็สามารถซ่อมได้แล้วครับ

สาเหตุ
เนื่องจากพัดลมที่เราใช้กันตามบ้านนั้น ใช้มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสสลับ 1 เฟส แต่การจะทำให้มอเตอร์ที่ใช้ไฟฟ้าเพียง 1 เฟส (ที่ความถี่ไฟฟ้า 50Hz)  หมุนได้นั้นย่อมต้องอาศัยตัวช่วยในการชดเชยเฟสของไฟฟ้าที่หายไปช่วงระยะหนึ่ง นั่นก็คือตัวเก็บประจุ หรือคาปาซิเตอร์นั่นเอง

แน่นอนว่าการนำคาปาซิเตอร์ซึ่งเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เข้ามาใช้งานนั้น ย่อมมีค่าความเสื่อม โดยจะเสื่อมเร็วหรือช้าเพียงใดขึ้นอยู่กับคุณภาพของคาปาซิเตอร์ที่ผู้ผลิตเลือกใช้งานด้วยและระยะเวลาการใช้งาน ในกรณีนี้ก็เช่นกัน เกิดจากอาการเสื่อมของสารประกอบที่บรรจุภายในตัวมันเอง ทำให้ค่าความจุภายในลดลงมอเตอร์จึงไม่สามารถหมุนออกตัวได้หรือออกตัวได้แต่หมุนได้ช้าลง(องศาของเฟสแคบลง)

การตรวจสอบ
วิธีตรวจสอบว่าคาปาซิเตอร์ตัวดังกล่าวเสียหรือค่าความจุลดลงหรือไม่นั้น อาจดูจากรูปทรงที่เปลี่ยนไปของมันเช่นตัวถังบวม บิดเบี้ยว หรือปริแตก แต่หากไม่พบความผิดปกติที่ตัวถังก็ไม่ได้หมายความว่าคาปาซิเตอร์ตัวนั้นยังดีอยู่ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือการใช้มิเตอร์วัดค่าความจุ

ขั้นตอนการเปลี่ยนคาปาซิเตอร์
1. ใช้ไขควง คลายสกรู 2 จุด คือบริเวณก้านสลักหมุน และส่วนท้ายของฝาครอบมอเตอร์ดังรูป แล้วดึงฝาครอบออกมา


คลายสกรูก้านสลักหมุน


คลายสกรูส่วนท้ายของฝาครอบ


ดึงฝาครอบออก

2. เมื่อดึงฝาครอบมอเตอร์ออกมา จะพบกับเจ้าคาปาซิเตอร์ขนาด 1.5µF (อ่านว่า-หนึ่งจุดห้าไมโครฟารัด) ยึดด้วยสกรูหนึ่งตัว ให้ทำการคลายสกรูแล้วใช้คีมตัดสายไฟออกมาดังรูป



3. ตรวจดูตัวถังว่ามีความผิดปกติหรือไม่ สำหรับตัวที่ผมถอดออกมานี้ ไม่มีความผิดปกติแต่อย่างใด จึงจำเป็นต้องวัดค่าความจุด้วยมัลติมิเตอร์ ดังรูป
*แต่หากท่านผู้อ่านไม่มีมัลติมิเตอร์ที่สามารถวัดค่าความจุได้ก็คงต้องลองเสี่ยงไปซื้อมาเลยครับ ตัวละไม่เกิน 50 บาท


ปรับมิเตอร์ไปที่ย่านการวัดตัวเก็บประจุ จะมีสัญลักษณ์ -||- ประมาณนี้ โดยมิเตอร์ดิจิตอลจะอ่านค่าแปลงเป็นหน่วยที่เหมาะสมให้เราอ่านได้ง่าย จากรูปอ่านได้ 1.34µF ลดลงจาก 1.5µF

4. ให้นำตัวอย่างไปซื้อที่ร้านจำหน่ายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือร้านจำหน่ายอะไหล่แอร์ (บอกร้านแอร์ว่าซื้อแค๊ปพัดลม) ราคาตัวละไม่เกิน 50 บาท เมื่อได้มาแล้วทดลองวัดค่าอีกครับดังรูป อ้อ เวลาวัดที่ขั้วของตัวเก็บประจุห้ามใช้นิ้วมือจับหัววัดกับขาอุปกรณ์นะครับเพราะจะทำให้ค่าที่ได้คลาดเคลื่อน หรืออาจจับข้างเดียวก็ได้


ตัวที่ซื้อมาใหม่ครับ


ทดลองวัดค่าได้ 1.5µF เป๊ะๆ เลย 

5. นำตัวที่ซื้อมาใหม่ติดตั้งเข้าไปตามเดิมโดยปอกสายไฟแล้วพันเข้าไปกับสายเส้นเดิมนั่นแหละครับ แล้วพันด้วยเทปพันสายไฟให้เรียบร้อย จากนั้นจึงใช้สรูยึดเข้าไปตามเดิม


ต่อสายไฟเข้ากับสายเดิม


ใช้สกรูยึดให้เรียบร้อย

จากนั้นก็ประกอบฝาครอบเข้า่ไปตามเดิมก็เป็นอันเสร็จ เราก็จะได้พัดลมกลับมาหมุนได้เร็วตามเดิมแล้วล่ะครับ


เรื่องที่คุณอาจสนใจ

Categories
Fixit (ซ่อมได้) Home & Garden คุณทำเองได้ (DIY)

แก้ปัญหาชักโครกกดไม่ลง

ปัญหาชักโครกกดไม่ลงแบบนี้เชื่อว่าหลายคนคงเคยพบเจอเป็นแน่ แล้วคำว่ากดไม่ลงเนี่ยมันหมายถึงอะไร ส้วมเต็มหรือว่ามีสิ่งสกปรกอุดตัน หากเป็นอย่างที่กล่าวมา มันขำๆ ครับ

เพราะเห็นกันอยู่ว่า หากส้วมเต็มก็เรียกรถจากเขตหรือเทศบาลมาสูบออก และหากมีสิ่งสกปรกอุดตัน ก็อาจใช้น้ำยาอย่างโซดาไฟ หรือน้ำหมักชีวภาพเทราดลงไปเพื่อช่วยย่อยสลายสิ่งสกปรกต่างๆ ได้

แต่ที่จะมาแนะนำ และบอกเล่ากันนี้ น่าจะเป็นประโยชน์ เพราะผู้เขียนเองก็ประสบปัญหานี้และก็ได้ลองทำแล้วพบว่าสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้จริงๆ ครับ

ปัญหานี้เกิดจากการวางแนวท่อระบายอากาศตั้งแต่ตอนติดตั้งของช่าง เช่นปลายท่อวางไว้ใกล้พื้นดินมากเกินไป ทำให้ท่อระบายอากาศมีสิ่งสกปรกหรือสัตว์เลื้อยคลายต่างๆ เข้าไปอาศัยอยู่ทำให้เกิดการอุดตันจึงไม่สามารถระบายอากาศได้ดี ซึ่งเกิดขึ้นบ่อยกับบ้านทาวน์เฮ้าส์ ทาวโฮม จึงทำให้เมื่อกดชักโครกแล้วอากาศระบายไม่สะดวกเกิดน้ำเออขึ้นมาในอ่างชักโครก โดยขั้นตอนการแก้ไขก็ง่ายมากๆ ให้สังเกตุที่ฐานของชักโครก จะมีช่องเล็กๆ ที่ถูกอุดด้วยปูนยาแนว ซึ่งปกติแล้วช่องเล็กๆ นี้ ผู้ผลิตออกแบบไว้สำหรับใช้สกรูหรือพุกยึดกับพื้นห้องน้ำเพื่อความแน่นหนา ทั้งฝั่งซ้ายและขวา ฝั่งละหนึ่งรู ดังรูปด้านล่าง เจ้ารูนี้แหละครับที่ช่างส่วนใหญ่ใช้ปูนยาแนวอุดเอาไว้เฉยๆ ไม่ได้ใช้น๊อตหรือสกรูเจาะยึดให้เรา เลยกลายเป็นเรื่องดีรึเปล่าอันนี้แล้วแต่จะมองนะครับ โดยหากช่างไม่ได้ยึดไว้ก็ทำให้เราสามารถใช้ประโยชน์จากรูที่ว่านี้มาช่วยระบายอากาศได้อีกทางครับ

 

วิธีเปิดรูก็ง่ายมากๆ ใช้เพียงตะปูหนึ่งตัวและค้อนหนึ่งอัน จากนั้นค่อยๆ นำค้อนตอกตะปูลงไป จนเป็นรูดังรูปด้านล่างนี้ครับ อ๊ะๆ แต่หากตอกลงไปแล้วรู้สึกว่ามันแข็งก็แสดงว่าเจอหัวสกรูเข้าให้แล้วดังนั้นหากเจอหัวสกรูที่ยึดชักโครกกับพื้นอยู่ก็อย่าฝืนทำต่อนะครับเดี๋ยวชักโครกจะแตกเอาเสียก่อน

 

หากเจาะได้แล้วก็เอาแค่รูเดียวก็น่าจะเพียงพอแล้วครับ จากนั้นทดลองกดชักโครกดู จะได้ยินเสียงลมเคลื่อนตัวออกจากรูนี้ และน้ำก็จะไหลลงได้ดีขึ้น

เตือนอีกครั้ง
นี่คือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ความจริงแล้วรูนี้ต้องปิดไว้นะครับ เพราะมันเป็นรูที่อยู่ติดกับท่อทิ้งสิ่งปฏิกูลทั้งหลายที่จะไหลลงไปในถัง แต่ที่เราต้องเจาะรูก็เพราะมันสุดวิสัย 

สุดท้ายอย่าลืมตามช่างมาแก้ไขท่อระบายอากาศให้เรียบร้อย

หมายเหตุ. บางคนพบปัญหาน้ำไหลย้อนขึ้นมาจากรูที่เจาะนี้ ดังนั้นจึงควรเจาะรูเท่าตะปูแค่รูเดียวเท่านั้นหากเจาะมากกว่านี้ อาจทำให้แก้ไขได้ลำบาก


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
Categories
Fixit (ซ่อมได้) Home & Garden คุณทำเองได้ (DIY)

3 ขั้นตอนการดัดขึ้นรูปพลาสวูดด้วยความร้อน

จากที่ได้แนะนำกันไปในบทความ “พลาสวูดวัสดุสำหรับงานต้นแบบ” ว่ามันคือวัสดุสำหรับการสร้างงานต้นแบบที่ใช้ทำโครงสร้างได้เป็นอย่างดี ด้วยคุณสมบัติเป็น PVC (Poly Vinyl Chloride) จึงทำให้มันสามารถดัดขึ้นรูปได้

ดังนั้นในบทความนี้เราจะมาสาธิตการดัดพลาสวูด ด้วยไดร์เป่าลมร้อนกันครับ โดยวิธีการนี้ผมเคยใช้สร้างต้นแบบมาหลายครั้งแล้ว นับว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ได้รูปทรงของชิ้นงานที่โค้งมนตามความต้องการ

สำหรับพลาสวูดที่จะนำมาดัดนั้น ผมใช้พลาสวูดหนา 5 มม. เพราะต้นแบบที่ผมทำไม่ว่าจะเป็นหลังคาของห้องน้ำแมว, กล่องโครงสร้างของวาล์วเปิดปิดน้ำอัตโนมัติ, แจกัน ฯลฯ ล้วนเป็นต้นแบบที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก จึงสามารถใช้พลาสวูดที่มีความหนาเพียง 5 มม. ได้ เรามาดูวิธีกันเลยครับ

วิธีการดัดพลาสวูด

1. ใช้ไดร์เป่าลมร้อน(ไม่ใช่ไดร์เป่าผม) ไล่เป่าให้ทั่วบริเวณที่เราต้องการดัดดังรูปที่ 1 จนพลาสวูดเริ่มอ่อนตัว

2. จากนั้นก็เริ่มพับพลาสวูดด้วยความรวดเร็วให้ได้องศาตามต้องการ โดยอาจใช้ท่อน้ำเป็นตัวช่วยประคอง ไม่ให้พลาสวูดบิดตัวดังรูปที่ 2

3. ประคองพลาสวูดเอาไว้จนกว่าพลาสวูดจะเย็นตัว เพียงแค่นี้คุณก็จะได้ชิ้นงานพับขึ้นรูปตามต้องการแล้วครับ

นี่ก็เป็นอีกเทคนิคเล็กๆ น้อยๆ ที่จะมีมาเล่าให้อ่านกันเป็นประจำกับ www.inventor.in.th


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
Exit mobile version