Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

การ์ทเนอร์คาดการณ์ปี 2568 รายได้อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกจะเติบโต 14%

กรุงเทพฯประเทศไทย, 26 พฤศจิกายน 2567 — การ์ทเนอร์คาดการณ์รายได้ของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกจะเติบโตขึ้น 14% ในปี 2568 คิดเป็นมูลค่ารวมอยู่ที่ 717 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับปีนี้ คาดการณ์ตลาดจะเติบโตที่ 19% โดยจะมีมูลค่าแตะ 630 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ 

หลังจากตลาดถดถอยในปี 2566 รายได้ของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์กำลังฟื้นตัวและคาดว่าจะกลับมาเติบโตระดับเลขสองหลักในปีนี้และปีหน้า (ดูตารางที่ 1) ราจีฟ ราชบุตร นักวิเคราะห์อาวุโสของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “การเติบโตนี้มาจากปัจจัยความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของเซมิคอนดักเตอร์ที่เกี่ยวข้องกับ AI และการฟื้นตัวในภาคการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่ความต้องการภาคยานยนต์และภาคอุตสาหกรรมยังคงอ่อนแอ”  

ตารางที่ 1: คาดการณ์รายได้เซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลกระหว่างปี 2566-2568 (หน่วย: พันล้านดอลลาร์สหรัฐ)

  2566 2567 2568
รายได้ 530.0 629.8 716.7
การเติบโต (%) -11.7 18.8 13.8

ที่มา: การ์ทเนอร์ (ตุลาคม 2567)

ในระยะสั้นตลาดหน่วยความจำ (Memory) และหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU) จะเป็นปัจจัยกระตุ้นรายได้ให้กับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ทั่วโลก

คาดการณ์ว่าตลาด Memory ทั่วโลกจะมีรายได้เติบโต 20.5% ในปี 2568 คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้น 196.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปัญหาการขาดแคลนอุปทานอย่างต่อเนื่องในปีนี้ จะส่งผลให้ราคาหน่วยความจำประเภท NAND เพิ่มขึ้น 60% ในปีนี้ แต่คาดว่าราคาในปีหน้ามีแนวโน้มลดลง 3% เนื่องจากอุปทานและราคาที่ลดลงในปี 2568 คาดว่ารายได้หน่วยความจำแฟลช NAND จะมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 75.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 12% จากปี 2567 

ปัญหาการขาดแคลนอุปทานที่ปรับตัวดีขึ้นทำให้อุปสงค์และอุปทานของชิป DRAM กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง โดยการผลิตหน่วยความจำแบนด์วิดท์สูงหรือ High-Bandwidth Memory (HBM) ที่สูงเป็นประวัติการณ์ ผนวกกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น และราคา Double Data Rate 5 หรือ DDR5 ที่สูงขึ้น คาดว่าภาพรวมรายได้ชิป DRAM ในปี 2568 จะมีมูลค่ารวมอยู่ที่ 115.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก 90.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จากในปีนี้

ผลกระทบ AI กับตลาดเซมิคอนดักเตอร์

ตั้งแต่ปี 2566 ชิป GPU มีส่วนสำคัญต่อการใช้ฝึกฝนและพัฒนาโมเดล AI ต่าง ๆ โดยคาดว่าตลาดนี้จะมีรายได้รวมที่ 51 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเพิ่มขึ้น 27% ในปี 2568 จอร์จ บร็อคเคิลเฮิร์สต์ รองประธานนักวิเคราะห์การ์ทเนอร์ เผยว่า “อย่างไรก็ตาม ตลาดนี้กำลังเปลี่ยนไปสู่ระยะที่มุ่งหวังผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ซึ่งต้องการเห็นรายได้เติบโตเป็นหลายเท่าจากเม็ดเงินที่ลงทุนไปกับการฝึกฝนนั่นเอง

หนึ่งในนั้นคือการเพิ่มขึ้นอย่างมากของความต้องการชิป HBM ซึ่งเป็นโซลูชันหน่วยความจำแบนด์วิดท์สูงของเซิร์ฟเวอร์ AI “ผู้ผลิตกำลังลงทุนกับการผลิตและบรรจุภัณฑ์ของชิป HBM อย่างมาก เพื่อให้สอดรับความต้องการของชิป GPU และชิป AI Accelerator รุ่นใหม่ ๆ” บร็อคเคิลเฮิร์สต์ กล่าวเพิ่มเติม

การ์ทเนอร์คาดว่ารายได้ชิป HBM ในปีนี้ จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 284% และเพิ่ม 70% ในปี 2568 โดยคิดเป็นมูลค่า 12.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ 21 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามลำดับ นักวิเคราะห์การ์ทเนอร์คาดว่าภายในปี 2569 ชิป HBM กว่า 40% จะรองรับการประมวลผล AI แบบอนุมาน เทียบกับในปัจจุบันที่มีน้อยกว่า 30% ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการใช้งานการอนุมานที่เพิ่มขึ้นและข้อจำกัดในการนำชิป GPU สำหรับการฝึกฝนมาใช้ใหม่

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ม.มหิดล ผลักดันแหล่งทุนสตาร์ทอัพฯ 
iNT บ่มเพาะ สานต่อนวัตกรรมยุคใหม่สู่สังคม

หากเปรียบสตาร์ทอัพคือนักรบเศรษฐกิจใหม่ที่จะมาช่วยพลิกประเทศให้มีความเจริญเติบโตมากขึ้น การปั้นนักรบให้มีอาวุธที่แหลมคมและมีคลังเสบียงอย่างเพียงพอจึงเป็นสิ่งสำคัญ  ดังนั้น การเริ่มต้นที่จะประสบความสำเร็จได้  การมีเงินทุนที่เพียงพอเป็นปัจจัยแรก ที่จะช่วยให้สามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ และดำเนินการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากไม่มีเงินทุนที่เพียงพอ อาจทำให้ธุรกิจของคุณไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ตามแผนที่วางไว้  แต่หากต้องการหาเงินทุนเพิ่มเติม ควรพิจารณาหานักลงทุนหรือร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อเพิ่มโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง

สถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือ iNT เป็นส่วนงานของ มหาวิทยาลัยมหิดล ที่มีเป้าหมายสำคัญในการนำผลงานวิจัยและเทคโนโลยีของมหาวิทยาลัยไปสู่การเป็นศูนย์กลางด้านนวัตกรรมในระดับชาติและนานาชาติ รวมไปถึงการพัฒนา สนับสนุน และผลักดันให้นวัตกรรมสามารถสร้างประโยชน์ต่อสังคมและเศรษฐกิจของประเทศไทย ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างนักวิจัยของมหาวิทยาลัย และผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรม เพื่อเสริมสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนและมีความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก

สถาบันฯ iNT ยังมีการสนับสนุนการบ่มเพาะสตาร์ทอัพและธุรกิจนวัตกรรมต่างๆผ่านการเชื่อมโยงความร่วมมือระหว่างนักวิจัยและผู้ประกอบการรวมถึงการช่วยเสาะหาแหล่งทุนทั้งจากภาครัฐและเอกชนสำหรับสตาร์ทอัพของมหาวิทยาลัยให้สามารถเติบโตและประสบความสำเร็จได้ในระยะยาว

โดยในปีที่ผ่านมา มีผลงานวิจัยและนวัตกรรมของสตาร์ทอัพ ภายใต้การบ่มเพาะของสถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (iNT) ของมหาวิทยาลัยมหิดล ที่ได้รับการสนับสนุนทุนจาก สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA) เพื่อช่วยสนับสนุนให้สตาร์ทอัพสามารถเติบโตและพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังเป็นแรงผลักดันสำคัญในการสร้างนวัตกรรมที่สามารถตอบโจทย์ความท้าทาย รวมไปถึงการพัฒนาเศรษฐกิจและการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในสังคมไทย

ผลงานของสตาร์ทอัพที่ได้รับทุน ได้แก่ ผลงาน “MindMentor พี่เลี้ยงส่วนตัวและแชทบอทปัญญาประดิษฐ์เพื่อ การดูแลตนเองและสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน ของบริษัทมายด์บอทจำกัดเป็นโครงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีแชทบอทและปัญญาประดิษฐ์เข้ากับกระบวนการทางจิตวิทยาที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหารูปแบบสมดุลชีวิตของตนเองได้จากการคุยกับนักจิตวิทยาพูดคุยในแต่ละวันเพื่อกระตุ้นสร้างสมดุลในชีวิต

ผลงาน แพลตฟอร์มและระบบไฟฟ้าเพื่อเชื่อมต่อแขนเทียมจากยางพาราดัดแปลงและซิลิโคน ของ บริษัท เอ อาร์ ทิ เมด จำกัด (ArtiMed) พัฒนาต่อยอดอุปกรณ์แขนเทียมสำหรับฝึกหัตถการเจาะเลือดโดยการใช้เทคโนโลยีมอเตอร์เซนเซอร์อิเล็กทรอนิกส์และการประมวลผลข้อมูลดิจิทัลโดยการนำเอาเทคโนโลยีการผลิตแขนเทียมที่มีความยืดหยุ่นคล้ายแขนมนุษย์มาเชื่อมต่อกับระบบไฟฟ้าควบคุมแรงดันเพื่อมุ่งหวังให้การฝึกหัตถการนี้สามารถเพิ่มทักษะและลดความเสี่ยงให้แก่คนไข้และบุคลากรทางการแพทย์

ผลงาน เอไอไทยเจน: แพลตฟอร์มการเรียนรู้ด้านปัญญาประดิษฐ์ ของบริษัท เอม โกลบอล อินโนเวชั่น จำกัด เป็นนวัตกรรมเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ โดยอาศัยเทคโนโลยี AI และ Web / Mobile application ทำให้สามารถประมวลผลข้อมูลได้โดยไม่ต้องอาศัย server ขนาดใหญ่ ช่วยลดต้นทุนการบริหารจัดการได้ สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์วัด (sensors) ต่างๆและนำข้อมูลมาประมวลผลและควบคุมได้สามารถขยายการใช้งานไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ

ผลงาน “TOS Platform สำหรับควบคุมหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวีซีแบบแหล่งกำเนิดรังสีเคลื่อนที่ ของ บริษัท พรีเมียร์ ออโตเมชั่น เซนเตอร์ จำกัดร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกันคิดค้นหุ่นยนต์ฆ่าเชื้อด้วยรังสียูวีซีแบบกำเนิดรังสีเคลื่อนที่ และต้องการที่จะพัฒนาแพลตฟอร์ม Total Operation System หรือ TOS Platform ที่ใช้ในการควบคุมหุ่นยนต์ระยะไกลสำหรับการฆ่าเชื้อโรค

สำหรับในประเทศไทย มีแหล่งเงินทุนมากมายทั้งจากภาครัฐและเอกชน ที่จะมาช่วยสตาร์ทอัพหรือผู้ประกอบการไทยสามารถรันธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ และสถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (iNT) มหาวิทยาลัยมหิดล พร้อมเป็นสะพานเชื่อมโยงผลักดันสตาร์ทอัพในทุกระดับ ให้มีศักยภาพพร้อมเติบโต ทั้งในระดับประเทศไปจนถึงระดับสากลต่อไปในอนาคต

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ : สถาบันบริหารจัดการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (iNT) มหาวิทยาลัยมหิดล 


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ จับมือ WeStride เปิดตัว “FutureX” หลักสูตรวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ออนไลน์ เน้นปั้นวิศวกร IT พร้อมลุยตลาดแรงงานดิจิทัล

มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ (SAU) เปิดหลักสูตร FutureX  โดยร่วมกับ “WeStride” บริษัท EdTech Startup  ชั้นนำด้าน IT และเทคโนโลยี ที่มี Courseware จากมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก เพื่อพัฒนาหลักสูตรปริญญาตรี วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ผ่านการเรียนการสอนแบบออนไลน์ 100% เน้นสร้างทักษะกลุ่มงาน Software Engineering, AI, Machine Learning, Data Analytics ป้อนตลาดงานสายเทคโนโลยีในองค์กรที่มีความต้องการสูงมากในปัจจุบัน

ดร.ฉัททวุฒิ พีชผล อธิการบดีมหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ กล่าวว่า “มหาวิทยาลัยเอเชียอาคเนย์ ได้เปิดหลักสูตรใหม่ร่วมกับ WeStride ที่มุ่งมั่นต้องการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเรียนรู้ระดับปริญญาตรีในรูปแบบออนไลน์ผ่านโครงการ FutureX ในหลักสูตรวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ (ออนไลน์) Action Based Learning ซึ่งจะเป็นการสร้างโอกาสทางการเรียนรู้ที่ตอบโจทย์คนยุคใหม่ มุ่งปฏิวัติการเรียนรู้ด้วยการเน้นฝึกทักษะจริง ลงมือทำจริง และการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่น สร้างโอกาสให้นักศึกษาก้าวสู่สายงานเทคโนโลยีได้อย่างมั่นใจ”

นายชวิน อัศวเสตกุล CEO ของ WeStride เปิดเผยว่า จุดเด่นของโครงการ FutureX ซึ่งเป็นหลักสูตร Action-Based Online Learning เรียนออนไลน์ 100% โดยผสานการเรียนรู้ที่ทันสมัยเข้ากับการฝึกปฏิบัติจริง มุ่งเน้นการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์และประสบการณ์ที่จับต้องได้ พร้อมการฝึกงานในอุตสาหกรรมเพื่อเตรียมความพร้อมสู่โลกเทคโนโลยีแห่งอนาคต

นายชวิน กล่าวว่า “ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาซอฟต์แวร์, วิเคราะห์ข้อมูล หรือสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ เราพร้อมช่วยให้คุณสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งและพัฒนาเส้นทางอาชีพของคุณในช่วงสองปีสุดท้ายของการศึกษา”

หลักสูตรนี้ใช้แพลตฟอร์มที่ใช้งานง่าย เนื้อหาครอบคลุมและเข้มข้น มีอาจารย์ที่ปรึกษาตัวต่อตัว (One to One) ผ่านการเรียนการสอนแบบ Action-Based Learning ซึ่งมีโจทย์และโปรแกรมฝึกงานที่ให้นักศึกษาฝึกทักษะจริงตลอดระยะเวลาหลักสูตร สามารถเลือกได้ทั้งแบบออนไลน์หรือ On-site เพื่อเตรียมพร้อมก่อนเข้าสู่ตลาดงาน ทั้งนี้นักศึกษายังมีที่ปรึกษาด้านอาชีพผ่าน Career Coaching พร้อมผลักดันให้นักศึกษาได้งานทำหลังจบการศึกษาผ่านโปรแกรม Job Guarantee ผู้สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ FutureX.sau.ac.th


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

สำนักพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรม มจพ. จัดอบรมเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน รุ่นที่ 2

สำนักพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) เป็นหน่วยงานบริการเป็นองค์กรที่มีการจัดการและบริหารงานตามมาตรฐานสากล จากการรับรองระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001 : 2015 จัดฝึกอบรมทั้งแบบภายในองค์กร (In-house Training) และ การจัดอบรมบุคคลทั่วไป (Public Training)   จัดอบรมหลักสูตร เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน รุ่นที่ 2  เปิดรับสมัครวันที่ 20-21 พฤศจิกายน 2567  รายละเอียดดังนี้

คุณสมบัติ

1) ผู้เข้ารับการฝึกอบรมต้องเป็นลูกจ้างระดับหัวหน้างาน

2) ผู้เข้ารับการฝึกอบรมต้องเข้ารับการฝึกอบรมเต็มเวลาตลอดหลักสูตรและผ่านการทดสอบตามเกณฑ์ที่กำหนด

ค่าลงทะเบียนเข้าอบรม : 1,800 บาท ต่อคน

สถานที่จัดอบรมศูนย์ฝึกอบรม : สำนักพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ กรุงเทพฯ

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ดร.พัชรินทร์ เหสกุล  09-4154-4635 นายวินัย ศรีสุธรรม มือถือ 08-7507-1764  website: www.itdikmutnb.com สำนักพัฒนาเทคโนโลยีเพื่ออุตสาหกรรมมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ  โทรศัพท์:  0 2555 2000 ต่อ 2608 – 2621 , 2626

ขวัญฤทัย ข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ผลสำรวจโดย HERE Technologies เผยว่า 90% ของผู้ใช้ถนนชาวไทย ไว้วางใจในระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง เพื่อถนนที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น

  • 97% ของผู้ใช้ถนนชาวไทยที่ตอบแบบสำรวจความคิดเห็นมีความกังวลเกี่ยวกับอุบัติเหตุบนท้องถนน
  • 90% ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่าระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) มีความสำคัญต่อความปลอดภัยบนท้องถนน
  • 74% ของผู้ตอบแบบสอบถามมีความสนใจในการซื้อยานพาหนะที่มาพร้อมกับ ADAS

กรุงเทพฯ12 พฤศจิกายน 2024  – ผลสำรวจล่าสุดโดย HERE Technologies แพลตฟอร์มข้อมูลและเทคโนโลยีตำแหน่งชั้นนำ เผยให้เห็นถึงความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับความปลอดภัยบนท้องถนนในประเทศไทย และความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นต่อระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) ในการลดอุบัติเหตุ

ไฮไลท์สำคัญจากการสำรวจความคิดเห็น “รถยนต์ปลอดภัย ถนนปลอดภัย (Safer cars, safer roads)” ประกอบด้วย:

ความกังวลเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนนในวงกว้าง

ผู้ตอบแบบสอบถามมากกว่าครึ่งหนึ่ง (53%) เผยว่าเคยประสบอุบัติเหตุบนท้องถนนในช่วงสองปีที่ผ่านมา แม้ว่า 64% เชื่อว่ามาตรการความปลอดภัยในปัจจุบันของประเทศไทยได้ผล แต่ 97% ของผู้ทำแบบสอบถามยังคงกังวลอย่างมากต่ออุบัติเหตุบนท้องถนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุบัติเหตุที่เกิดจากพฤติกรรมขับขี่โดยประมาท เช่น การขับรถเร็วเกินกำหนดและการขับขี่อย่างก้าวร้าว ข้อมูลนี้เน้นย้ำถึงความไม่สอดคล้องระหว่างประสิทธิภาพของมาตรการความปลอดภัยบนท้องถนนที่รับรู้และความกังวลที่แท้จริงที่ผู้ขับขี่ต้องเผชิญอยู่ทุกวันเนื่องจากการขับขี่โดยประมาทถือเป็นสาเหตุหลักของอุบัติเหตุบนท้องถนน ผลการตอบแบบสอบถามนี้จึงตอกย้ำถึงความจำเป็นในการบังคับใช้กฎหมายและการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมบนท้องถนนของประเทศไทยให้เข้มงวดยิ่งขึ้น

ผู้ขับขี่ยานพาหนะสองล้อยังคงเป็นกลุ่มเสี่ยง

ประเทศไทยถือเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งสำหรับยานพาหนะสองล้อ โดยมีประชากรนับล้านใช้รถจักรยานยนต์และสกู๊ตเตอร์เป็นพาหนะในการเดินทางประจำวัน ผลสำรวจชี้ให้เห็นว่า 63% ของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์และสกู๊ตเตอร์เคยประสบอุบัติเหตุในช่วงที่ผ่านมา และ 92% รู้สึกไม่ปลอดภัยบนท้องถนน สะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของผู้ขับขี่กลุ่มนี้

ผลกระทบเชิงบวกจากโครงการริเริ่มความปลอดภัยบนท้องถนนของประเทศไทย

ประเทศไทยได้ดำเนินมาตรการสำคัญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเพื่อปรับปรุงความปลอดภัยบนถนน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำระบบหักคะแนนจากการกระทำผิดกฎจราจรมาใช้ในเดือนมกราคม 2566 ระบบนี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อลงโทษพฤติกรรมการขับขี่ที่ไม่ปลอดภัยซึ่งได้ส่งผลกระทบเชิงบวก โดยผู้ตอบแบบสอบถาม 76% ระบุว่าระบบหักคะแนนช่วยปรับปรุงพฤติกรรมการขับขี่ของพวกเขา ความสำเร็จของแผนริเริ่มนี้ของรัฐบาลแสดงให้เห็นถึงประสิทธิผลของมาตรการบังคับใช้กฎหมายในการยับยั้งการขับขี่ที่อันตราย ซึ่งเป็นการวางรากฐานสำหรับการปรับปรุงความปลอดภัยบนท้องถนน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามาตรการบังคับใช้กฎหมายเหล่านี้จะเห็นผล แต่ยังมีความต้องการเพิ่มเติมในการนำเทคโนโลยีเพื่อมาเสริมมาตรการดังกล่าว ความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยบนท้องถนนในระดับสูงส่งผลให้ความสนใจในเทคโนโลยี ADAS เพิ่มมากขึ้น ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นกุญแจสำคัญในการเสริมสร้างความปลอดภัยทั้งแก่ผู้ขับขี่และความปลอดภัยบนท้องถนน

ความไว้วางใจที่เพิ่มขึ้นในเทคโนโลยี ADAS เพื่อเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนน

ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) กำลังกลายมาเป็นที่ยอมรับว่าเป็นทางออกสำคัญสำหรับความปลอดภัยบนท้องถนน โดยประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ตอบแบบสอบถาม (51%) คุ้นเคยกับ ADAS เช่น ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน และระบบเตือนการออกนอกเลน ผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนมากถึง 90% เห็นด้วยว่าระบบเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่และ ความปลอดภัยบนท้องถนน

ความต้องการรถยนต์ที่มาพร้อมกับ ADAS กำลังเพิ่มขึ้น

ความสนใจในยานพาหนะที่มาพร้อมกับ ADAS กำลังเพิ่มขึ้น โดยผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนถึง 74% แสดงให้เห็นว่าต้องการที่จะซื้อยานพาหนะที่ติดตั้งระบบดังกล่าว โดยมีประโยชน์ด้านความปลอดภัย (67%) เป็นแรงจูงใจหลัก รองลงมาคือความน่าเชื่อถือและความสะดวกในการใช้งานของเทคโนโลยีดังกล่าว

เชื่อมั่นใน ADAS และเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการ

ความเชื่อมั่นในประสิทธิภาพของ ADAS อยู่ในระดับสูง โดย 85% ของผู้ตอบแบบสอบถามเชื่อว่าเทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติสามารถทำให้ท้องถนนปลอดภัยยิ่งขึ้นและ ลดอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับการขับรถเร็วได้ ประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุนการรวม ADAS เข้ากับยุทธศาสตร์ความปลอดภัยบนท้องถนนแห่งชาติของประเทศไทย โดยผู้ตอบแบบสอบถาม 83% เรียกร้องให้รัฐบาลให้ความสำคัญกับคุณลักษณะด้านความปลอดภัยขั้นสูงในยานพาหนะเป็นอันดับแรก

จากกรณีศึกษาดังกล่าว มร. เรียวอิจิ อินาบะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ให้ความเห็นว่า “มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ให้ความสำคัญสูงสุดกับความปลอดภัยของผู้ขับขี่ ความมั่นใจในการขับขี่และความสะดวกสบายทั้งผู้ขับและผู้โดยสาร พร้อมความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทั้งหมดนี้สะท้อนค่านิยมหลักที่อยู่ใน DNA ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส โดยมีเทคโนโลยีความปลอดภัยหลายระบบที่ได้รับการยกย่องและเป็นที่รู้จักกันดี เช่น ADAS ที่รู้จักกันในชื่อ ‘Mitsubishi Motors’ Diamond Sense’ ระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (AYC) โครงสร้างตัวถังนิรภัยเหล็กกล้า ที่ใช้เหล็กแรงดึงสูง (‘RISE Body’) และระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (ASC) เรามุ่งมั่นที่จะมอบความอุ่นใจในการขับขี่ในระดับสูงสุดให้กับลูกค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อขับขี่บนภูมิประเทศที่ท้าทาย และสภาพถนนที่หลากหลายในประเทศไทย”

อาบิจิต เซนกุปตา ผู้อำนวยการอาวุโสและหัวหน้าฝ่ายธุรกิจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย HERE Technologies เสริมว่า “ความต้องการ ADAS ที่เพิ่มขึ้นในประเทศไทย สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงไปสู่เทคโนโลยีการขับขี่ที่ปลอดภัยและก้าวหน้ามากขึ้นในประเทศ” เห็นได้ชัดว่าผู้ใช้ถนนชาวไทยกำลังมองหาโซลูชันที่ก้าวข้ามมาตรการด้านความปลอดภัยแบบเดิม และแสวงหาเทคโนโลยีที่สามารถช่วยป้องกันอุบัติเหตุและปรับปรุงประสบการณ์การขับขี่โดยรวม ความสนใจที่เพิ่มขึ้นนี้ส่งสัญญาณถึงโอกาสสำคัญสำหรับผู้ผลิตยานยนต์และผู้กำหนดนโยบายที่จะให้ความสำคัญกับการผสานรวมคุณลักษณะ ADAS เข้ากับยานพาหนะและกฎระเบียบข้อบังคับ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ขับขี่สามารถเข้าถึงเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการเดินทางที่ปลอดภัยยิ่งขึ้น ที่ HERE Technologies เรามุ่งเน้นไปที่การส่งมอบเทคโนโลยีการระบุตำแหน่งที่สามารถช่วยตอบสนองความต้องการนี้และ ส่งเสริมให้ทั้งผู้ใช้ถนนและผู้กำหนดนโยบายเปิดกว้างเพื่ออนาคตที่ปลอดภัยกว่าและเชื่อมต่อกันมากขึ้นบนท้องถนนของประเทศไทย”

คลอเดีย เคอห์ล รองผู้อำนวยการ Counterpoint Research กล่าว “ประเทศไทยมีอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนสูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีผู้เสียชีวิตเฉลี่ย 50 รายต่อวัน ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงสุด เนื่องจากการขับรถโดยประมาท สภาพถนนไม่ดี และการเมาแล้วขับ เทคโนโลยี ADAS สามารถตรวจจับสถานการณ์อันตรายล่วงหน้าได้ และช่วยให้สามารถหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุได้ดีขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับความพยายามของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุและปรับปรุงความปลอดภัยบนท้องถนน ระบบ ADAS ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือสำคัญควบคู่ไปกับการให้ความรู้ด้านความเสี่ยงและความปลอดภัยแก่ผู้ขับขี่และผู้โดยสาร รวมถึงการพัฒนาทักษะการขับขี่เพื่อบรรลุเป้าหมายของประเทศไทยในการลดจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนลงร้อยละ 50 ภายในปี 2570”

อนุจ เจน หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์และการพัฒนาธุรกิจ AWS Automotive & Manufacturing ยังแสดงความคิดเห็นว่า “อนาคตของการคมนาคมขนส่งมีรากฐานมาจากเทคโนโลยีเชิงนวัตกรรมที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งาน” ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ขั้นสูง (ADAS) มีศักยภาพที่จะปฏิวัติประสบการณ์การขับขี่ นำไปสู่ยุคใหม่แห่งท้องถนนที่ปลอดภัยและวางใจได้มากขึ้น โดยการใช้ประโยชน์จากข้อมูลเชิงลึกด้านการระบุตำแหน่ง ADAS สามารถระบุตำแหน่งยานพาหนะได้อย่างแม่นยำ ช่วยตรวจจับอันตรายที่อาจเกิดขึ้น และช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถนำทางในสถานการณ์ที่ซับซ้อนได้อย่างมั่นใจมากขึ้น ส่งผลให้อุบัติเหตุน้อยลงและช่วยรักษาชีวิตผู้คนได้มากขึ้น ผ่านความร่วมมือของเรากับผู้นำในอุตสาหกรรมการขนส่งและยานยนต์ อย่าง HERE Technologies, AWS กำลังช่วยให้ลูกค้าเร่งการนำเทคโนโลยีที่สร้างการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มาใช้และพัฒนาต่อยอด ซึ่งจะนำไปสู่ระบบนิเวศการขนส่งที่ปลอดภัยขึ้น วางใจได้มากขึ้น และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

การ์ทเนอร์เปิด 10 อันดับเทรนด์เทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์มาแรง ปี 2568

กรุงเทพฯประเทศไทย, 8 พฤศจิกายน 2567 — การ์ทเนอร์ประกาศ 10 อันดับเทรนด์เทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ที่องค์กรต้องจับตาในปี 2568

ยีน อัลวาเรซ รองประธานอาวุโสการ์ทเนอร์ กล่าวว่า ปีนี้แนวโน้มเทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ครอบคลุมความจำเป็นและความเสี่ยง AI, ขอบเขตใหม่ของการประมวลผล และการทำงานร่วมกันระหว่างมนุษย์และเครื่องจักร ซึ่งการติดตามแนวโน้มเหล่านี้ช่วยให้ผู้นำไอทีสามารถกำหนดอนาคตองค์กรด้วยการนำนวัตกรรมมาปรับใช้อย่างมีความรับผิดชอบและมีจริยธรรม

เทรนด์เทคโนโลยีเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญในปี 2568 ประกอบด้วย 

Agentic AI

ระบบตัวแทนเอไอหรือ Agentic AI สามารถใช้วางแผนและดำเนินการแบบอัตโนมัติเพื่อบรรลุเป้าหมายตามที่ผู้ใช้กำหนด โดย Agentic AI จะนำเสนอการทำงานเสมือนจริงของทีมงานเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระและเพิ่มประสิทธิภาพงานของมนุษย์ การ์ทเนอร์คาดว่า ในปี 2571 การตัดสินใจเรื่องงานประจำวันจะเป็นอัตโนมัติโดยทำงานผ่าน Agentic AI จะมีอย่างน้อย 15% เพิ่มขึ้นจากเดิม 0% ในปี 2567 โดยความสามารถที่ขับเคลื่อนด้วยเป้าหมายของเทคโนโลยีนี้จะมอบระบบซอฟต์แวร์ที่ปรับเปลี่ยนได้มากขึ้น ช่วยให้ทำงานได้หลากหลายขึ้น

Agentic AI มีศักยภาพช่วยให้ผู้บริหาร CIO สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ทั่วทั้งองค์กร โดยแรงจูงใจนี้ยังผลักดันให้ทั้งองค์กรและผู้จำหน่ายร่วมกันสำรวจ สร้างสรรค์นวัตกรรมและพัฒนาเทคโนโลยีพร้อมแนวทางปฏิบัติที่จำเป็นเพื่อส่งมอบเทคโนโลยีนี้ในรูปแบบที่มั่นคง ปลอดภัย และเชื่อถือได้

AI Governance Platforms

แพลตฟอร์มการกำกับดูแล AI หรือ AI Governance Platform เป็นส่วนหนึ่งของแนวทางการจัดการความน่าเชื่อถือ ความเสี่ยง และความปลอดภัยของ AI (หรือที่เรียกว่า TRiSM) ที่การ์ทเนอร์กำลังพัฒนาอยู่ ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ นั้นสามารถจัดการประสิทธิภาพทางกฎหมาย จริยธรรม และการดำเนินงานระบบ AI โดยโซลูชันเทคโนโลยีเหล่านี้มีความสามารถในการสร้างสรรค์ จัดการและบังคับใช้หลักเกณฑ์สำหรับการใช้งาน AI อย่างมีความรับผิดชอบ รวมถึงอธิบายวิธีการทำงานของระบบ AI และยังนำเสนอความโปร่งใสเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความรับผิดชอบ

การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ในปี 2571 องค์กรที่ใช้ AI Governance Platform อย่างครอบคลุมจะเจอสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับธรรมมาภิบาลด้าน AI น้อยลง 40% เทียบกับองค์กรที่ไม่มีระบบดังกล่าว

Disinformation Security

ความปลอดภัยข้อมูลเท็จ หรือ Disinformation Security เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งแยกแยะความน่าเชื่อถืออย่างเป็นระบบ และมุ่งหวังที่จะจัดทำระบบเชิงวิธีการเพื่อรับรองและประเมินความถูกต้อง รวมถึงป้องกันการแอบอ้างตัวตน และติดตามการแพร่กระจายข้อมูลที่เป็นอันตราย การ์ทเนอร์คาดว่า ในปี 2571 องค์กรธุรกิจถึง 50% จะเริ่มนำผลิตภัณฑ์ บริการ หรือฟีเจอร์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อจัดการกับยูสเคสการใช้งานความปลอดภัยของข้อมูลเท็จมาใช้ เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีไม่ถึง 5%

คาดว่าความพร้อมใช้งานวงกว้างและพัฒนาการของเครื่องมือ AI รวมถึง Machine Learning ที่ถูกนำไปใช้เพื่อจุดประสงค์ไม่หวังดี จะเพิ่มจำนวนเหตุการณ์การให้ข้อมูลเป็นเท็จ (Disinformation Incidents) ที่มุ่งเป้าไปที่องค์กรต่าง ๆ หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ตรวจสอบข้อมูลเท็จเหล่านี้ อาจสร้างความเสียหายร้ายแรงสำคัญต่อองค์กรใดก็ได้

Postquantum Cryptography

การเข้ารหัสแบบ Postquantum Cryptography ให้การป้องกันข้อมูล ซึ่งต้านทานความเสี่ยงจากการถอดรหัสของคอมพิวเตอร์ควอนตัม เนื่องจากช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาคอมพิวเตอร์ควอนตัมมีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะมีการยุติการเข้ารหัสแบบเดิมในหลายประเภทที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่การเปลี่ยนวิธีการเข้ารหัสนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นองค์กรจำเป็นต้องใช้เวลาเตรียมการล่วงหน้านานขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมสร้างการป้องกันที่แข็งแกร่งสำหรับสิ่งที่ละเอียดอ่อนหรือเป็นความลับใด ๆ ก็ตาม

การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ในปี 2572 ความก้าวหน้าคอมพิวเตอร์ควอนตัมจะทำให้การเข้ารหัสแบบอสมมาตร (Asymmetric Cryptography) แบบเดิมส่วนใหญ่ไม่ปลอดภัยต่อการใช้งาน

Ambient Invisible Intelligence

ปัญญาประดิษฐ์ที่แฝงตัวตามสภาพแวดล้อม หรือ Ambient Invisible Intelligence นั้นเกิดขึ้นจากการใช้อุปกรณ์ติดตามอัจฉริยะ หรือ Smart Tags และอุปกรณ์เซ็นเซอร์ขนาดเล็กที่มีต้นทุนต่ำเป็นพิเศษ ช่วยให้สามารถติดตามและตรวจจับได้ในวงกว้าง โดยในระยะยาว Ambient Invisible Intelligence จะช่วยให้สามารถผสานการตรวจจับและปัญญาประดิษฐ์เข้าไว้กับชีวิตประจำวันได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

จนถึงปี 2570 ตัวอย่างแรก ๆ ของเทคโนโลยี Ambient Invisible Intelligence จะมุ่งเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เช่น การตรวจสอบสต๊อกสินค้าปลีกหรือการขนส่งสินค้าเน่าเสียง่าย โดยทำให้สามารถติดตามและตรวจจับสินค้าได้แบบเรียลไทม์ด้วยต้นทุนต่ำ เพื่อปรับปรุงการมองเห็นและประสิทธิภาพ

Energy-Efficient Computing

อุตสาหกรรมไอทีส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนหลาย ๆ ด้าน แม้ในปีนี้องค์กรไอทีส่วนใหญ่ต่างคำนึงถึงการลดปริมาณการปล่อยคาร์บอนเป็นหลัก แต่แอปพลิเคชันที่ต้องใช้การประมวลผลสูง เช่น การฝึกอบรม AI การจำลอง การเพิ่มประสิทธิภาพ และการเรนเดอร์มีเดียต่าง ๆ กลับมีแนวโน้มเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการปล่อยคาร์บอนขององค์กรมากที่สุด เนื่องจากใช้พลังงานเยอะสุด

การ์ทเนอร์คาดว่าตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 2020 เป็นต้นมา เทคโนโลยีการประมวลผลใหม่ ๆ หลายตัว อาทิ เครื่องเร่งความเร็วแบบออปติคอล (Optical), นิวโรมอร์ฟิก (Neuromorphic) และตัวเร่งความเร็วแบบใหม่ (Novel Accelerators) จะเกิดขึ้นกับงานเฉพาะทาง เช่น AI และการเพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบ หรือ Optimization ซึ่งจะใช้พลังงานน้อยลงอย่างมาก

Hybrid Computing

ระบบการประมวลผลใหม่เกิดขึ้นอยู่เรื่อย ๆ ประกอบด้วย การประมวลผลด้วยหน่วยประมวลผลกลาง (CPU), หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU), การประมวลผล Edge, วงจรรวมเฉพาะแอปพลิเคชัน (ASIC), นิวโรมอร์ฟิก (Neuromorphic) และควอนตัมคลาสสิก (Classical Quantum) รวมถึงระบบการคำนวณแบบออปติก (Optical Computing Paradigms) โดยการประมวลผลแบบไฮบริดที่รวมกลไกการคำนวณ การจัดเก็บและใช้เครือข่ายที่แตกต่างกันมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้แก้ปัญหาด้านการคำนวณ โดยรูปแบบการคำนวณเหล่านี้ช่วยให้องค์กรสามารถสำรวจและแก้ปัญหาได้ ทำให้เทคโนโลยี อย่างเช่น AI ทำงานได้เกินขีดจำกัดในปัจจุบัน และการประมวลผลแบบไฮบริดยังถูกนำมาใช้สร้างสภาพแวดล้อมนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงอย่างมีประสิทธิภาพสูง ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่าสภาพแวดล้อมเดิม

Spatial Computing

การประมวลผลเชิงพื้นที่หรือ Spatial Computing ช่วยปรับปรุงโลกกายภาพด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น AR และ VR ซึ่งเป็นการโต้ตอบอีกระดับระหว่างประสบการณ์ทางกายภาพและประสบการณ์เสมือนจริง ในอีก ถึง ปีข้างหน้า การใช้ Spatial Computing จะเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานให้กับองค์กรผ่านเวิร์กโฟลว์ที่ได้รับการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานร่วมกัน 

การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ภายในปี 2576 Spatial Computing จะมีมูลค่าเติบโตถึง 1.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก 110 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2566

Polyfunctional Robots

เครื่องจักรอเนกประสงค์ หรือ Polyfunctional Machines สามารถทำงานได้มากกว่าหนึ่งอย่าง และกำลังเข้ามาแทนที่หุ่นยนต์ที่ออกแบบมาให้ทำงานซ้ำ ๆ เฉพาะงาน โดยการทำงานของหุ่นยนต์รุ่นใหม่นี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและให้ผลตอบแทนการลงทุนที่รวดเร็วขึ้น Polyfunctional Robots ยังได้รับการออกแบบมาให้ทำงานในโลกร่วมกับมนุษย์ ซึ่งจะทำให้ใช้งานได้รวดเร็วและปรับขนาดได้ง่าย

การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่า ในปี 2573 จะมีมนุษย์ถึง 80% ทำงานร่วมกับหุ่นยนต์อัจฉริยะประจำวัน เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีไม่ถึง 10% 

Neurological Enhancement

การเพิ่มประสิทธิภาพระบบประสาทหรือ Neurological Enhancement จะช่วยเพิ่มความสามารถทางปัญญาของมนุษย์โดยใช้เทคโนโลยีที่อ่านและถอดรหัสกิจกรรมของสมอง เทคโนโลยีนี้จะอ่านสมองของบุคคลโดยใช้อินเทอร์เฟซสมอง-เครื่องจักรแบบทั้งทิศทางเดียวหรืออินเทอร์เฟซสมอง-เครื่องจักรแบบสองทิศทาง (BBMI) ซึ่งมีศักยภาพมหาศาลในสามด้านหลัก ได้แก่ ด้านการพัฒนาทักษะของมนุษย์ ด้านการตลาดในยุคถัดไป และด้านประสิทธิภาพ โดย Neurological Enhancement จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางปัญญา ช่วยให้แบรนด์ต่าง ๆ ทราบว่าผู้บริโภคกำลังคิดและรู้สึกอย่างไร และเพิ่มความสามารถของระบบประสาทมนุษย์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่ผลลัพธ์

ในปี 2573 การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าพนักงานที่มีทักษะความรู้ (Knowledge Workers) 30% จะได้รับการพัฒนา และพึ่งพาเทคโนโลยี เช่น BBMIs (ทั้งแบบนายจ้างออกทุนให้และแบบออกทุนเอง) เพื่อให้สามารถทำงานสอดรับกับการเพิ่มขึ้นของการใช้ AI ในสถานที่ทำงาน จากเดิมในปี 2567 ที่มีอยู่ไม่ถึง 1%

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ซิสโก้เปิดตัวโซลูชัน AI แบบ Plug-and-Play เร่งการนำ AI ไปใช้ในองค์กรธุรกิจ

กรุงเทพฯ6 พฤศจิกายน 2567 – ซิสโก้ (NASDAQ: CSCO) เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานศูนย์ข้อมูล ได้แก่ เซิร์ฟเวอร์แฟมิลี่ตระกูล AI ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับเวิร์กโหลด AI ที่ต้องใช้ GPU ประสิทธิภาพสูงร่วมกับ NVIDIA และ AI POD เพื่อลดความซับซ้อนและความเสี่ยงในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน AI โซลูชันเหล่านี้ช่วยให้องค์กรสามารถปรับเปลี่ยนและขยายขนาดสู่การใช้งาน AI โดยได้รับการสนับสนุนจากความสามารถด้านเครือข่ายชั้นนำของซิสโก้

จีทู พาเทล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตภัณฑ์ของซิสโก้ กล่าวว่า “องค์กรธุรกิจกำลังเผชิญแรงกดดันในการนำเอาระบบ AI มาใช้งาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราก้าวสู่ยุคของระบบงานอัตโนมัติและ AI ที่เริ่มแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง นวัตกรรมจากซิสโก้ เช่น AI POD และเซิร์ฟเวอร์ GPU ช่วยเพิ่มความปลอดภัย การปฏิบัติตามกฎระเบียบการทำงาน และเพิ่มประสิทธิภาพการประมวลผล ตลอดจนการใช้งาน AI ของลูกค้า ตั้งแต่การประมวลผลขั้นพื้นฐานไปจนถึงการฝึกฝนระบบ AI”

การเติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างมากของ AI กำลังทรานส์ฟอร์มความต้องการด้านดาต้าเซ็นเตอร์ องค์กรธุรกิจต้องการเครือข่ายที่ขยายขนาดและโปรแกรมได้ โดยต้องมีความยั่งยืน และปลอดภัย ตามรายงานของ McKinsey ระบุว่า Gen AI จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจทั่วโลกถึง 2.6 – 4.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯต่อปี โดยมีองค์กรธุรกิจเป็นผู้ขับเคลื่อนหลัก อย่างไรก็ตาม จากผลการศึกษาดัชนีความพร้อมด้าน AI ของซิสโก้ พบว่า 89% ของผู้เชี่ยวชาญไอทีมีการวางแผนในการนำเวิร์กโหลด AI มาใช้ภายใน 2 ปีข้างหน้า แต่มีเพียง 14% ขององค์กรธุรกิจเท่านั้นที่รายงานว่าโครงสร้างพื้นฐานพร้อมแล้วสำหรับรองรับการใช้งาน AI

ซิสโก้ช่วยลดอุปสรรคในการนำ AI มาใช้งาน

ซิสโก้นำเสนอโซลูชันใหม่ที่มอบโครงสร้างพื้นฐานจำเป็นสำหรับลูกค้า เพื่อเร่งการนำ AI มาใช้งานได้ทันที ไม่ว่าจะเริ่มต้นจากจุดไหนก็สามารถทำงานร่วมกับโครงสร้างพื้นฐานปัจจุบันที่ลูกค้ามีอยู่แล้วโดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนแต่อย่างใด ทำให้ธุรกิจเติบโตและพัฒนาได้โดยไม่ยุ่งยากซับซ้อน โซลูชันใหม่เหล่านี้บริหารจัดการผ่านระบบ Cisco Intersight ที่ควบคุมได้จากศูนย์กลางและระบบการทำงานอัตโนมัติ โดยทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นจากการตั้งค่าไปจนถึงดำเนินงานประจำวัน โซลูชันใหม่ที่เปิดตัวในวันนี้ ได้แก่:

  • เร่งการประมวลผลความเร็วสูงในยุค AI: ซิสโก้เพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่ม UCS AI ด้วยเซิร์ฟเวอร์ UCS C885A M8 ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับงาน AI ที่ต้องใช้ GPU อย่างหนัก โดยนับเป็น high-density เซิร์ฟเวอร์ที่สามารถรองรับงานที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งการเทรนและการประมวลผล AI โดยใช้พลังของแพลตฟอร์มซูเปอร์คอมพิวติ้ง NVIDIA HGX  พร้อมด้วย GPU รุ่น NVIDIA H100 และ H200 Tensor Core โดยเซิร์ฟเวอร์แต่ละเครื่องมาพร้อม NVIDIA NICs หรือ SuperNICs เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเครือข่าย AI และ NVIDIA BlueField-3 DPUs ที่ช่วยเร่งการเข้าถึงข้อมูลของ GPU พร้อมระบบความปลอดภัยแบบ zero-trust ที่แข็งแกร่ง นับเป็นผลิตภัณฑ์แรกในกลุ่มเซิร์ฟเวอร์ AI โดยเฉพาะของซิสโก้ และเป็นระบบประมวลผลความเร็วสูงแบบ 8-way แรกที่พัฒนาบนแพลตฟอร์ม NVIDIA HGX

  • โครงสร้างพื้นฐาน AI แบบ Plug-and-Play พร้อมใช้งาน: ซิสโก้เปิดตัว AI POD ชุดโครงสร้างพื้นฐานที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับการใช้งาน AI และอุตสาหกรรมต่างๆ โดยรวมระบบประมวลผล เครือข่าย การจัดเก็บข้อมูล และการจัดการคลาวด์เข้าไว้ด้วยกัน ชุดโครงสร้างพื้นฐานนี้ช่วยเพิ่มความสามารถในการขยายระบบและประสิทธิภาพการทำงาน สร้างขึ้นบนพื้นฐานของ Cisco Validated Designs (CVDs) โดย POD จะช่วยให้ลูกค้าเริ่มต้นใช้งาน และปรับแต่งได้ง่ายตามความต้องการเฉพาะ ชุดโครงสร้างพื้นฐานที่กำหนดขนาดและตั้งค่าไว้ล่วงหน้านี้ช่วยขจัดความยุ่งยากในการใช้โซลูชัน AI inference ตั้งแต่การประมวลผลที่อุปกรณ์ปลายทางไปจนถึงคลัสเตอร์ขนาดใหญ่ที่ใช้ระบบประมวลผลความเร็วสูงของ NVIDIA โซลูชันเหล่านี้รวมถึง NVIDIA AI Enterprise ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซอฟต์แวร์ cloud-native แบบครบวงจรที่ช่วยเร่งการประมวลผล data science และทำให้การพัฒนาและติดตั้ง AI เป็นไปอย่างราบรื่น ส่งผลให้สร้างมูลค่าได้เร็วขึ้น ประสิทธิภาพการทำงานที่สม่ำเสมอ และลดความเสี่ยงในการทำโปรเจ็ก AI ต่างๆ

โซลูชันใหม่เหล่านี้จะเพิ่มเข้ามาในพอร์ตโฟลิโอโครงสร้างพื้นฐาน AI และดาต้าเซ็นเตอร์ของซิสโก้ ซึ่งรวมถึงแพลตฟอร์มสวิตช์ 800G Nexus ที่เพิ่งเปิดตัวซึ่งใช้ชิป Cisco Silicon One G200 และโซลูชัน Cisco Nexus HyperFabric AI ที่พัฒนาร่วมกับ NVIDIA ซึ่งประกาศเปิดตัวเมื่อเร็วๆ นี้

สร้างอีโคซิสเต็ม AI ร่วมกับพาร์ทเนอร์

ขณะที่ลูกค้าและพาร์ทเนอร์ของซิสโก้กำลังปรับตัวในตลาด AI ที่มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซิสโก้มุ่งมั่นที่จะร่วมมือกับทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรมเพื่อขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเติบโต ด้วยความแข็งแกร่งของซิสโก้ทางด้านเครือข่าย ความปลอดภัย และความสามารถในการตรวจสอบระบบ พร้อมทั้งให้ความสำคัญกับการนำ AI มาใช้ของลูกค้าแต่ละรายที่แตกต่างกัน ซิสโก้และพาร์ทเนอร์สามารถส่งมอบคุณค่าทางธุรกิจที่แท้จริงให้กับลูกค้า

บ็อบ เพตต์ รองประธานฝ่ายแพลตฟอร์มองค์กรธุรกิจNVIDIA กล่าวว่า “ยุคใหม่ของแอปพลิเคชัน Gen AI กำลังขับเคลื่อนการทรานส์ฟอร์เมชันขององค์กรทั่วโลก ด้วยการเปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์เซิร์ฟเวอร์ AI แบบเฉพาะทาง, AI PODs และระบบต่างๆ ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น พร้อมการประมวลผลความเร็วสูงและซอฟต์แวร์แบบ full-stack จาก NVIDIA ซิสโก้กำลังพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่องค์กรต่างๆ สามารถใช้เป็นรากฐานการเติบโตในยุค AI”

ร็อบ คิม ผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีPresidio กล่าวว่า “AI กำลังจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำธุรกิจอย่างถึงรากฐาน แต่การขยายระบบต้องอาศัยโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งเพื่อรองรับความต้องการด้านการประมวลผลความเร็วสูง เรารู้สึกตื่นเต้นกับความพยายามของซิสโก้ในการทำให้ AI เป็นเรื่องที่ลูกค้าสามารถติดตั้งและจัดการได้ง่ายขึ้น ด้วยโซลูชันใหม่เหล่านี้ Presidio สามารถนำเสนอโซลูชันที่เข้ากันได้กับโครงสร้างพื้นฐานที่ลูกค้ามีอยู่แล้ว ติดตั้งและจัดการได้ง่าย รวมถึงจัดหาโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมสำหรับ AI journey ของแต่ละองค์กร”

คอนเนอร์ แวดเดล รองประธานอาวุโส ฝ่ายโซลูชัน Integrated Technology ของ CDW กล่าวว่า “การที่ซิสโก้เปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่เหล่านี้เกิดขึ้นในจังหวะเวลาที่เหมาะสมที่สุด ในขณะที่ลูกค้าของเรากำลังพยายามทำความเข้าใจบทบาทของ AI ในธุรกิจของตน และวิธีที่จะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ CDW รู้สึกตื่นเต้นกับแพลตฟอร์มโครงสร้างพื้นฐานและความปลอดภัยด้าน AI ใหม่ของซิสโก้ ที่จะช่วยขับเคลื่อนผลลัพธ์ทางธุรกิจอย่างปลอดภัยให้กับลูกค้าร่วมของเรา”

นีล แอนเดอร์สัน รองประธานฝ่ายคลาวด์ โครงสร้างพื้นฐาน และโซลูชัน AI ของ World Wide Technology กล่าวว่า “หนึ่งในความท้าทายที่เราเห็นสำหรับลูกค้าคือความซับซ้อนของชุดโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่มีตัวเลือกมากมายและเทคโนโลยีที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว โซลูชันของซิสโก้อย่าง AI POD จะช่วยทำให้การนำ AI มาใช้งานง่ายขึ้นและเร็วขึ้นสำหรับลูกค้าของเรา ทำให้พวกเขาสามารถมุ่งเน้นไปที่ผลลัพธ์ด้าน AI ที่องค์กรต้องการได้   World Wide Technology รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ร่วมงานกับซิสโก้ในการแสดงศักยภาพของ Cisco AI POD ใน AI Proving Ground Lab ของเรา และเร่ง AI journey ให้กับลูกค้าร่วมของเรา”

ความพร้อมให้บริการ

  • เซิร์ฟเวอร์ Cisco UCS C885A M8 สามารถสั่งซื้อได้ตั้งแต่วันนี้และคาดว่าจะส่งมอบให้ลูกค้าได้ภายในสิ้นปี
  • Cisco AI PODs จะเปิดให้สั่งซื้อได้ในเดือนพฤศจิกายน 2024
  • ซิสโก้มีโซลูชันด้านการชำระเงินสำหรับผลิตภัณฑ์เหล่านี้ เพื่อช่วยให้พาร์ทเนอร์ลดภาระหนี้ในงบดุล ลดความเสี่ยงด้านเครดิตและการชำระเงินของลูกค้า และเพิ่มกระแสเงินสดและผลกำไร สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ cisco.com/go/paymentsolutions

แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม:

เกี่ยวกับ ซิสโก้ (Cisco)

Cisco (NASDAQ: CSCO) เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลกที่เชื่อมต่อทุกสิ่งอย่างปลอดภัยเพื่อให้ทุกสิ่งเป็นไปได้ เป้าหมายของซิสโก้คือขับเคลื่อนอนาคตสำหรับทุกคนโดยช่วยลูกค้าคิดใหม่ (reimagine) เกี่ยวกับแอปพลิเคชัน ขับเคลื่อนการทำงานแบบไฮบริด รักษาความปลอดภัยให้กับองค์กร ทรานส์ฟอร์มโครงสร้างพื้นฐาน และบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน เปิดประสบการณ์กับซิสโก้ที่ห้องข่าว The Newsroom และติดตามข่าวสารของซิสโก้บน X ที่ @Cisco.


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

อีตั้น อิเล็คทริค ประเทศไทย จำกัด มอบตู้ไฟฟ้า (Consumer Unit) ให้แก่ สจล.เพื่อสนับสนุนในการให้ความช่วยเหลือน้ำท่วมภาคเหนือ

บริษัท อีตั้น อิเล็คทริค ประเทศไทย จำกัด นำโดย นายรัฐกร รักยุติธรรม ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายผลิตภัณฑ์ตัดต่อและจ่ายไฟฟ้า(ที่สองจากขวา) และนายเกษตร ติวะตันสกุล  วิศวกรอาวุโส  ฝ่ายผลิตภัณฑ์ตัดต่อและจ่ายไฟฟ้ (ขวาสุด) จัดกิจกรรมเพื่อสังคม ส่งมอบ ตู้ไฟฟ้า(Consumer Unit) ให้แก่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยทางภาคเหนือ โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เปี่ยมภูมิ สฤกพฤกษ์ รองคณบดีอาวุโส ฝ่ายบริหาร (สองจากซ้าย) ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดุสิต สุขสวัสดิ์(ซ้ายสุด) ตัวแทนจากคณะวิศวกรรมไฟฟ้า สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เป็นผู้รับมอบเมื่อเร็วๆ นี้


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

อีริคสันแสดงความเป็นผู้นำ 5G และโซลูชันขั้นสูง ในงาน Innovate Asia 2024

อีริคสัน (NASDAQ: ERIC) ผู้นำเทคโนโลยีโทรคมนาคมระดับโลก ตอกย้ำให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของการเป็นผู้บุกเบิกและกำหนดอนาคตการเชื่อมต่อ ภายในงาน Innovate Asia 2024 ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ ในกรุงเทพฯ ระหว่างวันที่ 5-7 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งถือเป็นเวทีสำคัญสำหรับผู้นำอุตสาหกรรม นวัตกรทางธุรกิจ และผู้ให้บริการโทรคมนาคม เพื่อเข้าถึงความก้าวหน้าล่าสุดของเทคโนโลยี 5G, ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบอัตโนมัติที่กำลังปฏิวัติเครือข่ายโทรคมนาคมทั่วโลก

ในงานนี้ อีริคสันและผู้ให้บริการโทรคมนาคมจากทั่วภูมิภาค ได้แก่ Grameenphone, Indosat Ooredoo Hutchison (IOH), Singtel และ Telstra ได้ร่วมกันหารือเกี่ยวกับหัวข้อต่าง ๆ ที่น่าสนใจ อาทิ วิวัฒนาการเครือข่าย 5G ไปสู่ 5G Standalone และเครือข่ายประสิทธิภาพสูง รวมถึงเครือข่ายที่สามารถตั้งโปรแกรมได้ อีริคสันยังได้พูดคุยเกี่ยวกับกลยุทธ์ที่สามารถนำไปใช้ได้จริงเพื่อเอาชนะความท้าทายด้านระบบอัตโนมัติ การเพิ่มขีดความสามารถของการดำเนินงาน และการนำ AI มาเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเครือข่าย ผ่านการทำงานร่วมกับทั้งพันธมิตรและนักพัฒนาชาวไทยเพื่อสำรวจว่า 5G, AI และระบบอัตโนมัติสามารถตอบโจทย์ความต้องการที่เฉพาะของประเทศไทยได้ เช่น การพัฒนาโครงการเมืองอัจฉริยะ การสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และการสร้างเครือข่ายที่ยั่งยืนพร้อมรับอนาคต

IOH และอีริคสันประกาศความสำเร็จในการร่วมมือกันติดตั้งแพลตฟอร์มการสร้างรายได้ดิจิทัล หรือ Digital Monetization Platform (DMP) แบบครบวงจรเป็นรายแรกของโลก เพื่อมอบประโยชน์ให้แก่ผู้ใช้บริการ IOH ในประเทศอินโดนีเซียที่มีอยู่ราว 100 ล้านราย ด้วยเวลาเพียง 18 วัน โดยผู้ใช้บริการเติมเงินของ IOH กว่า 83 ล้านราย จะได้รับการโอนย้ายอย่างราบรื่นโดยไม่มีการหยุดชะงักหรือมีผลกระทบต่อประสบการณ์ใช้งาน สำหรับแพลตฟอร์ม DMP เป็นส่วนหนึ่งของพอร์ตโฟลิโอระบบสนับสนุนธุรกิจโทรคมนาคม (BSS) ของอีริคสัน ที่ออกแบบมาเพื่อเร่งเสริมบริการดิจิทัลของ IOH รวมถึงความพร้อมสำหรับ 5G และประสบการณ์ B2B ขั้นสูง โดยระบบใหม่นี้ช่วยให้สามารถสร้างบริการได้เร็วขึ้น มีส่วนร่วมกับลูกค้าได้ดีขึ้น และมีความยืดหยุ่นมากขึ้นสำหรับโมเดลธุรกิจในอนาคต

การติดตั้ง DMP Stack ซึ่งรวมถึงการโอนย้ายฐานผู้ใช้บริการเติมเงิน เสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2567 แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาขีดความสามารถทางดิจิทัลของอินโดนีเซียอย่างก้าวกระโดดและแข็งแกร่ง เมื่อเปิดการใช้งาน 5G แพลตฟอร์มนี้จะช่วยให้ IOH สามารถสำรวจโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ เช่น Network Slicing โซลูชันที่สามารถปรับแต่งการเชื่อมต่อให้ตรงกับความต้องการเฉพาะของลูกค้า ยกระดับประสบการณ์การใช้งานได้ทั้งผู้บริโภคและองค์กร

ในระหว่างงานนี้ อีริคสันและ IOH ยังได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MoU) ร่วมกันเพื่อสานต่อความร่วมมือสำหรับการใช้ประโยชน์จากศักยภาพของปัญญาประดิษฐ์เชิงสร้างสรรค์ (Gen AI) และการเรียนรู้ของเครื่อง (AI/ML) ทั้งในแพลตฟอร์ม DMP และระบบ BSS จากความร่วมมือเหล่านี้ ทั้งสองบริษัทมีความตั้งใจจะเร่งการสร้างรายได้จากแพลตฟอร์ม DMP และร่วมกันสร้างสรรค์นวัตกรรมด้านผลิตภัณฑ์ที่จะเพิ่มรายได้และย่นระยะเวลาการนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด

Grameenphone ผู้ให้บริการโทรคมนาคมเคลื่อนที่รายใหญ่ที่สุดของบังกลาเทศ ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MoU) กับอีริคสัน เพื่อร่วมมือกันพัฒนาเทคโนโลยี AI และระบบอัตโนมัติสำหรับใช้ขับเคลื่อนนวัตกรรมและสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนทั่วบังกลาเทศ โดย MoU ฉบับนี้ได้กำหนดกรอบความร่วมมือระหว่าง Grameenphone และอีริคสัน โดยทั้งสองบริษัทจะมุ่งเน้นด้านนวัตกรรมและการเติบโตที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานการแบ่งปันแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดระดับโลก การปรับแผนงานผลิตภัณฑ์ และการเปิดตัวโครงการนำร่อง รวมถึง Lighthouse Projects ต่าง ๆ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับความพยายามร่วมกันในการพัฒนาและทดสอบเทคโนโลยีใหม่ ๆ โดยอีริคสันยังเตรียมเปิดตัวฟีเจอร์ล่าสุด ได้แก่ ความสามารถใหม่ ๆ ในการใช้ AI หรือ AI-Led Intent-Based Operations Capabilities ซึ่งได้รับรางวัลการันตีคุณภาพ สำหรับเสริมประสิทธิภาพการดำเนินงานบนเครือข่ายให้กับ Grameenphone ในการช่วยจัดการบริการ สนับสนุน และมอบข้อเสนอที่ดียิ่งขึ้นให้กับลูกค้า

MoU ที่ลงนามระหว่างงาน Innovate Asia 2024 จะช่วยยกระดับและพัฒนาความร่วมมือระหว่าง Grameenphone และอีริคสัน ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2541

เมื่อ 5G พัฒนายิ่งขึ้นและมีผู้ให้บริการด้านการสื่อสารนำ 5G SA มาใช้มากขึ้น คาดว่าความสนใจของผู้ให้บริการหลายรายจะเปลี่ยนไปสู่การพัฒนาข้อเสนอการเชื่อมต่อที่แตกต่าง โดยการเชื่อมต่อที่โดดเด่นและมีประสิทธิภาพนี้เกิดขึ้นได้จากความสามารถของเครือข่าย 5G SA เช่น โซลูชัน Network Slicing และอื่น ๆ ยูสเคสการใช้งาน อย่างเช่น Fixed Wireless Access (FWA), Cloud Gaming, E-Sports  และ Live Streaming จะได้รับประโยชน์จากความสามารถเหล่านี้ด้วย ปัจจุบันแม้ว่าผู้ให้บริการกำลังส่งมอบประโยชน์ของ 5G ให้กับผู้บริโภคและองค์กร พวกเขามีโอกาสที่จะเปลี่ยนเครือข่ายให้เป็นแพลตฟอร์มเพื่อนวัตกรรม โดยทำให้ความสามารถของเครือข่าย 5G ขั้นสูงพร้อมใช้งานสำหรับชุมชนนักพัฒนาทั่วโลกผ่านเครือข่ายแบบเปิด (API)

แอนเดรส วิเซนเต้ หัวหน้าภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โอเชียเนีย และอินเดียของอีริคสัน กล่าวระหว่างการพูดคุยในหัวข้อ ‘Strategic Business Evolution’ ว่า “การผสานพลังของเครือข่ายประสิทธิภาพสูงที่สามารถตั้งโปรแกรมได้ ร่วมกับ API เครือข่ายและระบบนิเวศของนักพัฒนาที่หลากหลาย จะสร้างเครือข่ายทรงพลังที่ช่วยสร้างการเติบโตและพัฒนานวัตกรรมสำหรับภาคโทรคมนาคม และยังเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ของประเทศไทยที่มีระบบนิเวศสตาร์ทอัพที่เพียบพร้อม”

“5G Standalone ไม่ใช่แค่การเชื่อมต่อที่รวดเร็วขึ้นเท่านั้น แต่เป็นการสร้างโมเดลธุรกิจใหม่และขยายโอกาสด้านนวัตกรรมให้กับทุกภาคส่วนของอุตสาหกรรม ด้วยการนำศักยภาพของ 5G มาใช้อย่างเต็มที่ โดยผู้ให้บริการด้านการสื่อสารสามารถนำเสนอบริการที่แตกต่าง ไม่เพียงแต่ตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค แต่ยังเปิดโอกาสการเติบโตใหม่ ๆ ให้กับอุตสาหกรรมด้วย” แอนเดรสกล่าวสรุป

อีริคสันเป็นผู้นำ 5G ระดับโลกและได้รับการยอมรับในฐานะผู้นำอุตสาหกรรมจากรายงาน Frost Radar™: Global 5G Network Infrastructure Market ซึ่งการรักษาอันดับผู้นำสูงสุดในรายงาน Frost Radar™ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ได้ตอกย้ำให้เห็นว่าอีริคสันให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนา รวมถึงพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย ซึ่งครอบคลุมทุกด้านของโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย 5G รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายในรุ่นก่อนหน้า มีคุณค่าในตลาดที่เทคโนโลยีมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท ทุบสถิติการเติบโต! ฉลองความสำเร็จ Advice iStore สาขาที่ 3 ใจกลางอุดรธานี

3 พฤศจิกายน 2567 – บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด (มหาชน) ตอกย้ำความแข็งแกร่งในตลาด Apple ด้วยการเปิด Advice iStore สาขาที่ 3 ณ ใจกลางเมืองอุดรธานี ภายในระยะเวลาเพียง 2 เดือน สะท้อนความต้องการของผู้บริโภคในภูมิภาค และความพร้อมในการรุกตลาดอย่างเต็มรูปแบบ

นายณัฏฐ์ ณัฐนิธิการัชต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ Advice iStore ทั้ง 3 สาขาในเวลาเพียง 2 เดือน สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและความพร้อมของแอดไวซ์ในทุกด้าน ทั้งเงินลงทุน ทีมงานมืออาชีพ และโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะการเป็น ‘สิงห์ภูธร’ ที่มีฐานลูกค้าและเครือข่ายสาขาครอบคลุมทั่วประเทศ ทำให้เราเข้าใจและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่ได้อย่างแท้จริง”

ด้วยกระแสตอบรับที่เกินคาด แอดไวซ์จึงเร่งเดินหน้าขยายสาขาเพิ่มเป็น 8 แห่งภายในสิ้นปี 2567 และวางเป้าหมายทะยานสู่ 35 สาขาภายในปี 2568 เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง “เราไม่ใช่แค่ตัวแทนจำหน่ายแต่เราคือผู้เล่นตัวจริงในตลาด Apple ที่พร้อมมอบประสบการณ์ระดับพรีเมียมครบวงจร ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ไปจนถึงบริการหลังการขายที่ได้มาตรฐาน ด้วยจุดแข็งของแอดไวซ์ที่เป็น Top of Mind ของลูกค้าต่างจังหวัดทั่วประเทศ ผนวกกับความเชี่ยวชาญในธุรกิจไอทีมากกว่า 20 ปี ทำให้เรามั่นใจว่าจะสามารถยกระดับการเข้าถึงเทคโนโลยี Apple ให้กับผู้บริโภคทั่วประเทศได้อย่างแท้จริงในฐานะ Apple Authorized Reseller ” นายณัฏฐ์กล่าวทิ้งท้าย.

ไฮไลท์โปรโมชั่นต้อนรับการเปิด Advice iStore จ.อุดรธานี ระหว่างวันที่ 31 ตุลาคม – 30 พฤศจิกายน 2567 

  • ผ่อนนาน 0% สูงสุด 48 เดือน!
  • เก่าแลกใหม่! เมื่อนำสินค้าไอทีเก่าแลกส่วนลดสำหรับสินค้าใหม่ การันตีราคาดีสุดและรับแลกเต็มระบบสูงสุดถึง 5 เครื่อง
  • แลกซื้อสุดคุ้ม! เมื่อช้อปสินค้า Mac, iPad, iPhone, Apple Watch สามารถแลกซื้อ AirPods 2 ในราคา 3,590 บาท จากราคาปกติ 5,290 บาท
  • รับฟรี! กระเป๋า Magic Bag ตกหลุมรักอุดรธานี มูลค่า 990 บาท เมื่อช้อปสินค้าร้าน Advice iStore มูลค่าครบ 25,000 บาท ซึงสามารถนำมาใช้เป็นส่วนลดเพิ่มอีก 10% สูงสุด 1,000 บาท สำหรับซื้อสินค้าที่ Advice iStore เป็นเวลา 1 เดือน เพียงหิ้วกระเป๋ามาช้อปที่ร้าน Advice iStore ด่วน! สินค้ามีจำนวนจำกัด
  • รับฟรี! หูฟัง Belkin Soundform Mini “Disney Exclusive Series” มูลค่า 1,790 บาท เมื่อซื้อ iPad รุ่นที่ร่วมรายการ
  • โค้ดส่วนลดท้ายบิล มูลค่า 300 บาท สำหรับนำไปซื้อผลิตภัณฑ์ Apple Accessories
  • ผ่อนง่าย เพียงบัตรประชาชนใบเดียวผ่านระบบ True Pay Next Extra
  • ฟรี! สำหรับลูกค้า Advice iStore กับกิจกรรมเวิร์คช้อปส่งเสริมการเรียนรู้ มูลค่า 2,990 บาท

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  https://www.advice.co.th/branch-promotion/4578


Exit mobile version