Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค คว้าตำแหน่งบริษัทที่ยั่งยืนที่สุดในโลก จากนิตยสาร Time และ Statista

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ผู้นำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่นด้านการบริหารจัดการพลังงานและระบบอัตโนมัติ ได้รับการจัดอันดับให้เป็น World’s Most Sustainable Companies for 2024 หรือ บริษัทที่ยั่งยืนที่สุดในโลก ประจำปี 2024 โดยนิตยสาร Time และ Statista โดยการจัดอันดับในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทและความมุ่งมั่นของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในการบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน ด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่แต่เฉพาะในองค์กรเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความมุ่งมั่นในการช่วยลูกค้าประหยัดพลังงานและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอีกด้วย

Time และ Statista ทำการคัดเลือกบริษัทที่มีความยั่งยืนมากที่สุดในโลกประจำปี 2024 อย่างโปร่งใสในหลายขั้นตอน เริ่มจากการจัดกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่ทรงอิทธิพลมากกว่า 5,000 แห่ง ไม่นับรวมบริษัทที่ไม่เข้าข่ายด้านความยั่งยืน และพิจารณา 4 ปัจจัยสำคัญหลัก ได้แก่ การให้คะแนนความยั่งยืนจากภายนอก คำมั่นสัญญา ผลรายงานการดำเนินงานขององค์กร และตัวชี้วัดประสิทธิภาพด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งเกณฑ์การคัดเลือกดังกล่าวนำไปสู่การจัดอันดับบริษัท 500 แห่ง จากกว่า 30 ประเทศ

Time และ Statista มองเห็นถึงความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค รวมถึงความมุ่งมั่นในโครงการ Schneider Sustainability Impact (SSI) ซึ่งเป็นโครงการที่สร้างการขับเคลื่อนและชี้วัดความคืบหน้าในการดำเนินงานของบริษัท เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายความยั่งยืนระดับโลกของปี 2021-2025 โดยยึดคำมั่นสัญญาสำคัญ 6 ข้อ ครอบคลุมทุกมิติในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) นับเป็นความมุ่งมั่นของบริษัทที่ช่วยให้ลูกค้าลดและหลีกเลี่ยงการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ถึง 553 ล้านตันนับตั้งแต่ปี 2018 นอกจากนี้ บริษัทยังมีความคืบหน้าในการปฏิรูปซัพพลายเชนขององค์กรอีกด้วย ซัพพลายเออร์ชั้นนำของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จำนวน 1,000 ราย สามารถลดการปล่อยคาร์บอนลงถึง 27 เปอร์เซ็นต์ และพันธมิตรด้านซัพพลายเชนเชิงกลยุทธ์ของบริษัท 21 เปอร์เซ็นต์ สามารถบรรลุมาตรฐานการทำงานของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้เป็นอย่างดี

“เรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นบริษัทที่ยั่งยืนที่สุดในโลก” ปีเตอร์ เฮอร์เวค ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เผย “ความสำเร็จครั้งนี้เป็นบทพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ของเราในการสร้างความยั่งยืน ซึ่งปลูกฝังอยู่ในทุกสิ่งที่เราทำ ทั้งในการตัดสินใจและการดำเนินงานประจำวันของเรา เราคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลที่ดี นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เราผลักดันอย่างเต็มที่ จนสามารถพัฒนาเพื่อบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืนของเรามากยิ่งขึ้นไป พร้อมมั่นใจได้ว่าทุกคนมีส่วนร่วมในการสร้างผลกระทบที่ดีได้อย่างยั่งยืน”

นอกจากนี้ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ยังถูกจัดอยู่ใน Dow Jones Sustainability World Index เป็นปีที่ 13 ติดต่อกัน โดยครองอันดับ 1 ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน และครองตำแหน่งใน Europe index ความสำเร็จนี้สะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) โดยมีความยั่งยืนเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

การ์ทเนอร์คาดการณ์ปีนี้รายได้ชิป AI ทั่วโลกจะโตขึ้น 33%

กรุงเทพฯ ประเทศไทย, 8 กรกฎาคม 2567 – การ์ทเนอร์คาดการณ์ภายในปี 2567 รายได้ของเซมิคอนดักเตอร์ AI ทั่วโลกจะมีมูลค่ารวมถึง 71 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 33% จากปี 2566 

อลัน พรีสต์ลีย์ รองประธานฝ่ายวิจัยการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “วันนี้ Generative AI (GenAI) กำลังกระตุ้นความต้องการชิป AI ประสิทธิภาพสูงสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์และในปี 2567 นี้มูลค่าของ AI Accelerators ในเซิร์ฟเวอร์ที่ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลจากไมโครโปรเซสเซอร์จะมีมูลค่ารวม 21 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเพิ่มขึ้นเป็น 33 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2571” 

การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าการจัดส่ง AI PC จะสูงถึง 22% ของยอดรวมการจัดส่งพีซีทั้งหมดในปี 2567 และภายในสิ้นปี 2569 การซื้อพีซีในระดับองค์กรจะเป็น AI PC ทั้ง 100% โดย AI PC ประกอบด้วยหน่วยประมวลผล Neural Processing Unit (NPU) ที่ทำให้ AI PC สามารถทำงานได้นานขึ้น เงียบขึ้นและเย็นลง โดยหลังบ้านมี AI ทำงานอยู่อย่างต่อเนื่อง พร้อมสร้างโอกาสใหม่ ๆ ด้วยการดึงศักยภาพของ AI มาปรับใช้ในกิจกรรมประจำวัน

แม้รายได้จากเซมิคอนดักเตอร์ AI จะยังเติบโตเป็นเลขสองหลักในช่วงระยะเวลาคาดการณ์ ซึ่งจะมีอัตราการเติบโตสูงสุดในปี 2567 (ดูตารางที่ 1)

ตารางที่ 1. คาดการณ์รายได้เซมิคอนดักเตอร์ AI ทั่วโลก ระหว่างปี 2566-2568 (หน่วย: ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)

  ปี 2566 ปี 2567 ปี 2568
รายได้ 

(หน่วย: ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)

53,662 71,252 91,955

ที่มา: การ์ทเนอร์ (พฤษภาคม 2567)

รายได้ของชิป AI จาก Compute Electronics สร้างสถิติส่วนแบ่งสูงสุดในกลุ่มอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

คาดว่าในปี 2024 รายได้จากชิป AI จากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์คอมพิวเตอร์จะมีมูลค่ารวม 33.4 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งจะคิดเป็น 47% ของรายรับจากเซมิคอนดักเตอร์ AI ทั้งหมด รายรับจากชิป AI จากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในยานยนต์คาดว่าจะสูงถึง 7.1 พันล้านดอลลาร์ และ 1.8 พันล้านดอลลาร์จากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคในปี 2567 ตามลำดับ

การแข่งขันที่ดุเดือดระหว่างผู้ขายเซมิคอนดักเตอร์และบริษัทเทคโนโลยี 

แม้ว่าโฟกัสสำคัญจะอยู่ที่การใช้หน่วยประมวลผลกราฟิกประสิทธิภาพสูง (GPU) ในเวิร์กโหลดใหม่ ๆ ของ AI แต่ผู้ให้บริการระดับไฮเปอร์สเกลหลัก ๆ (เช่น AWS, Google, Meta และ Microsoft) ต่างลงทุนพัฒนาชิปของตัวเองโดยปรับให้เหมาะสมกับ AI แม้การพัฒนาชิปจะมีราคาแพง แต่การใช้ชิปที่ออกแบบเองนั้นสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพด้านการดำเนินงาน ช่วยลดต้นทุนของการส่งมอบบริการที่ใช้ AI ให้กับผู้ใช้ และลดต้นทุนสำหรับผู้ใช้ในการเข้าถึงแอปพลิเคชันที่ใช้ AI ใหม่ “ขณะที่ตลาดเปลี่ยนจากการพัฒนา (Development) ไปสู่ การนำมาปรับใช้งาน (Deployment) เราคาดว่าแนวโน้มนี้จะดำเนินต่อไป” พรีสต์ลีย์ กล่าวเพิ่มเติม 

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

รายงานใหม่ Cloudflare ชี้องค์กรต่าง ๆ กำลังประสบปัญหากับแนวทางการรักษาความปลอดภัยที่ล้าหลัง ท่ามกลางภัยคุกคามออนไลน์ที่กำลังลุกลามใหญ่โต

กรุงเทพฯ ประเทศไทย, 5 กรกฎาคม 2567 – Cloudflare, Inc. (NYSE: NET) บริษัทชั้นนำด้าน Connectivity Cloud ได้เผยแพร่ รายงานสถานะความปลอดภัยของแอปพลิเคชันของ Cloudflare ในปี 2567 ข้อค้นพบจากรายงานในปีนี้เผยให้เห็นว่าทีมงานที่ดูแลด้านความปลอดภัยกำลังเผชิญกับภาวะยากลำบากในการจัดการกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้น จากการที่องค์กรหันมาพึ่งพาแอปพลิเคชันสมัยใหม่อย่างรวดเร็ว แอปพลิเคชันที่ว่านี้ก็คือเทคโนโลยีที่รองรับเว็บไซต์ที่มีการใช้งานมากที่สุดในปัจจุบัน โดยรายงานยังเน้นถึงภัยคุกคามที่เกิดจากปัญหาซอฟต์แวร์ในห่วงโซ่อุปทาน จำนวนการโจมตีที่เพิ่มขึ้นทั้งในส่วนของ Distributed Denial of Service (DDoS) และบอทที่เป็นอันตราย ที่มักมีมากกว่ากำลังคนของทีมงานที่ดูแลด้านความปลอดภัยของแอปพลิเคชันเป็นการเฉพาะ

โลกดิจิทัลในปัจจุบันขับเคลื่อนด้วยเว็บแอปพลิเคชันและ API ที่ทำให้เว็บไซต์อีคอมเมิร์ซสามารถทำการชำระเงิน ระบบการดูแลสุขภาพสามารถแบ่งปันข้อมูลผู้ป่วยได้อย่างปลอดภัย และช่วยให้เราทำกิจกรรมต่าง ๆ ผ่านโทรศัพท์ แต่การใช้แอปพลิเคชันเหล่านี้มากขึ้นย่อมเท่ากับเป็นการเพิ่มพื้นที่การโจมตี และยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นไปอีกเมื่อนักพัฒนาเองก็ต้องการใช้เพื่อนำเสนอฟีเจอร์ใหม่ ๆ ให้ได้โดยเร็ว เช่น ความสามารถที่ขับเคลื่อนโดย generative AI แต่ถ้าไม่มีการป้องกัน แอปที่นำมาใช้ประโยชน์อาจเป็นสาเหตุให้ธุรกิจหยุดชะงัก สูญเสียเม็ดเงิน และโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญล่มสลาย

Matthew Prince ผู้ร่วมก่อตั้งและ CEO ของ Cloudflare กล่าวว่า “เว็บแอปพลิเคชันสร้างมาโดยแทบจะไม่คำนึงถึงเรื่องความปลอดภัย แต่เรากลับใช้ร่วมกับฟังก์ชั่นสำคัญทุกประเภททุกวัน จนกลายเป็นเป้าโจมตีของแฮกเกอร์ไปโดยปริยาย เครือข่ายของ Cloudflare ช่วยปิดกั้นภัยคุกคามทางไซเบอร์ให้ลูกค้าได้เฉลี่ยวันละ 209,000 ล้านรายการ โดยเลเยอร์การรักษาความปลอดภัยของแอปพลิเคชันในปัจจุบันได้กลายเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญที่สุดที่ทำให้อินเทอร์เน็ตมีความปลอดภัยอย่างแท้จริง”

ผลการค้นพบสำคัญจากรายงานสถานะความปลอดภัยของแอปพลิเคชันในปี 2567 ของ Cloudflare ได้แก่

  • การโจมตี DDoS ยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่องทั้งในแง่ของปริมาณและความถี่: DDoS ยังคงเป็นเวกเตอร์ภัยคุกคามที่นำมาใช้มากที่สุดเพื่อเล็งเป้าหมายไปที่แอปพลิเคชันและ API คิดเป็น 37.1% ของการรับส่งข้อมูลแอปพลิเคชันทั้งหมดที่ Cloudflare ช่วยลดความเสี่ยง โดยธุรกิจที่ตกเป็นเป้าหมายมากที่สุด ได้แก่ เกมและการพนัน ไอทีและอินเทอร์เน็ต สกุลเงินคริปโต ซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ และการตลาดและการโฆษณา
  • คนแรกที่แพตช์กับคนแรกที่ใช้—การแข่งขันระหว่างฝ่ายป้องกันและฝ่ายโจมตีมีความเข้มข้น: Cloudflare ตรวจพบช่องโหว่แบบ Zero-day ใหม่ ๆ ได้รวดเร็วกว่าที่เคย โดยช่องโหว่หนึ่งเกิดขึ้นไล่หลังการเผยแพร่ Proof-of-Concept (PoC) เพียง 22 นาที
  • บอทด้อยมาตรฐาน ซึ่งหากทิ้งไว้โดยไม่ตรวจสอบ อาจทำลายล้างระบบได้: หนึ่งในสาม (31.2%) ของการรับส่งข้อมูลทั้งหมดที่ทำผ่านบอทนั้น พบว่าเกือบทั้งหมด (93%) ไม่ได้รับการตรวจสอบยืนยันและอาจเป็นอันตรายได้ ธุรกิจที่เป็นเป้าหมายสูงสุดได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตและสินค้าอุปโภคบริโภค สกุลเงินคริปโต การรักษาความปลอดภัยและการสืบสวน และรัฐบาลกลางสหรัฐฯ
  • องค์กรต่าง ๆ กำลังใช้วิธีการล้าสมัยในการรักษาความปลอดภัยของ API: กฎ Web Application Firewall (WAF) แบบเดิมที่ใช้โมเดลความปลอดภัยเชิงลบ ซึ่งเป็นการตั้งสมมติฐานว่าการเข้าชมเว็บส่วนใหญ่ไม่เป็นอันตราย ซึ่งเป็นวิธีที่ถูกนำมาใช้มากที่สุดในการปกป้อง API Traffic ทั้งนี้ มีองค์กรไม่กี่แห่งที่ใช้หลักปฏิบัติที่ดีที่สุดด้านความปลอดภัยของ API ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางกว่า ซึ่งเป็นโมเดลความปลอดภัยเชิงบวก ซึ่งเป็นการกำหนดอย่างเข้มงวดในด้านการรับส่งข้อมูลที่ได้รับการยอมรับและปฏิเสธส่วนที่เหลือทั้งหมด
  • การใช้ซอฟต์แวร์ของบริษัทภายนอกเพียงอย่างเดียวคือตัวเพิ่มความเสี่ยง: องค์กรต่าง ๆ ใช้โค้ดจากผู้ให้บริการบุคคลที่สามโดยเฉลี่ย 47.1 โค้ด และสร้างการเชื่อมต่อสู่ภายนอกไปยังทรัพยากรของบุคคลที่สามโดยเฉลี่ย 49.6 ครั้ง เพื่อช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพและการทำงานของเว็บไซต์ เช่น การใช้ประโยชน์จาก Google Analytics หรือ Ads แต่เนื่องจากการพัฒนาเว็บไซต์ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากเพื่อให้โค้ดและกิจกรรมของบุคคลที่สามประเภทนี้สามารถโหลดในเบราว์เซอร์ของผู้ใช้ได้ องค์กรต่าง ๆ จึงต้องเผชิญกับความเสี่ยงและแบกรับความรับผิดชอบด้านห่วงโซ่อุปทาน ทั้งยังมีข้อกังวลเรื่องการปฏิบัติตามกฎระเบียบเพิ่มมากขึ้นด้วย

ระเบียบวิธีวิจัยรายงาน: รายงานนี้อ้างอิงจากรูปแบบการรับส่งข้อมูลโดยรวม (ที่สังเกตการณ์ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2566 – 31 มีนาคม 2567) ภายในเครือข่าย Cloudflare ทั่วโลก ข้อมูลนี้และข้อมูลภัยคุกคามจากเครือข่ายของ Cloudflare รวมถึงข้อมูลจากบุคคลที่สามตามที่ได้อ้างถึงในรายงานนี้ โดย Cloudflare สามารถลดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นกับการใช้งานเว็บแอปพลิเคชันและ API ทั้งหมดลงได้ 6.8% ในระหว่างที่มีการรวบรวมข้อมูล คำจำกัดความของการรับส่งข้อมูลที่ลดความเสี่ยงลง (Mitigated Traffic) คือ การรับส่งข้อมูลใด ๆ ที่ถูกบล็อกหรือจัดการโดย Cloudflare สำหรับประเภทภัยคุกคามที่เฉพาะเจาะจงและเทคนิคการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ช่องโหว่ทางด้านความปลอดภัยที่อาจเกิดขึ้นของแอปพลิเคชัน ลักษณะธุรกิจของเหยื่อ และเป้าหมายของผู้โจมตี 

ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากแหล่งข้อมูลด้านล่างนี้

 

เกี่ยวกับ Cloudflare

Cloudflare, Inc. (NYSE: NET) เป็นบริษัทชั้นนำด้าน Connectivity Cloud ที่มุ่งช่วยสร้างอินเทอร์เน็ตที่ดียิ่งขึ้น บริษัทช่วยให้องค์กรต่าง ๆ ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน แอปพลิเคชัน และเครือข่ายในทุก ๆ ที่ให้ทำงานได้เร็วขึ้นและปลอดภัยยิ่งขึ้น พร้อมทั้งลดความซับซ้อนและต้นทุน ทั้งนี้ Connectivity Cloud ของ Cloudflare เสนอแพลตฟอร์มผลิตภัณฑ์และเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาแบบคลาวด์เนทีฟที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและครบวงจรที่สุด เพื่อให้องค์กรสามารถควบคุมส่วนที่จำเป็นต่อการทำงาน พัฒนา และเร่งสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจ

Cloudflare ซึ่งขับเคลื่อนโดยเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดและเชื่อมต่อถึงกันมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ได้ปิดกั้นภัยคุกคามออนไลน์หลายพันล้านรายการของลูกค้าทุกวัน บริษัทได้รับความไว้วางใจจากองค์กรหลายล้านแห่ง ตั้งแต่แบรนด์ที่ใหญ่ที่สุดไปจนถึงผู้ประกอบการและธุรกิจขนาดเล็ก ตลอดจนองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร กลุ่มด้านมนุษยธรรม และรัฐบาลทั่วโลก

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Connectivity Cloud ของ Cloudflare ได้ที่ cloudflare.com/connectivity-cloud เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวโน้มและข้อมูลเชิงลึกทางอินเทอร์เน็ตล่าสุดได้ที่ https://radar.cloudflare.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค จับมือ ออนวัลล่า รุกตลาดเครื่องชาร์จอีวี สร้างความยั่งยืนไปด้วยกัน

นายมงคล ตั้งศิริวิช (ขวา) ประธานกลุ่มคลัสเตอร์ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ดูแลประเทศไทย ลาว และเมียนมา และ นายองอาจ ปัณฑุยากร (ซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออนวัลล่า จำกัด ภายใต้การดูแลของบริษัท ออลล่า จำกัด (มหาชน) ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกันพัฒนา และต่อยอดธุรกิจด้านสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าอย่างครบวงจร มุ่งมั่นต่อยอดแนวคิดสร้างความยั่งยืนให้กับโลก ด้วยสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าความเร็วสูง EVlink Pro DC ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ที่มีระบบ Ultra Fast Charge ให้ความรวดเร็วไม่ต้องรอนาน


 

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

Tesla รับสมัครผู้ติดตั้ง ‘Tesla Powerwall’ แบตเตอรี่บ้านพลังงานสะอาด

เยี่ยมชม Tesla Energy ที่บูธ E19 ในงาน ASEAN Sustainable Energy Week 2024 วันที่ 3-5 กรกฎาคม ซึ่งคุณจะได้พบกับ Powerwall และมีโอกาสพูดคุยกับ Tesla เกี่ยวกับการเป็นผู้ติดตั้งที่ผ่านการรับรอง

บริษัท เทสลา (ประเทศไทย) จำกัด ได้เริ่มจำหน่ายและติดตั้ง Powerwall แบตเตอรี่สำหรับบ้านของ Tesla ทั่วประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2566 ขณะนี้ Tesla กำลังค้นหาพาร์ตเนอร์ผู้ติดตั้งที่ผ่านการรับรองรายใหม่ ผู้ซึ่งมีวิสัยทัศน์ที่สอดคล้องกับภารกิจขององค์กรในการเป็นผู้นำเร่งการเปลี่ยนแปลงของโลกไปสู่พลังงานที่ยั่งยืน และช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดแบตเตอรี่ Powerwall ทั่วทั้งภูมิภาค

ในฐานะผู้ติดตั้งที่ได้รับการรับรองจาก Tesla คุณจะสามารถจัดจำหน่ายและติดตั้ง Powerwall รับการสนับสนุนด้านการขาย การตลาด และทางเทคนิคจาก Tesla Energy ในฐานะผู้ติดตั้งที่ได้รับการรับรอง คุณจะสามารถแสดงโลโก้การรับรอง (ด้านซ้าย) ในเอกสารหรือใช้ในกิจกรรมทางการตลาดของคุณและนำเสนอ Powerwall ให้กับลูกค้าของคุณได้

Powerwall คือแบตเตอรี่สำหรับบ้านที่มีความจุพลังงาน 13.5 kWh และกำลังไฟฟ้า 5 kW แต่เนื่องจากสามารถขยายได้ถึง 10 ยูนิต จึงสามารถใช้งานได้หลากหลาย รวมไปถึงบ้านที่อยู่อาศัยแต่ละหลัง อาคารพาณิชย์ และสถานที่สาธารณะ

Powerwall ยังคงให้การสนับสนุนลูกค้าทั่วประเทศไทยด้วยไฟฟ้าสำรอง ซึ่งช่วยครอบคลุมการรับมือกับไฟฟ้าดับและภัยพิบัติทางธรรมชาติ พร้อมทั้งสนับสนุนประชาชนชาวไทยในการลดค่าไฟฟ้าและจัดเก็บพลังงานหมุนเวียนที่สะอาดเพื่อใช้เมื่อยามจำเป็นอีกด้วย

Tesla Energy ยินดีต้อนรับบริษัทที่สนใจเป็นผู้ติดตั้งที่ได้รับการรับรองจาก Tesla

สมัครบนเว็บไซต์ Tesla หรือเยี่ยมชมเราได้ที่บูธ E19 ในงาน ASEAN Sustainable Energy Week 2024  ซึ่งเราจะพูดคุยกับคุณตลอดกระบวนการ (https://ts.la/asewapply )

เยี่ยมชมและพบกับทีม Tesla Energy เพื่อพูดคุยหารือเกี่ยวกับวิธีที่คุณสามารถเริ่มจัดจำหน่ายและติดตั้ง Powerwall ให้กับลูกค้าของคุณ

สมัครเพื่อเป็นผู้ติดตั้งที่ผ่านการรับรอง: https://ts.la/asewapply

เกี่ยวกับผู้ติดตั้งที่ผ่านการรับรอง:https://ts.la/asewci

เกี่ยวกับงาน ASEAN Sustainable Energy Week 2024: https://ts.la/asew

การติดตั้ง Powerwall ในประเทศไทย

  1. บ้านพักอาศัย (กรุงเทพมหานคร)
  2. คาเฟ่ Bottomless (กรุงเทพมหานคร)
  3. ไนท์คลับ (กรุงเทพมหานคร)

ข้อมูลอ้างอิง: คุณสมบัติและข้อมูลจำเพาะของ Tesla Powerwall (https://www.tesla.com/th_TH/powerwall)

คุณสมบัติ

  • ความจุขนาดใหญ่ 13.5kWh

ความจุพลังงานของ Powerwall คือ 13.5kWh

Powerwall สามารถทำงานร่วมกับพลังงานโซลาร์เพื่อกักเก็บพลังงานส่วนเกินที่เกิดขึ้นในระหว่างวัน และเปิดให้ใช้งานได้ทุกเมื่อที่คุณต้องการ โดยลดการพึ่งพาโครงข่ายไฟฟ้าส่วนกลางให้มากที่สุด

  • กำลังไฟฟ้าสูงถึง 5kW

กำลังไฟฟ้าของ Powerwall สูงถึง 5kW

เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านที่ต้องการกำลังไฟที่สูง เช่น เตาไมโครเวฟ และเครื่องอบผ้า ก็สามารถนำมาใช้กับพลังงานไฟฟ้าจาก Powerwall ได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น เครื่องปรับอากาศ และหม้อหุงข้าว IH อีกด้วย

  • มีไฟฟ้าสำรองใช้ในช่วงที่ไฟฟ้าดับ

ในตอนที่ไฟดับเนื่องจากพายุโซนร้อนหรือฝนตกหนัก Powerwall จะจ่ายไฟฟ้าให้กับบ้านของคุณโดยอัตโนมัติเพื่อที่คุณจะสามารถใช้ไฟทั้งหมดได้ตามปกติ เนื่องจาก Powerwall จะสำรองสวิตช์บอร์ดให้ทั้งหมด

  • การตรวจสอบและการตั้งค่ามีอยู่ในแอป Tesla

คุณสามารถตรวจสอบการใช้โซลาร์และพลังงานใน Powerwall ของคุณ เปลี่ยนการตั้งค่าได้ทุกที่ทุกเวลาด้วยแอป Tesla


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

มจพ. ลงนาม MOU ร่วมกับ BYD CO., LTD. และ HMEVC เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และระบบอัตโนมัติ รวมทั้งพลังงานทดแทนในยุคดิจิทัล

เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน พ.. 2567 ศาสตราจารย์ ดร.สุชาติ เซี่ยงฉิน อธิการบดี มจพ. เข้าร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการ ร่วมกับ บริษัท BYD CO., LTD. โดย Mr. Xun Meng, Deputy General Manager of BYD Human Resources Division และ Henan Mechanical and Electrical Vocational College โดย Mr. Yao Yong Secretary of HMEVC Party Committee โดยมี ศาสตราจารย์ ดร.ธีรวุฒิ บุณยโสภณ นายกสภามหาวิทยาลัยฯ และ ดร.สมยศ กีรติชีวนันท์ กรรมการสภามหาวิทยาลัยผู้ทรงคุณวุฒิ รวมถึงคณะผู้บริหารของมหาวิทยาลัยฯ อาทิ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปรีชา อ่องอารี ผู้อำนวยการอุทยานเทคโนโลยี มจพ. ศาสตราจารย์ ดร.เสาวณิต สุขภารังษี รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มจพ. และผู้บริหารของบริษัท BYD และ HMEVC ให้เกียรติร่วมเป็นสักขีพยาน ทั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาหลักสูตรต่อเนื่องและเชื่อมโยงการศึกษาระดับอาชีวศึกษาและอุดมศึกษา สร้างโอกาสให้กับนักศึกษาที่มีคุณสมบัติเหมาะสมของ HMEVC เพื่อเข้าเรียนหลักสูตรเทคโนโลยีบัณฑิต (Bachelor of Technology : B.Tech.) สาขาเทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่และระบบอัตโนมัติ รวมถึงหลักสูตรอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีการจัดการเรียนการสอนที่ KMUTNB Techno Park มาบตาพุด จังหวัดระยอง และ KMUTBN Main Campus กรุงเทพฯ ตลอดจนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ร่วมกันโดยอาจารย์จาก HMEVC และเจ้าหน้าที่ของ BYD มีโอกาสเข้าศึกษาต่อในระดับบัณฑิตศึกษาในหลักสูตรนานาชาติสาขาวิชาต่าง ๆ ที่ มจพ.

นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือในโครงการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ นวัตกรรม และการพัฒนาอุตสาหกรรม การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีอุตสาหกรรมสาขาต่าง ๆ และการสัมมนาระดับนานาชาติ และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมไทยจีน ตลอดจนการแลกเปลี่ยนนักเรียนและอาจารย์ทั้งสองฝ่าย ทำการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาบุคลากร และการวิจัยเชิงพาณิชย์พัฒนาผลิตภัณฑ์และกระบวนการผลิตด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและพลังงานทดแทนที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในยุคดิจิทัล ตลอดจนการพัฒนาองค์ความรู้ใหม่อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อันจะนำไปสู่การถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ร่วมกันของทั้งสามองค์กร


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เดลล์ เทคโนโลยีส์ พลิกโฉมสตอเรจด้วย Dell PowerStore ล้ำหน้าทุกองศา ให้สมรรถนะทรงพลัง ยืดหยุ่น และประสิทธิภาพเหนือชั้น

เดลล์ เทคโนโลยีส์ ประกาศเปิดตัว Dell PowerStore ที่พัฒนาและยกระดับสมรรถนะ ประสิทธิภาพ ความยืดหยุ่น และความสามารถในการเคลื่อนย้ายข้อมูลระหว่างมัลติคลาวด์ได้ดียิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ เดลล์ยังขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ Dell APEX ด้วยการพัฒนา AIOps แบบใหม่ รวมถึงการจัดการมัลติคลาวด์ และ Kubernetes storage ดีขึ้น ให้ประสิทธิภาพสูงขึ้น

“การที่เราพัฒนา PowerStore และเพิ่มข้อได้เปรียบเรื่องงบประมาณและการดำเนินงานใหม่ๆ ให้ทั้งลูกค้าและคู่ค้าคือการสร้างผลกระทบที่ทรงพลัง และยังช่วยยกระดับมาตรฐานของระบบจัดเก็บข้อมูลแบบ all-flash อีกด้วย” อาร์เธอร์ เลวิส ประธาน กลุ่มธุรกิจ ISG เดลล์ เทคโนโลยีส์ กล่าว “และเราจะไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้ เพราะเรายังขยายความมุ่งมั่นในการสรรสร้างนวัตกรรมไปสู่ Dell APEX ด้วยการปรับปรุงเสถียรภาพที่ให้ความน่าเชื่อถือทั้งโครงสร้างพื้นฐานและแอปพลิเคชันด้วยพลังของ AI และระบบอัตโนมัติ ที่ทำให้การจัดการระบบจัดเก็บข้อมูลในมัลติคลาวด์ และ Kubernetes ง่ายดายยิ่งขึ้น”

ขยายสมรรถนะ ประสิทธิภาพ ความยืดหยุ่นของระบบจัดเก็บข้อมูล และเพิ่มศักยภาพให้มัลติคลาวด์

Dell PowerStore ช่วยจัดการกับปริมาณเวิร์กโหลดที่เพิ่มขึ้น ด้วยเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลแบบ quad-level cell (QLC) ที่ยืดหยุ่นที่สุดในอุตสาหกรรม และช่วยปรับปรุงสมรรถนะสูงขึ้น

  • หน่วยจัดเก็บข้อมูลแบบ QLC มอบสมรรถนะระดับองค์กร ด้วยราคาต่อเทราไบต์ที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับรุ่นที่ใช้ triple-level cell (TLC) ลูกค้าสามารถเริ่มต้นด้วยการใช้ไดรฟ์ QLC เพียง 11 ลูก และขยายความจุในการใช้งานได้ถึง 5.9 เพตาไบต์ต่อ PowerStore 1 เครื่อง ซึ่งความสามารถในการจัดการ Load Balancing อย่างชาญฉลาดของ PowerStore ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและช่วยให้จัดวางเวิร์กโหลดในกลุ่มคลัสเตอร์ที่มีทั้ง TLC และ QLC ได้ดียิ่งขึ้น
  • ให้สมรรถนะสูงขึ้น โดยสามารถปรับปรุงสมรรถนะของฮาร์ดแวร์ เพิ่มสูงถึง 66% เมื่ออัปเกรดอุปกรณ์เป็นรุ่นที่สูงขึ้น โดยที่ไม่ต้องย้ายข้อมูล (Data-in-Place)

การพัฒนาซอฟต์แวร์ของ Dell PowerStore ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มความปลอดภัย และให้ความสามารถในการย้ายข้อมูลบนคลาวด์

  • เพิ่มสมรรถนะด้วยซอฟต์แวร์ อัปเดตซอฟต์แวร์ได้โดยที่ระบบไม่ต้องหยุดทำงาน สำหรับลูกค้าปัจจุบันทำได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ช่วยเพิ่มสมรรถนะการทำงานของเวิร์กโหลดที่หลากหลายได้สูงขึ้นถึง 30% และลดเวลาในการทำงานได้ถึง 20%
  • ให้การปกป้องข้อมูลที่ดีขึ้น ลูกค้ามีทางเลือกเพิ่มขึ้น ในการปกป้องระบบงานสำคัญ ด้วยการทำสำเนาข้อมูลด้วยตัวเองระหว่าง  PowerStore แบบ Synchronous (Native Synchronous Replication) ที่รองรับทั้งบล็อกและไฟล์ รวมถึงการจำลองข้อมูล และการทำสำเนาข้อมูลด้วยตัวเองแบบ Metro (Native Metro Replication) ที่ทำงานได้พร้อมกันสำหรับระบบ Windows, Linux และ VMware
  • ให้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น การปรับปรุงซอฟต์แวร์ช่วยให้สามารถลดขนาดข้อมูลได้ดีขึ้นถึง 20% และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานได้ถึง 28%
  • เพิ่มความสามารถในการย้ายข้อมูลระหว่างมัลติคลาวด์ ลูกค้าสามารถพัฒนากลยุทธ์ในการใช้งานมัลติคลาวด์และย้ายเวิร์กโหลดได้ง่ายขึ้น ด้วยการเชื่อมต่อ PowerStore เข้ากับ Dell APEX Block Storage ซึ่งเป็น Cloud Block Storage ที่สามารถขยายได้มากที่สุดในโลก

“Dell PowerStore ช่วยให้ Fulgent Genetics ดูแลผู้ป่วยด้านพยาธิวิทยา มะเร็งวิทยา สุขภาพการเจริญพันธุ์ รวมถึงโรคติดเชื้อและโรคหายากได้ดียิ่งขึ้น ด้วยการเร่งความเร็วในการประมวลผลข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ทีมแพทย์ของเราสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกทางพันธุกรรมและผลการทดสอบแก่ผู้ป่วยได้รวดเร็วขึ้น” ไมค์ ลาเซแนร์ รองประธานฝ่ายแอปพลิเคชัน Fulgent Genetics กล่าว “PowerStore ยังช่วยให้เราดำเนินการตามพันธสัญญาด้านความยั่งยืนได้ดียิ่งขึ้น ช่วยลดการใช้พลังงาน รวมถึงลดขนาดของศูนย์ข้อมูลได้ ขณะเดียวกันก็ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก การพัฒนาใหม่ๆ ของ PowerStore ทำให้เราสามารถคาดหวังความสำเร็จ ทั้งด้านสมรรถนะ ประสิทธิภาพ และช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยให้เราพัฒนาการดูแลผู้ป่วยได้ดียิ่งขึ้น”

ความก้าวหน้าของ PowerStore คือส่วนหนึ่งของ PowerStore Prime ซึ่งเป็นข้อเสนอใหม่ที่สมบูรณ์แบบ ที่ผสานระบบ PowerStore ที่อัปเดตให้เหมาะกับแผนทางธุรกิจต่างๆ โดยออกแบบมาเพื่อช่วยปกป้องการลงทุนของลูกค้าด้านการจัดเก็บข้อมูลมากขึ้น อีกทั้งช่วยเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้กับพันธมิตรของเดลล์เช่นกัน

 

ปกป้องการลงทุนด้านการจัดเก็บข้อมูลมากขึ้น

PowerStore Prime มอบความยืดหยุ่นให้กับลูกค้ายิ่งขึ้น ช่วยให้ได้รับประโยชน์จากการลงทุนด้านเทคโนโลยีสูงสุดในประเด็นต่อไปนี้

  • รับประกันการลดขนาดข้อมูลในอัตรา 5:1 ลูกค้าสามารถซื้อ PowerStore ได้อย่างมั่นใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและลดการใช้พลังงานพร้อมการรับประกันการลดขนาดข้อมูลที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรม
  • ปรับปรุงระบบให้ทันสมัยได้อย่างต่อเนื่อง บริการ Lifecycle Extension ด้วย Dell ProSupport หรือ ProSupport Plus ช่วยให้เข้าถึงบริการได้ทันทีแบบ 24/7 สามารถอัพเกรดเทคโนโลยีได้อย่างยืดหยุ่น รวมถึงการนำอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลเดิมมาแลกเพื่อรับส่วนลดเมื่อซื้ออุปกรณ์ใหม่(Capacity Trade-ins) และบริการให้คำปรึกษาด้านการจัดเก็บข้อมูลให้กับลูกค้า
  • จ่ายตามการใช้งานจริง (Flexible consumption) ลูกค้าสามารถใช้ PowerStore ผ่านการสมัครเช่าใช้ Dell APEX โดยจ่ายตามการใช้งานจริงเป็นรายเดือน

เพิ่มศักยภาพคู่ค้าเพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าได้ดีขึ้น

PowerStore Prime ยังช่วยให้ขาย PowerStore ได้ง่ายขึ้น ให้ผลตอบแทนมากขึ้น ด้วยการต่อยอดกลยุทธ์ที่เดลล์ให้ความสำคัญกับพันธมิตรเป็นอันดับแรก (partner-first strategy) สำหรับระบบจัดเก็บข้อมูล คู่ค้าสามารถเพิ่มยอดจำหน่าย PowerStore ได้ด้วยการขายผลิตภัณฑ์ร่วมกันเป็นเซ็ต (bundle) ในราคาที่แข่งขันได้ และนำเสนอการใช้งานที่หลากหลายให้กับลูกค้าร่วมกัน โดยสามารถจัดการกับกระบวนการขายได้ง่ายขึ้น เมื่อขายผลิตภัณฑ์ PowerStore และ PowerProtect ร่วมกัน

“การรับประกันการลดขนาดข้อมูลในอัตราใหม่ 5:1 ของ PowerStore และหน่วยเก็บข้อมูล QLC แบบใหม่ คือบทพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของเดลล์ในการช่วยให้ลูกค้าบรรลุเป้าหมายด้านประสิทธิภาพ ในขณะที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายการจัดเก็บข้อมูลที่ล้ำหน้า” จอห์น ลอเคาเซ่น technical solution architect ของ  World Wide Technology กล่าว “ทั้งการรับประกันและการให้ผลตอบแทนแบบใหม่แก่คู่ค้าของเดลล์ คือจุดร่วมที่ทำให้เราและลูกค้าประสบความสำเร็จไปพร้อมกันบนความก้าวหน้าใหม่ของหน่วยเก็บข้อมูลแบบ all-flash”

ปลดปล่อยพลังของ AI เพื่อให้จัดการ IT ได้ง่ายในแบบอัตโนมัติ

เดลล์ เทคโนโลยีส์ ยังคงพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์ Dell APEX อย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในส่วนที่มุ่งเน้นความสำคัญอย่าง AI และมัลติคลาวด์ ทั้งนี้ นวัตกรรมของ Dell APEX ให้ความสามารถด้าน AIOps ชั้นนำ พร้อมช่วยให้บริหารจัดการการจัดเก็บข้อมูล และ Kubernetes ได้ดียิ่งขึ้น

Dell APEX AIOps ซอฟต์แวร์ในรูปแบบบริการ หรือ Software-as-a-Service (SaaS) ที่ช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพให้กับระบบโครงสร้างพื้นฐานและความพร้อมด้านบริการของเดลล์ ด้วยการตรวจสอบและวิเคราะห์แบบ Full Stack และบริหารจัดการเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยขุมพลังของ AI  ซึ่งเป็นการขยายความสามารถของเครื่องมือ AIOps ของเดลล์ได้อย่างโดดเด่น ช่วยให้การดำเนินงานง่ายขึ้น เพิ่มความคล่องตัวของ IT และสามารถควบคุมแอปพลิเคชันและระบบโครงสร้างพื้นฐานได้ดียิ่งขึ้น ด้วยการผสานรวมความสามารถ 3 ด้านไว้ด้วยกัน

  • การสังเกตและตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐาน ช่วยแก้ไขปัญหาโครงสร้างพื้นฐานได้เร็วกว่าวิธีเดิมถึง 10 เท่าผ่านข้อมูลเชิงลึกและคำแนะนำที่ขับเคลื่อนด้วย AI ให้ทั้งความปลอดภัยทางไซเบอร์ และความยั่งยืน ทั้งนี้ Dell APEX AIOps Assistant ที่ขับเคลื่อนด้วย GenAI สามารถตอบสนองได้ในทันที สำหรับคำถามเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานอีกทั้งสามารถให้คำแนะนำในการแก้ไขปัญหาอย่างละเอียด
  • การสังเกตและตรวจสอบแอปพลิเคชัน ช่วยลดระยะเวลาแก้ไขปัญหาของแอปพลิเคชันได้ถึง 70% ด้วยการให้ภาพรวมโครงสร้างการทำงานของแอปพลิเคชัน และการวิเคราะห์อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อรับประกันความพร้อมใช้งานและประสิทธิภาพของแอปพลิเคชัน
  • การจัดการเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพความพร้อมใช้งานของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ด้วยการตรวจจับและแก้ไขเหตุการณ์ด้วย AI  ซึ่งช่วยลดปัญหาระบบโครงสร้างพื้นฐานแบบมัลติคลาวด์จากผู้จำหน่ายหลายรายตามที่ลูกค้ารายงาน ได้มากถึง 93%

Dell APEX Navigator SaaS ขยายความสามารถเพื่อรวมการจัดการ Kubernetes storage และเพิ่มการสนับสนุนบริการ Dell APEX Storage สำหรับ Public Cloud ดังนี้

  • Dell APEX Navigator for Kubernetes พร้อมให้บริการแล้ว ช่วยให้จัดการ Kubernetes storage บน Dell PowerFlex ได้ง่ายขึ้น และเร็วๆ นี้จะรองรับ Dell PowerScale และ Dell APEX Cloud Platform for Red Hat OpenShift ด้วยการนำบริการด้านข้อมูลขั้นสูงต่างๆ เช่น การทำซ้ำข้อมูล การเคลื่อนย้ายแอปพลิเคชัน และการสังเกตการทำงานมาสู่ระบบคอนเทนเนอร์
  • Dell APEX Navigator for Multicloud Storage เพิ่มการรองรับ Dell APEX File Storage for AWS และมีแผนที่จะรองรับ Dell APEX File Storage for Microsoft Azure ต่อไปในปีนี้ ความสามารถนี้ช่วยลดความซับซ้อนในการตั้งค่าระบบจัดเก็บข้อมูล การนำไปใช้งาน ตลอดจนการตรวจสอบข้ามระบบจัดเก็บข้อมูลของเดลล์ทั้งบน On-premise และพับลิกคลาวด์

ลูกค้าสามารถเริ่มต้นใช้งาน Dell APEX Navigator for Multicloud Storage และ Dell APEX Navigator for Kubernetes ผ่านการทดลองใช้นาน 90 วันโดยไม่ต้องรับความเสี่ยงใดๆ

ความพร้อมในการใช้งาน

  • ซอฟต์แวร์ของ Dell PowerStore ที่ได้รับการปรับเพิ่มประสิทธิภาพ พร้อมให้ใช้งานได้ทั่วโลกแล้วตั้งแต่ปลายเดือนพฤษภาคม
  • Dell PowerStore รุ่น QLC และความสามารถในการอัพเกรดเป็นรุ่นที่สูงขึ้นโดยไม่ต้องย้ายข้อมูล สำหรับลูกค้า Gen 2 จะพร้อมให้ใช้งานได้ทั่วโลกในเดือนกรกฏาคม
  • ความสามารถในการย้ายข้อมูลข้ามมัลติคลาวด์ของ Dell PowerStore จะพร้อมให้ใช้งานได้ทั่วโลกในไตรมาสที่ 2 ของปี 2024
  • Dell APEX Navigator for Multicloud Storage สำหรับ Dell APEX File Storage for AWS เปิดให้บริการในสหรัฐอเมริกาแล้ว
  • การสนับสนุน Dell APEX Navigator for Multicloud Storage สำหรับ Dell APEX File Storage for Microsoft Azure จะพร้อมให้บริการในสหรัฐอเมริกาในช่วงครึ่งหลังของ 2024
  • Dell APEX AIOps Infrastructure Observability and Incident Management เปิดให้บริการแล้วในขณะนี้ ส่วน Application Observability มีแผนเปิดตัวในเดือนตุลาคม 2024
  • Dell APEX Navigator for Kubernetes พร้อมให้บริการสำหรับ PowerFlex แล้วในสหรัฐอเมริกา พร้อมการสนับสนุน Dell APEX Cloud Platform for Red Hat OpenShift Dell PowerScale และมีแผนขยายบริการไปยังภูมิภาคอื่นๆ เพิ่มเติมในช่วงครึ่งหลังของปี 2024

ข้อมูลเพิ่มเติม

เกี่ยวกับเดลล์ เทคโนโลยีส์

เดลล์ เทคโนโลยีส์ ช่วยให้องค์กรธุรกิจและปัจเจกบุคคลสามารถสร้างอนาคตทางดิจิทัล พร้อมทั้งช่วยในการปฏิรูปทั้งรูปแบบการทำงาน การดำเนินชีวิต และการพักผ่อน เดลล์ เทคโนโลยีส์ให้การดูแลสนับสนุนลูกค้าด้วยสายผลิตผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีและการบริการที่กว้างที่สุด และมีความเป็นนวัตกรรมอย่างสูงสุดในยุคของดาต้า


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

บริการที่ปรึกษา เข้าใจอดีต ปกป้องปัจจุบัน มั่นใจถึงความพร้อมในอนาคต จากชไนเดอร์ อิเล็คทริค

เมื่อพนักงานผู้ดูแลระบบเป็นระยะเวลานานในโรงงานอุตสาหกรรม หรืออาคารขนาดใหญ่ลาออกหรือเกษียณอายุ ในหลายกรณีพบว่าไม่สามารถหาคนมาแทนที่ได้ เนื่องจากพวกเขาคือบุคลากรสำคัญด้านการซ่อมบำรุง ซึ่งมีความรู้ในการปฏิบัติงาน ณ สถานที่นั้นๆอย่างละเอียดและเฉพาะเจาะจง ส่งผลให้เป็นการยากหากจะหาผู้มีประสบการณ์ที่ใกล้เคียงกัน และทำงานทดแทนกันได้ทันที

นอกจากนี้ ด้วยภาวะความกดดันภายในองค์กรที่ต้องลดค่าใช้จ่ายดำเนินการ (OpEx) การบำรุงรักษาบางอย่าง จึงได้แต่มอบหมายให้กับบริษัททั่วไปที่มีความรู้จำกัด ในด้านงานติดตั้งต่างๆ ไปจนถึงงานระบบไฟฟ้า

สำหรับโครงสร้างพื้นฐานทางไฟฟ้า เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงพนักงาน จะทำให้เกิดผลลัพธ์ได้แก่:

  • ดาวน์ไทม์ที่เพิ่มมากขึ้น
  • ปัญหาที่ไม่มีใครสังเกตเห็น หรือ เกิดการวินิจฉัยผิดพลาด
  • ใช้เวลาในการแก้ปัญหามากขึ้น
  • มีความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการทำงานของระบบที่จำกัด
  • ขาดการตรวจสอบย้อนหลัง
  • เพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
  • ประสิทธิภาพลดลง
  • ค่าบำรุงรักษาเพิ่มขึ้น

ในขณะเดียวกัน โครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ก็มีแนวโน้มล้าสมัยอย่างรวดเร็ว

การบริการให้คำปรึกษา สามารถให้มุมมองว่าตอนนี้อยู่ตรงจุดใด ต้องการไปจุดใด และจะไปในจุดนั้นได้อย่างไร โดยจัดลำดับความสำคัญด้วยการแสดงภาพให้เห็น ตามความท้าทาย และปัญหาได้อย่างชัดเจน

การบริการให้คำปรึกษาที่ครอบคลุมของชไนเดอร์ อิเล็คทริค มีความครบวงจร ตั้งแต่การเริ่มต้นด้วยการประเมินการติดตั้งระบบไฟฟ้า ซึ่งการประเมินนี้คล้ายกับการที่แพทย์ตรวจวัดชีพจร เนื่องจากช่วยให้สามารถระบุอาการป่วย จุดวิกฤติ หรือข้อบกพร่อง ที่อาจส่งผลกระทบต่อระบบไฟฟ้าของคุณ การประเมินนี้ทำให้เรามีความเข้าใจที่ถ่องแท้มากขึ้น เกี่ยวกับสภาพและประสิทธิภาพของการติดตั้งระบบไฟฟ้าที่มีอยู่ และแนะนำวิธีแก้ปัญหาเพื่อช่วยปรับปรุงด้านความปลอดภัย รวมถึงประสิทธิภาพ และความน่าเชื่อถือ

ซึ่งอาจรวมถึง single-line diagrams แบบดิจิทัล และ electrical digital twin  ซึ่งเป็นแบบจำลองเสมือนของระบบไฟฟ้าที่ใช้ในการจำลอง วิเคราะห์ และเพิ่มประสิทธิภาพระบบไฟฟ้า โดย electrical digital twin นี้สามารถให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ที่ปรึกษาด้านไฟฟ้าเกี่ยวกับประสิทธิภาพของระบบไฟฟ้าโดยรวม และช่วยให้สามารถระบุจุดที่ต้องปรับปรุงได้ โดยผลที่ได้คือการช่วยลดเวลาในการหยุดทำงาน ตลอดจนการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และลดความเสี่ยงของไฟฟ้าขัดข้องได้

ความปลอดภัยและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ

การขาดการบำรุงรักษา นอกจากจะทำให้การผลิตในโรงงานเสียหาย หรือแม้กระทั่งการหยุดทำงานของระบบ ยังอาจทำให้เกิดปัญหาด้านความปลอดภัยซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ เช่น ชิ้นส่วนที่มีกระแสไฟฟ้า อาจทำให้เสี่ยงต่อการลัดวงจร และไฟไหม้ นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องศึกษาระบบ เพื่อช่วยให้แน่ใจว่าการออกแบบเพื่อป้องกันการลัดวงจรของสินทรัพย์นั้นมีมากเพียงพอ รวมถึงการผนวกการป้องกันที่เหมาะสม แม้กระทั่งการติดฉลากบนสินทรัพย์ และอุปกรณ์ป้องกันเฉพาะบุคคลสำหรับผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งจำเป็นต้องเป็นข้อมูลล่าสุด ดังนั้นการบริการให้คำปรึกษาจะช่วยให้มั่นใจได้ว่า โรงงานและอุปกรณ์ต่างๆ ได้รับการออกแบบอย่างดี และมีการดำเนินการด้านบำรุงรักษาอย่างเหมาะสม ดังนั้นความเชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย ที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค จะช่วยลดอันตรายจากกระบวนการต่างๆ และการสูญเสียในส่วนการผลิตให้เหลือน้อยที่สุด ในขณะเดียวกันก็ทำให้เป็นไปตามข้อกำหนดตามกฎระเบียบทางไฟฟ้าด้วย

ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน

วิธีการทำงานของชไนเดอร์ อิเล็คทริค อยู่บนพื้นฐานของความร่วมมือ และการแบ่งปันองค์ความรู้ เพื่อช่วยให้การปรับปรุงและยกระดับประสิทธิภาพ ในการปลดล็อกการลดต้นทุนการดำเนินงาน และการยกระดับ เพื่อไปสู่เป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก  อาทิ จากประสบการณ์เป็นบทพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ช่วยให้ประหยัดพลังงานได้สูงสุดถึง 15 เปอร์เซ็นต์  จากการบริหารจัดการคุณภาพไฟฟ้าที่เหมาะสม สามารถร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกระดับภายในองค์กร เพื่อส่งมอบผลลัพธ์ทางธุรกิจ หรือทำงานร่วมกับทีมงานที่ไซต์งานเพื่อระบุ ทั้งการออกแบบ และนำกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพมาใช้งาน

การจัดการวงจรชีวิต: รากฐานในการรับมือกับความท้าทายในอนาคต

การบริหารจัดการสินทรัพย์เป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจ ดังนั้นด้วยบริการดิจิทัลในการตรวจสอบสินทรัพย์ ทำให้สามารถช่วยตรวจสอบสินทรัพย์ของโรงงาน และสนับสนุนการตัดสินใจทางธุรกิจ ด้วยการขับเคลื่อนด้วยข้อมูล รวมถึงการให้บริการในการตรวจสอบ เพื่อช่วยการบริหารจัดการกลุ่มสินทรัพย์ทางด้านไฟฟ้าทั้งหมด ตลอดจนบริการการจัดการเชิงพยากรณ์ เป็นการช่วยคาดการณ์ความเสี่ยง และรับประกันเครือข่ายพลังงานให้มีความยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ความเชี่ยวชาญของเราคือการให้คำปรึกษา

ผู้เชี่ยวชาญด้านการให้คำปรึกษาของชไนเดอร์ อิเล็คทริค สามารถกำหนดได้อย่างชัดเจนว่าสถานะอยู่ที่ไหน ต้องไปที่ไหน และจะไปที่นั่นได้อย่างไร

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เป็นผู้เชี่ยวชาญ และเป็นผู้นำระดับโลกด้านโซลูชั่นการบริหารจัดการพลังงาน และโซลูชั่นดิจิทัลของระบบอัตโนมัติ ที่มุ่งไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพ และความยั่งยืน โดยมีการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีด้านพลังงาน ระบบอัตโนมัติ ซอฟต์แวร์ และบริการที่ล้ำสมัย ทุกองค์กรทั่วโลกสามารถไว้วางใจได้ในความผู้เชี่ยวชาญ และการเป็นที่ปรึกษาที่เชื่อถือได้ ในการนำความรู้ และความเชี่ยวชาญอันมหาศาลนี้มาจัดการกับความท้าทายขององค์กรลูกค้าเพื่อช่วยในการตัดสินใจ โดยอาศัยข้อมูลทางดิจิทัล

ความท้าทายที่องค์กรกำลังเผชิญหน้างานคืออะไร? โซลูชั่นบริการให้คำปรึกษาช่วยให้ระบบไฟฟ้ามีความน่าเชื่อถือ และมีความปลอดภัย ตลอดจนปรับปรุงให้มีความเหมาะสมกับการใช้งานในปัจจุบันมากที่สุด ด้วยการรายงานเกี่ยวกับข้อมูลสำคัญทั้งหมดที่ครบถ้วน ทำให้องค์กรสามารถเปลี่ยนความเสี่ยงให้เป็นผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ดีขึ้นได้ด้วยสิ่งต่อไปนี้:

  • เพิ่มประสิทธิภาพการติดตั้ง
  • แนวทางปฏิบัติในการบำรุงรักษาที่มั่นคง
  • แผนการปรับให้เหมาะสมสำหรับการปรับปรุงให้ทันสมัย
  • การลงทุน OpEx และ CapEx ที่คาดการณ์ไว้
  • แผนการตรวจสอบดิจิทัลขั้นสูง
  • ความพร้อมและความยืดหยุ่นสำหรับอนาคต

โซลูชั่นมาพร้อมคำแนะนำที่นำไปปฏิบัติได้ทั้งหมด โดยจัดทำผ่าน mySchneider ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการทำงานร่วมกัน เพื่อการจัดลำดับความสำคัญ การติดตามผล มาพร้อมการใช้งานที่ง่าย คลิกที่นี่เพื่อเริ่มต้นการใช้งาน


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ซิสโก้เผยโฉมคลัสเตอร์ Nexus HyperFabric AI โซลูชั่นโครงสร้างพื้นฐาน
ดาต้าเซ็นเตอร์ที่เรียบง่าย พร้อมเทคโนโลยีจาก NVIDIA สำหรับ Generative AI

ซิสโก้ (NASDAQ: CSCO) ผู้นำด้านเทคโนโลยีระบบรักษาความปลอดภัยและเครือข่าย ได้ประกาศเปิดตัวโซลูชั่นคลัสเตอร์ AI ที่ก้าวล้ำ พร้อมด้วยเทคโนโลยีจาก NVIDIA สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ยุคใหม่ที่จะพลิกโฉมการสร้าง การจัดการ และการปรับแต่งโครงสร้างพื้นฐานและซอฟต์แวร์

ภายใต้วิสัยทัศน์ Cisco Networking Cloud ซึ่งมุ่งที่จะลดความซับซ้อนของเครือข่าย ซิสโก้ได้นำเสนอโซลูชั่นโครงสร้างพื้นฐานแบบครบวงจรที่พร้อมใช้งานในระดับองค์กร เพื่อรองรับเวิร์กโหลด Generative AI  โดยโซลูชั่นคลัสเตอร์ Cisco Nexus HyperFabric AI ผสานรวมเครือข่ายแบบ AI-native ของซิสโก้ เข้ากับระบบประมวลผลที่มีการเร่งความเร็วและซอฟต์แวร์ AI ของ NVIDIA และที่เก็บข้อมูล VAST ที่แข็งแกร่ง  โซลูชั่นดังกล่าวได้รับการออกแบบเป็นพิเศษเพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถโฟกัสไปที่การสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วย AI รวมถึงโอกาสใหม่ๆ ในการสร้างรายได้ โดยไม่ต้องวุ่นวายกับการจัดการระบบไอที

รายงานแนวโน้มด้านระบบเครือข่ายทั่วโลก (Global Networking Trends Report) ฉบับล่าสุดของซิสโก้ ระบุว่า ในช่วงสองปีข้างหน้า 60% ของผู้บริหารและบุคลากรด้านไอทีคาดว่าจะมีการปรับใช้ระบบเครือข่ายอัตโนมัติเชิงคาดการณ์ที่รองรับ AI ในทุกโดเมน เพื่อให้สามารถจัดการ NetOps ได้ดียิ่งขึ้น  นอกจากนี้ 75% มีแผนที่จะปรับใช้เครื่องมือที่รองรับการตรวจสอบแบบครบวงจรผ่านคอนโซลหนึ่งเดียว ครอบคลุมโดเมนเครือข่ายที่แตกต่างกัน เช่น เครือข่ายแคมปัสและสาขา, WAN, ดาต้าเซ็นเตอร์, อินเทอร์เน็ต, ระบบ คลาวด์สาธารณะ และเครือข่ายอุตสาหกรรม

โจนาธาน เดวิดสัน รองประธานบริหารและผู้จัดการทั่วไปของ Cisco Networking กล่าวว่า “ถึงแม้ว่าอนาคตของ AI จะมีความชัดเจน แต่หนทางข้างหน้าสำหรับหลายๆ องค์กรที่เพิ่งเริ่มต้นการปรับใช้เทคโนโลยีกลับไม่เป็นเช่นนั้น กล่าวคือ ลูกค้าส่วนใหญ่มักจะต้องเผชิญกับปัญหาท้าทายทางด้านการเงินและการดำเนินงานสำหรับการเริ่มต้นใช้งาน AI Stack  ซิสโก้มุ่งมั่นที่จะปรับปรุงการติดตั้งใช้งานและการจัดการโครงสร้างพื้นฐาน AI ให้สะดวกง่ายดายมากขึ้น โดยเราได้ร่วมมือกับ NVIDIA เพื่อนำเสนอโซลูชั่น AI Stack ที่ปรับใช้ได้อย่างง่ายดายและควบคุมผ่านระบบคลาวด์  โซลูชั่นที่ว่านี้สร้างขึ้นภายใต้วิสัยทัศน์แพลตฟอร์ม Cisco Networking Cloud ของเรา ซึ่งมุ่งเน้นการทำงานแบบอัตโนมัติและเรียบง่าย”

เควิน ไดเออร์ลิง รองประธานอาวุโสฝ่ายระบบเครือข่ายของ NVIDIA กล่าวว่า “Generative AI จำเป็นต้องใช้โครงสร้างพื้นฐานและซอฟต์แวร์ที่ออกแบบและสร้างขึ้นเพื่อการนี้โดยเฉพาะ เพื่อให้องค์กรต่างๆ สามารถเปลี่ยนข้อมูลที่มีอยู่ให้กลายเป็นเชื้อเพลิงสำหรับการพลิกโฉมธุรกิจได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ  NVIDIA และซิสโก้ร่วมมือกันเพื่อส่งมอบแพลตฟอร์ม AI และระบบควบคุมที่พร้อมใช้งานสำหรับองค์กร เพื่อเพิ่มความสะดวกในการติดตั้งใช้งานระบบประมวลผลแบบเร่งความเร็ว ระบบเครือข่าย และซอฟต์แวร์ที่จำเป็นสำหรับเวิร์กโหลด Generative AI”

ซิสโก้ได้ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการช่วยให้ลูกค้าสามารถปรับใช้โครงสร้างพื้นฐาน AI ได้อย่างรวดเร็ว  นอกจากนี้ ซิสโก้ยังส่งมอบเครื่องมือที่เหมาะสมให้กับลูกค้าเพื่อสร้างเครือข่าย AI-native ที่ใช้งานง่าย สามารถคาดการณ์ความล้มเหลวในการทำงาน ตลอดจนวินิจฉัยและแก้ไขปัญหาได้อย่างฉับไว

วิธีการทำงานของ Cisco Nexus HyperFabric AI Cluster

โซลูชั่นนี้รองรับการออกแบบ ปรับใช้ ตรวจสอบ และรับรองพ็อด AI และเวิร์กโหลดของดาต้าเซ็นเตอร์อย่างครบวงจร โดยจะแนะนำผู้ใช้ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ ไปจนถึงการติดตั้งใช้งานที่ผ่านการตรวจสอบยืนยัน ไปจนถึงการตรวจสอบดูแลและรับรองโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่พร้อมใช้งานระดับองค์กร  ด้วยความสามารถในการจัดการระบบคลาวด์ ลูกค้าจะสามารถติดตั้งและจัดการแฟบริคขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมทั่วทั้งดาต้าเซ็นเตอร์ ระบบโคโลเคชั่น (Colocation) และไซต์ Edge ได้อย่างง่ายดาย

โซลูชั่นคลัสเตอร์ Cisco Nexus HyperFabric AI นำเสนอการทำงานแบบอัตโนมัติที่ควบคุมจัดการผ่านระบบคลาวด์ ครอบคลุมระบบประมวลผลและเครือข่ายแบบครบวงจรที่ผสานรวมความเชี่ยวชาญด้านสวิตช์อีเธอร์เน็ตของซิสโก้บน Cisco Silicon One โดยบูรณาการเข้ากับระบบประมวลผลแบบเร่งความเร็วของ NVIDIA และซอฟต์แวร์ NVIDIA AI Enterprise รวมไปถึงแพลตฟอร์มการจัดเก็บข้อมูลของ VAST  โซลูชั่นดังกล่าวประกอบด้วย:

  • ความสามารถในการจัดการระบบคลาวด์ของซิสโก้ ซึ่งจะช่วยลดความยุ่งยากซับซ้อนของการดำเนินงานด้านไอทีในทุกขั้นตอนของเวิร์กโฟลว์
  • สวิตช์ Cisco Nexus 6000 series สำหรับ Spine และ Leaf ซึ่งให้ประสิทธิภาพของแฟบริคอีเธอร์เน็ต 400G และ 800G
  • โมดูล QSFP-DD ในตระกูล Cisco Optics ซึ่งช่วยเพิ่มทางเลือกให้แก่ลูกค้าและให้ความหนาแน่นสูงมาก
  • ซอฟต์แวร์ NVIDIA AI Enterprise ซึ่งช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการพัฒนาและปรับใช้เวิร์กโหลด Generative AI ในระดับเทียบเท่าการใช้งานจริง
  • ไมโครเซอร์วิสการอนุมาน NVIDIA NIM ที่เพิ่มความรวดเร็วในการปรับใช้โมเดลพื้นฐาน พร้อมทั้งรับประกันความปลอดภัยของข้อมูล และสามารถใช้งานร่วมกับ NVIDIA AI Enterprise
  • NVIDIA Tensor Core GPU ที่เริ่มต้นด้วย NVIDIA H200 NVL ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษเพื่อเพิ่มพลังให้กับเวิร์กโหลด Generative AI ด้วยสมรรถนะที่เหนือชั้นและความสามารถของหน่วยความจำที่เหนือกว่า
  • หน่วยประมวลผลข้อมูล NVIDIA BlueField-3 DPU และ BlueField-3 SuperNIC สำหรับการเร่งความเร็วของเวิร์กโหลดด้านเครือข่ายประมวลผล AI การเข้าถึงข้อมูล และการรักษาความปลอดภัย
  • ดีไซน์ต้นแบบระดับองค์กรสำหรับ AI ที่สร้างขึ้นบน NVIDIA MGX ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมเซิร์ฟเวอร์แบบแยกส่วนที่มีความยืดหยุ่นสูง
  • VAST Data Platform ซึ่งให้พื้นที่จัดเก็บข้อมูลแบบครบวงจร ฐานข้อมูล และเอนจิ้นฟังก์ชั่นที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลซึ่งสร้างขึ้นเป็นพิเศษสำหรับ AI

การวางจำหน่าย

ลูกค้าที่ผ่านการคัดเลือกอาจมีสิทธิ์ทดลองใช้โซลูชั่น AI นี้ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 และคาดว่าหลังจากนั้นไม่นานจะเริ่มต้นวางจำหน่าย

แนะนำทักษะด้าน AI สำหรับพาร์ทเนอร์และผู้เชี่ยวชาญด้านไอที
Cisco Learning and Certifications ได้เปิดตัวใบรับรองใหม่สำหรับความเชี่ยวชาญด้าน CCDE AI Infrastructure พร้อมหลักสูตรการฝึกอบรมที่เปิดสอนแล้วที่ Cisco U.  โดยหลักสูตรดังกล่าวจะช่วยให้วิศวกรเครือข่ายและวิศวกรออกแบบเครือข่ายระดับผู้เชี่ยวชาญได้รับทักษะความชำนาญในการแปลข้อกำหนดทางธุรกิจและเวิร์กโหลด AI ไปสู่แนวทางปฏิบัติทางเทคนิคที่ยั่งยืนสำหรับการออกแบบโครงสร้างพื้นฐาน  นอกจากนั้น ซิสโก้ยังได้เปิดตัวหลักสูตรแรกของการฝึกอบรมความเชี่ยวชาญพิเศษด้าน AI สำหรับพาร์ทเนอร์จาก Cisco Black Belt เส้นทางการเรียนรู้ดังกล่าวช่วยให้พาร์ทเนอร์ของซิสโก้มีความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นสำหรับการสร้างแนวทางปฏิบัติด้าน AI และเร่งการปรับใช้เทคโนโลยีให้กับลูกค้า

ความคิดเห็นสนับสนุน
“โซลูชั่นคลัสเตอร์ Nexus HyperFabric AI มีความแตกต่างเหนือคู่แข่ง โดยใช้ประโยชน์จากความแข็งแกร่งของกลุ่มผลิตภัณฑ์โดยรวมของซิสโก้ รูปแบบการสมัครสมาชิกที่มีการจัดการผ่านระบบคลาวด์ และความร่วมมือระหว่างซิสโก้และ NVIDIA รวมไปถึงแง่มุมอื่นๆ ซึ่งจะช่วยให้สามารถแย่งชิงส่วนแบ่งตลาดในส่วนของโซลูชั่น Enterprise AI Datacenter Switching และ Software Ops”
– วีเจย์ ภควัท รองประธานฝ่ายวิจัยของ IDC

“โมเดล Generative AI จำเป็นต้องใช้การเข้าถึงข้อมูลจำนวนมหาศาลอย่างรวดเร็ว โดยอาศัยพลังประมวลผลที่เหนือชั้นและโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายประสิทธิภาพสูง  ด้วยโซลูชั่นคลัสเตอร์ Cisco Nexus HyperFabric AI เราจะสามารถช่วยให้องค์กรต่างๆ สร้างดาต้าเซ็นเตอร์ AI โดยใช้ระบบประมวลผลแบบเร่งความเร็วและซอฟต์แวร์ AI ของ NVIDIA รวมไปถึงระบบเครือข่ายของซิสโก้ และ VAST Data Platform ซึ่งจะรองรับการตรวจสอบระบบประมวลผล เครือข่าย สตอเรจ และการจัดการข้อมูลอย่างครบวงจร ซึ่งทั้งหมดนี้จะช่วยให้องค์กรสามารถสร้างและปรับขนาดการดำเนินงานด้าน AI ได้อย่างราบรื่น”
– เรเน็น ฮัลลัก ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง VAST Data

“โซลูชั่นการประมวลผลและเครือข่ายของซิสโก้มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนงานวิจัยและพัฒนาของ PTC รวมไปถึงประสิทธิภาพของดาต้าเซ็นเตอร์ การเชื่อมต่อ และซอฟต์แวร์ Servigistics ของเรา เพื่อส่งมอบความสามารถของซัพพลายเชนด้านบริการที่ขับเคลื่อนด้วย AI ให้แก่ลูกค้าของเราในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ช่วยให้ลูกค้าสามารถประมาณการ คาดการณ์ ปรับแต่ง และปรับปรุงประสิทธิภาพของซัพพลายเชนด้านบริการได้ดียิ่งขึ้น  โซลูชั่นโครงสร้างพื้นฐาน AI ใหม่ล่าสุดของซิสโก้ พร้อมเทคโนโลยีจาก NVIDIA ช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถให้แก่ PTC ในการปรับขนาดโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซ็นเตอร์ได้อย่างง่ายดายและมีประสิทธิภาพ ปรับปรุงการดำเนินงานและผลประกอบการ และช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายด้านการพัฒนาที่ยั่งยืน”
– ไมเคิล เบลค รองประธานฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศของ PTC

“อีเธอร์เน็ตครอบคลุมขอบเขตที่กว้างขวางที่สุดในฐานลูกค้าของเรา และความร่วมมือระหว่างซิสโก้และ NVIDIA รวมถึงโซลูชั่นที่เป็นผลงานการพัฒนาร่วมกัน จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถของเราในการส่งมอบโซลูชั่น AI ให้แก่ลูกค้า  เทคโนโลยีของทั้งซิสโก้และเ NVIDIA เป็นองค์ประกอบสำคัญในห้องปฏิบัติการ AI Proving Ground ของ WWT ซึ่งเป็นสถานที่ที่ช่วยให้ลูกค้าสามารถเลือกและปรับใช้สถาปัตยกรรม AI เพื่อเปลี่ยนข้อมูลที่มีอยู่ให้กลายเป็นข้อมูลเชิงลึกและการดำเนินการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น”
– นีล แอนเดอร์สัน รองประธานฝ่ายคลาวด์ โครงสร้างพื้นฐาน และโซลูชั่น AI ของ WWT

ข้อมูลเพิ่มเติม

เกี่ยวกับ ซิสโก้ (Cisco)

Cisco (NASDAQ: CSCO) เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลกที่เชื่อมต่อทุกสิ่งอย่างปลอดภัยเพื่อให้ทุกสิ่งเป็นไปได้ เป้าหมายของซิสโก้คือขับเคลื่อนอนาคตสำหรับทุกคนโดยช่วยลูกค้าคิดใหม่ (reimagine) เกี่ยวกับแอปพลิเคชัน ขับเคลื่อนการทำงานแบบไฮบริด รักษาความปลอดภัยให้กับองค์กร ทรานส์ฟอร์มโครงสร้างพื้นฐาน และบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เอเซอร์เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่กลุ่ม Vero เลเซอร์โปรเจคเตอร์สำหรับโฮมเอนเตอร์เทนเมนต์

ไทเป (17 มิถุนายน 2567) เอเซอร์ เปิดตัวโปรเจคเตอร์ Vero รุ่นใหม่ 2 รุ่น ด้วยการออกแบบที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ยกระดับประสบการณ์ความบันเทิงภายในบ้าน ด้วยความละเอียดระดับ 4K UHD รองรับเทคโนโลยี HDR10 ให้ภาพสวยงามคมชัด ความสว่างที่ 4,000 ANSI lumens จากหลอดภาพ laser/LED hybrid. Acer Vero HL6810ATV มาพร้อมกับ Android TV dongle ที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของเอเซอร์ ช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงแอปพลิเคชันและฟีเจอร์ต่างๆ สำหรับสมาร์ทโฮมได้อย่างสะดวกสบายเพียงปลายนิ้วสัมผัส

ภายใต้แนวคิดที่มุ่งเน้นความยั่งยืนของกลุ่มผลิตภัณฑ์ Vero เลเซอร์โปรเจคเตอร์รุ่นใหม่ได้รับการออกแบบมาให้ประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้นโดยยังคงประสิทธิภาพการทำงาน ให้ความสว่างยาวนานถึง 30,000 ชั่วโมง หลอดภาพไฮบริดปราศจากสารปรอท 100% รวมถึงการใช้พลาสติก PCR มาเป็นส่วนประกอบของตัวเครื่อง และบรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากกระดาษรีไซเคิล

Acer Vero HL68 Series: ยกระดับประสบการณ์การรับชมภาพยนตร์และการเล่นเกมความคมชัดระดับ 4K 

Acer Vero HL6810 และ Acer Vero HL6810ATV สมาร์ทโปรเจคเตอร์ตอบโจทย์ทุกความบันเทิงความละเอียด 4K Ultra HD (3820×2160) และความสว่าง 4,000 ANSI lumens เทคโนโลยีหลอดภาพ Laser & LED Hybrid ให้ภาพคมชัดและสีสันสดใสเมื่อสตรีมหรือเล่นเกมบนหน้าจอขนาดใหญ่ แม้อยู่ในที่ที่มีแสงสว่างมาก รายละเอียดชัดเจนแม้ในฉากที่มืดที่สุดด้วยอัตราส่วนความคมชัด 50,000:1 แสดงสีได้แม่นยำตามมาตรฐาน Rec. 709 ถึง 105% ทำให้ภาพคมชัด นอกจากนี้ยังรองรับ HDR10/HLG แสดงผลสีสันสดใส สมจริง ครอบคลุมช่วงสีที่กว้างขึ้น พร้อมความแม่นยำของความสว่างที่กว้างขึ้นผ่านโหมดการแสดงผล 4 โหมดที่รองรับคอนเทนต์หลากหลากประเภท โหมดฟุตบอลที่ออกแบบมาเฉพาะจาก Acer ช่วยให้ภาพที่แสดงบนหน้าจอขนาดใหญ่ มีความสดใส สมจริง เหมาะสำหรับการรับชมกีฬาที่ให้รู้สึกราวกับอยู่ในสนามจริง

เพิ่มเติมประสบการณ์ความบันเทิงด้วย Android TV

Vero HL6810ATV มาพร้อมกับฟีเจอร์ Android TV dongle ง่ายต่อการติดตั้งโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์หรือสายเคเบิลเพิ่มเติม ช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงความบันเทิงและแอปฯ สตรีมมิ่งที่ต้องการ เช่น Netflix และ Youtube ได้โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอก ควบคุมโปรเจคเตอร์ได้อย่างสะดวกสบายด้วยคำสั่งเสียงผ่านรีโมทหรือสมาร์ทโฟน

Vero HL6810ATV รองรับความละเอียด 4K UHD มอบประสบการณ์การรับชมคอนเทนต์ที่ชื่นชอบด้วยภาพคมชัด สมจริงระดับ 4K. เลนส์ซูม 1.3X เพิ่มความยืดหยุ่นในการปรับและแสดงภาพในพื้นที่ ที่แตกต่างกัน และทำงานร่วมกับ Keystone และเทคโนโลยี 4 Corner Correction ช่วยปรับภาพให้ได้สัดส่วนที่สมบูรณ์แบบ. โปรเจคเตอร์รุ่นนี้ได้รับการรับรองมาตรฐานการกันน้ำและฝุ่น IP5X. ช่วยลดผลกระทบจากแสงสีฟ้าต่อดวงตาด้วยเทคโนโลยี Acer BlueLight Shield. เชื่อมต่อกับเครื่องเสียงด้วยพอร์ต HDMI 2.0 (Audio Return) รองรับ Blu-ray 3D สร้างประสบการณ์ความบันเทิงแบบ 3 มิติ สมจริงราวกับอยู่ในโรงภาพยนตร์

เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

โปรเจคเตอร์ Acer Vero HL68 Series มาพร้อมกับหลอดภาพแบบ Laser/LED ที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยประหยัดพลังงานสูงสุดถึง 48% เมื่อเทียบกับโปรเจคเตอร์แบบหลอดภาพทั่วไป. นอกเหนือจากการช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมยังช่วยยืดอายุการใช้งานและลดต้นทุน ด้วยหลอดภาพที่มีอายุการใช้งานยาวนานถึง 30,000 ชั่วโมง โหมดประหยัดพลังงานและฟีเจอร์เปิด-ปิดเครื่องทันที ช่วยลดการใช้พลังงานในขณะใช้งานโหมดต่างๆ หรือไม่ได้ใช้งาน หลอดภาพของโปรเจคเตอร์ Acer HL68 Series ปลอดสารปรอท 100% ตัวเครื่องผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล (PCR) และบรรจุภัณฑ์ผลิตจากกระดาษรีไซเคิลได้ทั้งหมด ช่วยลดการสร้างมลภาวะ

ราคาและการจำหน่าย

Acer Vero HL6810ATV ในทวีปยุโรปตะวันออกกลางและแอฟริกา วางจำหน่ายในเดือนมิถุนายน ราคาเริ่มต้นที่ 1,699 EUR.

Acer Vero HL6810 ในทวีปยุโรปตะวันออกกลางและแอฟริกา วางจำหน่ายในเดือนสิงหาคม ราคาเริ่มต้นที่ 1,599 EUR.

รายละเอียดสเปก ราคา และการวางจำหน่ายอาจแตกต่างกันตามภูมิภาค. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการวางจำหน่าย ข้อมูลจำเพาะของผลิตภัณฑ์ และราคาได้ที่ตัวแทนจำหน่ายใกล้คุณ หรือที่ www.acer.com 

เข้าชม Acer’s Media Center สำหรับภาพผลิตภัณฑ์ สเปคและข้อมูลต่างๆ หรือ Acer Press Room เพื่อติดตามข่าวสารทั้งหมดจากเอเซอร์


Exit mobile version