Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

เวลาร์ (Waylar) บุกตลาดครึ่งปีหลัง ชูจุดขาย Tech Company ส่งแอพพลิเคชั่น WAYLAR WORK สร้างความแตกต่างด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล

เวลาร์ คอร์ปอเรชั่น (WAYLAR) บริษัทนวัตกรรมเทคโนโลยีของคนไทยแบบ 100% ซึ่งมีความโดดเด่นในด้านการการพัฒนาระบบจัดเก็บข้อมูลแบบเรียลไทม์ด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี IoT (Internet of Thing) พร้อมตอกย้ำครึ่งปีหลังด้วยการชูจุดขายความเป็น Tech Company ในเรื่องการพัฒนาแอพพลิเคชั่นที่จะช่วยบริหารงานจัดการงานขนส่งและโลจิสติกส์ แบบเรียลไทม์ เพื่อตอบรับกับการขยายตัวทางธุรกิจและการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วในยุคปัจจุบัน

นายพันชนะ ตันติพิสุทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวลาร์ คอร์ปอเรชั่น (WAYLAR)  จำกัด ได้เปิดเผยว่าหลังจากในครึ่งปีที่ผ่านมาที่ทางบริษัทได้มีการทำการตลาดในเรื่องของการพัฒนา IoT Platform (Internet of Things) และผลักดันเทคโนโลยีการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ให้เข้ามาเป็นตัวช่วยสำคัญในการสนับสนุนภาคธุรกิจ และภาคอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากและในครึ่งปีหลังนี้บริษัทจึงอยากตอกย้ำในเรื่องของความเชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีในด้านนี้ เราจึงอยากสร้างความชัดเจนในเรื่องของความเป็น Tech Company ของคนไทยให้มากขึ้นด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ครึ่งปีต่อจากนี้เราจะโฟกัสในเรื่องการนำแอพพลิเคชั่นของเวลาร์ คอร์ปอเรชั่น (WAYLAR) ที่มีอยู่ในปัจจุบัน โดยการพัฒนามาจากการฟังเสียงของลูกค้า (VOC) เพื่อลดกระบวนการทำงานที่ซ้ำซ้อนและนำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารงานทรัพยากรบุคคลและรถประเภทต่างๆ ในห่วงโซ่ซัพพลายเชนของธุรกิจ ซึ่งแอพพลิเคชั่นตัวนี้ของเวลาร์ คอร์ปอเรชั่น (WAYLAR) จะช่วยในเรื่องของการพัฒนาระบบการบริหารจัดการทรัพยากรบุคคลภายใต้ชื่อ WAYLAR WORK” โดยความโดดเด่นของแอพพลิเคชั่นตัวนี้ถือว่ามีความน่าสนใจมาก เพราะจะสามารถนำมาช่วยในเรื่องของการพัฒนาบุคลากรในองค์กรได้ดีขึ้น

คุณสมบัติที่โดดเด่นของ WAYLAR WORK คือสามารถเก็บข้อมูลเชิงลึกได้แบบเรียลไทม์ในรูปแบบออนไลน์ ดิจิทัล ที่สามารถตรวจสอบการเข้า-ออกของพนักงานในการทำงานได้ โดยมี Feature เด่น อาทิ การระบุสถานที่พร้อมกับแสดงสถานะการเข้างานแบบเรียลไทม์ ช่วยลดขั้นตอนความยุ่งยากในการจัดการเก็บข้อมูล และ ประมวลผลเป็น รายงาน ตามความต้องการของลูกค้าในแต่ละธุรกิจได้อย่างครบถ้วน

อีกทั้งในเรื่องของการจัดการทางด้านการเงินของพนักงาน พนักงานสามารถทำเรื่องการเบิกจ่ายได้โดยทันทีผ่านระบบออนไลน์ ไม่จำเป็นต้องมีการดำเนินการส่งเอกสารมาที่สำนักงานใหญ่ซึ่งถือว่าเป็นการช่วยในเรื่องของการประหยัดเวลาการทำงานอีกด้วย ซึ่งเราถือว่าแอพพลิเคชั่นตัวนี้ที่เราพัฒนาขึ้นมาจะสามารถทำให้เราต่อยอดในเรื่องของการทำงานของพนักงานให้มีประสิทธิภาพได้มากยิ่งขึ้นอีกทั้งยังช่วยประหยัดเวลาและมีความแม่นยำในการให้บริการกับฝ่ายลูกค้าได้ดียิ่งขึ้นไปด้วย

สำหรับแอพพลิเคชั่น WAYLAR WORK” ที่กล่าวมาในข้างต้นจะเห็นว่าตัวแอพพลิเคชั่นเอง จะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการนำมาต่อยอดในการพัฒนาธุรกิจ เพราะทั้งหมดนี้จะอยู่ในรูปแบบของการทำงานแบบเรียลไทม์ ในลักษณะของออนไลน์ ดิจิทัล ซึ่งจะช่วยในแง่ของการพัฒนาธุรกิจให้มีความรวดเร็วและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้สูงมากขึ้น โดยจะส่งผลต่อยอดขายและรายได้ของบริษัทที่จะทำให้เติบโตได้มากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ เวลาร์ (WAYLAR) พร้อมที่จะให้บริการสำหรับพันธมิตรทางธุรกิจของเราโดยเราจะติดตั้ง แอพพลิเคชั่นตัวนี้ให้เพื่อการทำงานที่สอดคล้องกัน และมีความรวดเร็ว เพื่อส่งเสริมให้พันธมิตรที่ร่วมทำธุรกิจกับเราจะได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ ระบบนิเวศธุรกิจของเวลาร์ ซึ่งมีความสมบูรณ์และครอบคลุมในทุกด้านที่จำเป็นของผู้ประกอบการขนส่ง ซึ่งผสานเข้ากับจุดเด่นของเราคือนวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อการบริหารและเชื่อมโยงรถ ทรัพยากรคน และกระบวนการทำงานที่มีการบูรณาการอย่างไร้รอยต่อ

ซึ่งเราเชื่อว่าต่อจากนี้ความแข็งแกร่งของเราในด้าน Tech Company นับต่อไปจากนี้จะสามารถทำให้เวลาร์ (Waylar) มีความโดดเด่นในด้าน IoT (Internet of Thing) ที่บริหารโดยคนไทยแบบ 100% พร้อมทั้งมุ่งสู่การเป็นศูนย์รวมและเป็นผู้นำในการพัฒนาแพลตฟอร์มสนับสนุนธุรกิจมากที่สุด ผ่านการประยุกต์การใช้งานระบบ IoT เชื่อมโยงอย่างไร้ขอบเขตระหว่าง “คน” และ “ทุกสิ่งรอบตัวเข้าด้วยกันให้ทำงานได้อย่างราบรื่น เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด”


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

Shamir จับมือ KT OPTIC เปิดตัวเลนส์แว่นตาหลากสี PhotoGlamour™ ตอบโจทย์ทุกสไตล์แฟชั่นครั้งแรกในไทย

Shamir ( ชาเมียร์ ) ผู้นำระดับโลกในด้านเทคโนโลยีการผลิตเลนส์สายตาที่มีประสิทธิภาพสูง จับมือ KT Optic ( เคที ออพติค ) ประกาศเปิดตัวเลนส์ PhotoGlamour™ ครั้งแรกในประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อให้บริการเลนส์สายตาที่สามารถดูแลสายตาจากอุปกรณ์ดิจิทัลได้ดี โดดเด่นด้วย Transitions® Light Intelligent Lenses™ เลนส์เปลี่ยนสีที่ปรับตามแสงโดยอัตโนมัติ มีความสวยงามและทันสมัย เหมาะกับทุกไลฟ์สไตล์ คงความคมชัดใส่สบายตาในทุกกิจกรรมไม่ว่าจะในร่มหรือกลางแจ้ง ช่วยให้ทุกคนสนุกกับการปรับเปลี่ยนลุคได้ไม่ซ้ำใคร และเพลิดเพลินไปกับเลนส์สีสันสวยงาม 16 เฉดสี ที่ ศูนย์แว่นตา KT Optic เมกาบางนา

คุณนิซาน โรเท็ม CEO ของบริษัท ชาเมียร์เลนส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดแว่นตาในประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างมาก โดยคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดจะสูงถึง 536.80 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2024 ซึ่งสะท้อนถึงความต้องการแว่นตาที่เพิ่มขึ้นทั่วประเทศ อัตราการเติบโตต่อปี (CAGR) คาดว่าจะอยู่ที่ 2.50% จากปี 2024-2029 แว่นกันแดดมีส่วนแบ่งที่ใหญ่ที่สุด โดยคาดว่าจะมีมูลค่าตลาดถึง 184.60 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2024 นอกเหนือจากนั้น จะเป็นส่วนของเลนส์แว่นตา กรอบแว่นตา และคอนแทคเลนส์ รวมถึงกลุ่มอื่นๆ ด้วย

จากนวัตกรรมและแนวโน้มในตลาดแว่นตาของประเทศไทยที่กำลังเติบโตอย่างมหาศาล โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มองหาแว่นตาที่ทันสมัยและมีสไตล์เพิ่มขึ้นอย่างมาก เนื่องจากสภาพอากาศที่มีแดดจัดและการทำกิจกรรมกลางแจ้งที่เพิ่มขึ้น ยังเป็นจุดสำคัญของผู้บริโภคในช่วงห้าปีข้างหน้านี้เช่นเดียวกัน

นอกจากนี้ตลาดแว่นตาที่ครอบคลุมทั้งเลนส์แว่นตา แว่นกันแดด กรอบแว่นตา และคอนแทคเลนส์ มีช่องทางการจำหน่ายหลากหลาย เช่น โชว์รูมแบรนด์อิสระ ร้านค้าปลีก ร้านค้าออนไลน์ และร้านแว่นตาที่ส่งผลในตลาดอย่างมาก ซึ่งแนวโน้มที่สำคัญเป็นตัวขับเคลื่อนคือ นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในความชื่นชอบและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค ด้วยพัฒนาการของตลาดนี้ก่อให้เกิดโอกาสมากมายสำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมแว่นตาทั้งในและต่างประเทศ

Shamir และ เลนส์ PhotoGlamour™

Shamir ผู้นำในการผลิตเลนส์คุณภาพระดับโลก และเป็นบริษัทในเครือ EssilorLuxottica ซึ่งถือเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเลนส์แว่นตา กรอบแว่นตา แว่นกันแดด และอุปกรณ์เกี่ยวกับสายตารายใหญ่ของโลก Shamir ได้มุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีล่าสุดอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บริการที่ดีที่สุดแก่ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสายตา (ECP) และลูกค้า ด้วยการนำเลนส์ที่มีคุณภาพสูงทั้งแบบโปรเกรสซีฟและเลนส์สายตาเดี่ยว โดยมีสำนักงานใหญ่ด้านการวิจัยและพัฒนาในประเทศอิสราเอล พร้อมห้องปฏิบัติการการผลิตและการตลาดกว่า 20 ประเทศทั่วโลก ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการเฉพาะของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ได้อย่างเหมาะสมด้วยการให้บริการที่รวดเร็วและมีคุณภาพสูง

สำหรับเทคโนโลยีการผลิตเลนส์สายตาที่มีประสิทธิภาพสูง Shamir ได้รับความเชื่อมั่นและความไว้วางใจให้เป็นผู้ร่วมพัฒนาเลนส์แว่นตาที่ใช้ในการขับขี่รถสูตร 1 กับทีม BWT Alpine F1 มาอย่างต่อเนื่องหลายปี ซึ่งถือเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลก 

ตลาดแว่นตาในประเทศไทยเป็นตลาดที่ Shamir ให้ความสำคัญจากปัจจัยข้างต้น Shamir ภูมิใจที่จะนำเสนอเลนส์ PhotoGlamour™ เลนส์สีโทนพาสเทล ทั้งแบบไล่โทนสีและแบบสีเต็ม สามารถเปลี่ยนสีเข้มขึ้นเมื่อใช้งานกลางแจ้ง ให้ผู้ใช้งานได้เพลิดเพลินไปกับเลนส์สีสันสวยงาม 16 เฉดสี เลือกตามความชอบและรสนิยมส่วนบุคคลได้อย่างลงตัว

Shamir PhotoGlamour™ UNIFORM สีสันของเลนส์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากดวงดาว

• URANUS: สีม่วงพาสเทล

• NEPTUNE: สีฟ้าพาสเทล

• MARS: สีชมพูอมส้ม (ชมพูพีช)

• JUPITER: สีส้มพาสเทล

• VENUS: สีม่วงอมชมพู

EARTH: สีเขียวพาสเทล

Shamir PhotoGlamour™ GRADIENT ยกระดับอารมณ์ด้วยเลนส์ไล่ระดับสี

• Curaçao 25|50: สีฟ้าพาสเทล

• Caipirinha 25|50: สีเขียวพาสเทล

• Cosmopolitan 25|50: สีม่วง

• Americano 25|50: สีชมพูอมแดง

• Spritz 25|50: สีส้มอมแดง

คุณนิซาน ได้เล่าถึงความร่วมมือกับทางบริษัท กรุงไทย ออพติค จำกัด หรือ KT OPTIC นำโดย คุณชัชวาลย์ วณิชไพสิฐ กรรมการบริหาร ในครั้งนี้ ว่า “ เคที ออพติค เป็นร้านแว่นตาชั้นนำของประเทศไทยที่มีสาขาถึง 153 สาขาครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ รวบรวมกรอบแว่นสายตาและแว่นตากันแดดหลากหลายแบรนด์จากทั่วทุกมุมโลก พร้อมด้วยอุปกรณ์เสริมเกี่ยวกับการดูแลสายตาและแว่นตามากมาย ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการดูแลลูกค้า KT OPTIC มีบริการการตรวจวัดสายตาด้วยเทคโนโลยีที่แม่นยำและทันสมัยที่สุดระดับโลก รวมถึงการให้บริการและคำแนะนำอย่างใกล้ชิดโดย Style advisor หรือพนักงานผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการอบรมความรู้ตามมาตรฐานสากล ”

Shamir มีความยินดีที่ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์เลนส์ PhotoGlamour™ ร่วมกับ KT OPTIC ซึ่ง ความร่วมมือครั้งนี้มุ่งเน้นการนำเสนอเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์ที่ทันสมัยเพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของกลุ่มลูกค้าคนไทย และเสริมสร้างความเชื่อมั่นในแบรนด์ Shamir เพื่อขยายการเข้าถึงผลิตภัณฑ์เลนส์สายตาคุณภาพสูง ผ่าน KT OPTIC มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการให้บริการด้านสายตา ”

Shamir พร้อมที่จะนำเสนอเลนส์สี PhotoGlamour™ ให้กับลูกค้าทั่วประเทศไทยแล้วตั้งแต่วันนี้ที่ ร้าน KT OPTIC และร้านแว่นตาชั้นนำทั่วประเทศ


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ผลโพลการ์ทเนอร์ชี้องค์กรถึง 55% ระบุว่าต้องมี AI Board

กรุงเทพฯ – 24 กรกฎาคม 2567 – การ์ทเนอร์เผยผลสำรวจล่าสุดของผู้บริหารระดับสูงกว่า 1,800 ราย พบว่า 55% ขององค์กรมีคณะกรรมการที่ดูแลด้านการใช้งาน AI หรือ AI Board และ 54% ระบุว่ามีหัวหน้าด้าน AI หรือ AI Leader ที่ประสานงานและดูแลกิจกรรมต่าง ๆ ภายในองค์กร 

ฟราสซิส คารามูซิส รองประธานฝ่ายวิจัย การ์ทเนอร์ กล่าวว่า “จากผลการวิจัยพบว่าองค์กรทั่วโลกมีความเห็นต่างกันในเรื่องความจำเป็นของการมีคณะกรรมการด้าน AI หรือ AI Board ซึ่งคำตอบของประเด็นนี้คือองค์กรจำเป็นต้องมี AI Board เพื่อขับเคลื่อนกลยุทธ์ AI ให้บรรลุเป้าหมาย โดยเปรียบเสมือนคณะกรรมการกลางที่คอยกำหนดทิศทาง ดูแล และควบคุมการใช้ AI ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมลดความเสี่ยง และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กร อย่างไรก็ตาม รูปแบบ ขอบเขต ทรัพยากร และกรอบระยะเวลาของการจัดตั้ง AI Board นั้นขึ้นอยู่กับบริบทของยูสเคส และความพร้อมของแต่ละองค์กร โดยองค์กรบางแห่งอาจดำเนินการด้วยมาตรการระยะสั้น แต่บางแห่งอาจเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานในระยะยาว”

จากการสำรวจผู้บริหารระดับสูง 1,808 ราย ที่เข้าร่วมเว็บบินาร์ของการ์ทเนอร์ เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในมุมมองต่อการประเมินต้นทุน ความเสี่ยง และมูลค่าของโครงการ AI และ GenAI ใหม่ ๆ โดยผลสำรวจนี้ไม่ได้สะท้อนถึงภาพรวมตลาดโลก แต่ให้ข้อมูลเชิงลึกของมุมมองผู้บริหารที่มีต่อเทคโนโลยี AI และ GenAI

AI Board ต้องชัดเจนเรื่องกฎเกณฑ์ ที่สอดคล้องกับเป้าหมายธุรกิจ

ความรับผิดชอบต่อ AI นั้นกระจายออกไป พนักงานจากหลายแผนกมักมีส่วนร่วมในการริเริ่มโครงการด้าน AI ขณะที่บางองค์กรดำเนินงานแบบกระจายอำนาจ บางแห่งทำงานแยกส่วนกัน หรือบางองค์กรยังไม่ชัดเจนว่าจะนำ AI ไปใช้ในแง่ใด สิ่งนี้ทำให้เกิดความท้าทายในการระบุผู้รับผิดชอบต่อผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการใช้งาน AI ทั้งแง่บวกและลบ โดยผลสำรวจนี้ยังชี้ให้เห็นว่า มีเพียง 1 ใน 4 ของผู้ตอบแบบสอบถามเท่านั้นที่สามารถระบุผู้รับผิดชอบต่อโครงการริเริ่มด้าน AI ได้อย่างชัดเจน (ดูรูปที่ 1)

ภาพที่ 1: ผู้มีความรับผิดชอบในการส่งมอบ AI

ที่มา: การ์ทเนอร์ (มิถุนายน 2567) 

“AI Board ต้องประกอบด้วยสมาชิกจากหลายสาขาวิชาและหน่วยธุรกิจ ซึ่งความหลากหลายนี้จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าบอร์ดจะมีมุมมองครอบคลุมประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ AI ในด้านต่าง ๆ นอกจากนี้บอร์ดยังต้องมีความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน สามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว โดยแต่ละองค์กรต้องหาแนวทางที่ดีที่สุดในการจัดตั้งคณะกรรมการที่ดูแลด้านการใช้ AI ของตน สิ่งสำคัญคือต้องทำให้แน่ใจว่าบอร์ดจะมีขนาดไม่ใหญ่เกินไปจนทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ พร้อมทั้งต้องระบุกลไกชัดเจนด้านอำนาจการตัดสินใจและการขับเคลื่อนฉันทามติ” คารามูซิส กล่าวเพิ่มเติม

เมื่อสอบถามว่าอะไรคือหัวข้อหลักสามอันดับแรกของบอร์ดที่ต้องมุ่งเน้น ผู้บริหาร 26% ระบุว่าเป็นเรื่องของ “การกำกับดูแล” หรือ ธรรมาภิบาล และอีก 21% ระบุว่า “กลยุทธ์” ควรเป็นหนึ่งในหัวข้อหลัก

คารามูซิส อธิบายเพิ่มว่า “สมาชิกใน AI Board ควรมีความเชี่ยวชาญที่เชื่อมโยงกับขอบเขตงาน ควรเป็นผู้บริหารระดับสูงและมีประสบการณ์ มีทักษะที่แข็งแกร่งทั้งในด้านกลยุทธ์และการดำเนินงาน และอย่างยิ่งโดยเฉพาะคือมีเป้าหมายด้าน GenAI”

หัวหน้าด้าน AI มีอยู่ทั่วไปในองค์กรมากกว่า CAIO

ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่า แม้องค์กรจำนวนมากจะมีหัวหน้าหรือผู้นำที่ดูแลด้าน AI แต่ตำแหน่งของพวกเขาเหล่านี้อาจจะไม่ได้เรียกว่า “Chief AI Officer” (CAIO) เสมอไป โดยผู้นำระดับสูง 54% ระบุว่าองค์กรของตนมีหัวหน้าฝ่าย AI หรือผู้นำ AI ขณะที่ 88% บอกว่าผู้บริหาร AI ของตนนั้นไม่ได้มีตำแหน่งเป็น Chief AI Officer (CAIO)

แม้ว่าคณะกรรมการบริษัทจะเป็นผู้กำหนดทิศทางให้กับผู้นำระดับสูง (C-suite) แต่คณะกรรมการส่วนใหญ่ก็ไม่อยากเพิ่มตำแหน่งผู้นำระดับสูงนี้ อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการยังคงต้องการให้มีผู้นำด้าน AI เพื่อรับผิดชอบภาพรวมในการบริหารจัดการเทคโนโลยี AI ภายในองค์กร “แม้ว่าเทคโนโลยี AI และ GenAI จะมีบทบาทสำคัญในทุกแง่มุมของงาน กิจกรรม และกลยุทธ์องค์กร แต่บุคคลหรือทีมที่รับผิดชอบการประสานงาน AI ในองค์กร ไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีตำแหน่งเป็นผู้บริหารระดับ C-Level” คารามูซิส กล่าวทิ้งท้าย

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ทีมหุ่นยนต์กู้ภัย iRAP ROBOT คว้าแชมป์โลก World Robocup Rescue 2024 เป็นสมัยที่ 10

ทีมหุ่นยนต์  iRAP Robot  (ไอราฟ โรบอท) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) คว้าแชมป์โลกรางวัลชนะเลิศ หุ่นยนต์กู้ภัย World Robocup Rescue 2024 โดยเป็นแชมป์โลกสมัยที่ 10 และอีก 2 รางวัลการันตีอย่างนวัตกรรมยอดเยี่ยมระดับโลก คือรางวัล Best in class mobility (รางวัลนวัตกรรมสมรรถนะการขับเคลื่อนยอดเยี่ยมระดับโลก) และรางวัล Best in class Dexterity (รางวัลสมรรถนะการทำงานแขนกลยอดเยี่ยมระดับโลก) ระหว่างวันที่ 16-21 กรกฎาคม 2567 ณ เมืองไอนด์โฮเวน ประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่ผ่านมา  ผลงานหุ่นยนต์  iRAP Robot  ได้สร้างชื่อเสียงในระดับโลกให้ประเทศไทยและ มจพ. แชมป์โลกหุ่นยนต์กู้ภัยสมัยที่ 10  มจพ. จึงเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกแห่งเดียวในโลกที่เป็นแชมป์หุ่นยนต์กู้ภัยถึง  10 สมัย ตัวเต็งยืนหนึ่งโชว์ศักยภาพหุ่นยนต์และนวัตกรรมที่ยอดเยี่ยมระดับโลก นับได้ว่ามีความสำเร็จเป็นอย่างมากทั้งในด้านฝีมือ และพลังทีมเวิร์คของนักศึกษาทีมแชมป์โลกหุ่นยนต์กู้ภัยของมหาวิทยาลัยได้นำชื่อเสียงมาสู่มหาวิทยาลัยและประเทศชาติครั้งนี้  โดยมีทีมหุ่นยนต์กู้ภัยเข้าร่วมจำนวน 20 ทีม จาก 10 ประเทศทั่วโลก จากนานาประเทศชั้นนำด้านเทคโนโลยี ประกอบด้วย เยอรมัน  ญี่ปุ่น  ฝรั่งเศส  จีน  เกาหลีใต้ ออสเตรีย  สวิสเซอร์แลนด์  เม็กซิโก บังคลาเทศ และไทย โดยแต่ละรอบของการแข่งขันทีมหุ่ยนต์กู้ภัย iRAP ROBOT ทำคะแนนรวมจากทุกสนามเป็นอันดับที่ 1 ส่งผลให้ทีมหุ่นยนต์กู้ภัย iRAP ROBOT ตัวแทนประเทศไทยสามารถคว้าชัยชนะได้ สามารถได้คะแนนสูงสุด 1076 คะแนน ส่วนรองแชมป์โลกอันดับ 2 ทีม Shinobi ประเทศญี่ปุ่น ได้ 921 คะแนน และรองแชมป์โลกอันดับ 3 ทีม Alert ประเทศเยอรมัน  ได้ 825 คะแนน 

นับเป็นการรักษาแชมป์โลกหุ่นยนต์กู้ภัยให้กับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.)ได้สำเร็จเป็นสมัยที่ 10  มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) ขอแสดงความยินดีและชื่นชมในความสามารถของนักศึกษาทุกท่านที่สร้างชื่อเสียงมาสู่มหาวิทยาลัยและประเทศชาติ

ทั้งนี้ในวันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม 2567 เวลา 12.30-15.30 . มจพ. จัดแถลงข่าวทีมหุ่นยนต์กู้ภัย iRAP ROBOT คว้าแชมป์โลก World Robocup Rescue 2024 ณ บริเวณห้องโถงผู้โดยสารขาเข้า ทางออกประตู 2 สนามบินสุวรรณภูมิ

ขวัญฤทัย ข่าว


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

EcoStruxure IT พัฒนา DCIM ล้ำหน้าไปอีก ออกรายงานตัวชี้วัดความยั่งยืนได้อัตโนมัติในคลิกเดียว

โดย เควิน บราวน์ รองประธานอาวุโส ส่วน EcoStruxure Solutions กลุ่มธุรกิจ , Secure Power ชไนเดอร์ อิเล็คทริค

การ์ทเนอร์ รายงานว่า 80% ของ CIO จะมีตัวชี้วัดประสิทธิภาพที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนขององค์กรไอที ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ไม่เกิน 2570

กฎระเบียบด้านไอทีกำลังยกระดับความร้อนแรงขึ้นทั่วโลก สหภาพยุโรปกำลังเป็นแกนนำ แต่ก็ไม่ได้ไปเพียงลำพัง เพราะสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกาเพิ่งอนุมัติกฎที่จะกำหนดให้บริษัทมหาชนบางแห่ง ต้องรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก สถิติ 80% ที่เอ่ยไปข้างต้น มีเพียง 43% ของผู้บริหารเท่านั้น ที่กล่าวว่าตนตระหนักดีถึงการปล่อยคาร์บอนจากไอทีในองค์กร หรือ IT Footprint นั่นเอง

ดังนั้น 80% ของ CIO จะต้องมีตัวชี้วัดประสิทธิภาพที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนของไอทีในองค์กร กระนั้นก็ตาม มีผู้บริหารเพียง 43% เท่านั้นที่ทราบเรื่องฟุตปริ้นด้านไอทีในองค์กร แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะสิ่งที่เราได้ยินจากลูกค้าตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็คือการรายงาน PUE (Power Usage Effectiveness) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพสำหรับการใช้พลังงานในศูนย์ข้อมูล ที่ดูเหมือนตรงไปตรงมา แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย การวัดผลความก้าวหน้าเป็นเรื่องที่ท้าทาย เพราะการเข้าถึงและส่งออกข้อมูลจะต้องทำได้ง่าย โดยผู้บริหารบอกเราว่าการจะเข้าใจว่าจะเริ่มต้นที่ไหนและอย่างไรอาจเป็นเรื่องยาก และกฎระเบียบใหม่ต้องการมากกว่าแค่การรายงานเรื่อง PUE

…ทั้งหมดนี้กำลังจะเปลี่ยนไป

ฟีเจอร์ใหม่ด้านความยั่งยืน ช่วยให้ออกรายงานตามต้องการได้รวดเร็ว นำไปใช้ต่อได้ง่าย

ซอฟต์แวร์ EcoStruxure IT DCIM รูปแบบใหม่มาพร้อมกับฟีเจอร์การออกรายงานความยั่งยืนได้โดยอัตโนมัติ พ่วงการการันตีด้วยรางวัล โดยวันนี้ผู้ใช้ EcoStruxure IT ทุกคนจะสามารถใช้ความสามารถใหม่ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเข้าใจเทคนิคเชิงลึก และไม่ต้องคำนวณข้อมูลด้วยตัวเอง

โมเดลใหม่นี้แตกต่างจากที่มีอยู่ในตลาด เพราะเป็นโมเดลที่ให้เครื่องมือในการสร้างรายงานได้สะดวก รวดเร็ว และใช้งานง่าย ช่วยให้ลูกค้าสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านกฎระเบียบ รวมถึง European Energy Efficiency Directive (EED) ซึ่งความสามารถใหม่จะให้มากกว่าตัวชี้วัดตามข้อกำหนด EED ทำให้มั่นใจได้ว่าลูกค้าสามารถวัดข้อมูลประสิทธิภาพพลังงานในศูนย์ข้อมูลในแบบเรียลไทม์ รวมถึงในอดีตที่ผ่านมาได้ เทียบกับตัววัดการรายงานขั้นสูงทั้งหมดที่ระบุอยู่ใน White Paper ของ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค โดยมีการออกคู่มือตัวชี้วัดความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับศูนย์ข้อมูลในปีที่ผ่านมา และกลายเป็นคู่มือหลักสำหรับอุตสาหกรรมในการออกรายงานด้านความยั่งยืน

ซอฟต์แวร์ EcoStruxure IT ช่วยให้ทั้งเจ้าของและผู้ปฏิบัติงานสามารถวัด และรายงานประสิทธิภาพของศูนย์ข้อมูล ตามการวิเคราะห์แนวโน้ม และข้อมูลในอดีตที่ผ่านมา โดยทำงานร่วมกับ AI และการมอนิเตอร์แบบเรียลไทม์ เพื่อเปลี่ยนเป็นข้อมูลเชิงลึก ที่นำไปใช้ดำเนินการได้จริงเพื่อสร้างความยั่งยืนได้ดียิ่งขึ้น โดยฟังก์ชันใหม่ด้านการดาวน์โหลด ช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถระบุปริมาณและการรายงานได้รวดเร็วแค่เพียงคลิก ช่วยตัดงานที่ต้องทำด้วยตัวเองออกไป ทำให้ควบคุมพลังของข้อมูลได้เร็วและง่ายขึ้น เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากศูนย์ข้อมูลของตน

ยุคใหม่ของ Green IT ชไนเดอร์ อิเล็คทริคคือลูกค้าเช่นกัน

EcoStruxure IT ได้รับการทดสอบ และถูกนำไปใช้ในหลายองค์กร รวมถึงในชไนเดอร์ อิเล็คทริคเองด้วย โดยในปี 2021 ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้เปิดตัว Schneider Sustainability Impact (SSIs) เพื่อเผยแพร่ความมุ่งมั่นด้านความยั่งยืนของบริษัท ดังนั้นเพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของ SSI  อลิซาเบธ แฮคเคนสัน ซึ่งเป็น CIO ของชไนเดอร์ อิเล็คทริค ได้ริเริ่มโครงการ Green IT ของบริษัท ซึ่งเป็นโครงการริเริ่มด้านไอทีเพื่อความยั่งยืนขององค์กร โดยจะระบุวิธีการเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในรูปแบบใหม่อย่างชาญฉลาด เพื่อช่วยให้โครงการดังกล่าวบรรลุเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซจากระบบ IT อย่างน้อย 5% ต่อปี

ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ใช้ซอฟต์แวร์ EcoStruxure IT ที่ติดตั้งในไซต์งานหลักกว่า 140 แห่งทั่วโลก มาช่วยให้การดำเนินงานด้านไอที ให้มีความยืดหยุ่นและปลอดภัยยิ่งขึ้น โดย Green IT แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า สามารถนำศักยภาพใหม่ของ EcoStruxure IT ไปใช้เพื่อสร้างความยั่งยืนได้มากขึ้น ช่วยให้ชไนเดอร์ อิเล็คทริค มองเห็นการใช้พลังงานด้าน IT ในไซต์งานได้มากขึ้น ข้อมูลเชิงลึกที่ได้จาก EcoStruxure IT ทำให้เห็นว่า โรงงานอัจฉริยะที่เล็กซิงตัน รัฐเคนตักกี้ มีการใช้พลังงานลดลง 30% ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2023 เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก

“การใช้ EcoStruxure IT ช่วยให้เรามีความคืบหน้าที่ดีอย่างต่อเนื่อง ในการปฏิบัติภารกิจ เพื่อลดการใช้พลังงานด้านไอที และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งช่วยให้บริษัทก้าวหน้าไปสู่เป้าหมายด้านความยั่งยืน” แฮคเคนสัน กล่าว “เรากำลังทำให้ลูกค้าทั่วโลกได้รับประโยชน์เหล่านี้เช่นกัน”


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

Krungsri Finnovate เปิดรับสมัคร Startup เข้าโปรแกรม “Finno Efra Accelerator” พร้อมปั้น Early Stage Startup ให้เติบโตเร็วและยั่งยืน

จากแนวโน้มและศักยภาพของคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดสร้างสรรค์ในการทำธุรกิจ แต่ไม่มีเงินทุนและศูนย์บ่มเพาะที่จะช่วยสนับสนุนให้เติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ Startup เกิดใหม่น้อยลง และ Startup ใหญ่ๆที่มีคุณภาพก็ลดน้อยลงเช่นกัน งานนี้ “Krungsri Finnovate (กรุงศรี ฟินโนเวต)” โดย “คุณแซม ตันสกุล” กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด ได้จับมือกับ “คุณป้อม – ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ” นักธุรกิจและนักลงทุนสตาร์ทอัพแนวหน้าของไทย เปิด “Accelerator program” โรงเรียนสอน Startup เพื่อติดสปีดให้ธุรกิจ ระดับ Seed ถึง Pre-series A เติบโตสู่ Series A ได้อย่างมีคุณภาพ ในชื่อ “Finno Efra Accelerator  (FINE Accelerator)”

ซึ่งโปรแกรมนี้จะเปิดรับ 10 ทีม โดยมองหาสตาร์ทอัพไทยที่มีรายได้แล้ว และอยู่ในธุรกิจเกี่ยวกับ Impact และ Digital Transformation พร้อมกับความพิเศษที่ “คุณแซม ตันสกุล” และ “คุณป้อม ภาวุธ” จะรับบทบาทเป็น Director พร้อมกับคว้า “คุณทิวา ยอร์ค” อดีต CEO, Kaidee ที่ Exit ไปเป็นที่เรียบร้อย และ “คุณบอย – สุวัฒน์ ปฐมภควันต์” อดีต Co-founder, Skootar ที่ได้ Exit ไปแล้วเช่นกัน โดยทั้ง 2 ท่านจะมานั่งแท่นเป็นครูใหญ่ เพื่อให้คำแนะนำเหล่า Startup พร้อมกับ Mentor ผู้คร่ำหวอดในการทำธุรกิจ อีก 10 ท่าน ได้แก่

  1. คุณอริยะ พนมยงค์ Founder & CEO, Transformational
  2. คุณโปษะกฤษณะ ถิระพัฒน์ Partner, UTC & Creative Ventures
  3. คุณณัฐวุฒิ อมรวิวัฒน์ Board Director, True Corporation 
  4. คุณธีระชาติ ก่อตระกูล CEO, Stockradars
  5. คุณแชนนอน กัลยาณมิตร CEO, 5G Catalyst Technologies 
  6. คุณเจษฎา สุขทิศ Co-founder & CEO, Finnomena
  7. คุณอรนุช เลิศสุวรรณกิจ Co-founder & CEO, Techsauce
  8. คุณกล้า ตั้งสุวรรณ CEO, Wisesight
  9. คุณอภิชัย สกุลสุรียเดช CEO, Radiant1  
  10. คุณเอเดรียน สจ๊วต CEO, Sokochan 

โดยแต่ละท่านจะเลือก Startup 1 ทีม เข้าทีมตัวเองพร้อมให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด และทั้ง 10 ทีมนี้จะได้เข้าร่วม Bootcamp  เข้มข้นเป็นเวลา 4 เดือน ซึ่งนอกจากการให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิดของ Mentor ประจำทีมตัวเองแล้ว ใน Bootcamp ทุกทีมจะได้เข้าร่วม Workshop และ Sharing session จากผู้สอนที่เป็น Top Tech Leader ในประเทศไทย ที่จะมาสอนตั้งแต่เรื่อง Mindset ความเป็นผู้นำ, การทำให้ธุรกิจโตอย่างรวดเร็ว, การพัฒนาโปรดักส์, การตลาด, การระดมทุน และอีกหลากหลายประเด็นที่คนทำธุรกิจควรรู้  ซึ่งทั้ง 10 ทีมต้องเข้าร่วม Session ทุกสัปดาห์ๆ ละ 1 ครั้ง นอกจากนี้ทางโปรแกรมยังได้รวบรวมโค้ชผู้เชี่ยวชาญในแต่ละด้านกว่า 100 คน มาให้ Startup ทั้ง 10 ทีมสามารถลงเวลาเพื่อขอคำปรึกษาและคำแนะนำจากประสบการณ์ของผู้ที่เรียกว่าประสบความสำเร็จ ได้ครั้งละ 1 ชั่วโมงด้วย 

ปิดท้ายด้วยวัน Demo day ที่ทุกทีมจะต้องขึ้น Pitching เพื่อนำเสนอธุรกิจของตนเองให้เข้าตานักลงทุนที่มาร่วมงาน พร้อมชิงรางวัลไป Innovation Trip ที่ต่างประเทศด้วย และนอกจากรางวัลใหญ่ๆ แล้ว ทางโปรแกรมยังสนับสนุนทั้งเรื่องของ Co-working space ให้นั่งทำงานได้ตลอดปี รวมทั้ง Technology perks ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Cloud system, HR, Accounting และ Marketing Tool นอกจากนี้เรายังมีในส่วนของ Legal สนับสนุนด้านกฎหมาย และ PR ให้ธุรกิจของทั้ง 10 ทีมเป็นที่รู้จักในวงกว้าง เพื่อช่วยเพิ่มฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ สร้างแบรนด์และเพิ่มโอกาสในการทำงานมากขึ้นตลอดโปรแกรม โดยในส่วนนี้ทุกทีมจะได้รับการสนับสนุนตั้งแต่เริ่มเข้าโปรแกรม และที่สำคัญเมื่อทุกทีมผ่าน Finno Efra Accelerator  เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็มีโอกาสได้รับเงินทุนสูงสุด 40 ล้านบาท จากกองทุน “Finno Efra Private Equity Trust”  พร้อมทั้ง Fast track เพื่อรับ grant จากทั้ง NIA และ Depa ด้วย หากเข้าเงื่อนไขตามที่กองทุนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกาศกำหนด

“คุณแซม ตันสกุล” เผยว่า กรุงศรี ฟินโนเวต มีความยินดีที่ได้ร่วมส่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับ Startup รุ่นใหม่ ซึ่งเรามีความมุ่งมั่นในการสนับสนุนให้ธุรกิจ Startup เติบโตประสบความสำเร็จ ด้วยการเร่งผลักดันพัฒนาในหลากหลาย Stage อย่างการเปิด Accelerator program กับ Finno Efra Accelerator ที่จะบ่มเพาะ Startup และช่วยติดสปีดให้ธุรกิจช่วง Seed ถึง Pre-series A  โดยหัวใจหลักที่เป็นจุดมุ่งหมายของโปรแกรมคือ การมอบเครื่องมือและถ่ายทอดประสบการณ์ในการทำธุรกิจให้แก่ Startup เพื่อให้อยู่รอดเอาชนะอุปสรรคที่ท้าทาย และมีศักยภาพเติบโตได้ย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว ซึ่งเชื่อมั่นว่าครั้งนี้จะช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี สู่การเติบโตในระดับภูมิภาคอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป”

“แน่นอนสำหรับ Startup ตอนนี้เตรียมตัวได้เลย ถ้าท่านทำธุรกิจเกี่ยวกับ Impact และ Digital Transformation ที่อยู่ในระดับ Seed Stage ถึง Pre-Series A และมี Traction กับรายได้แล้ว สามารถเตรียมพร้อมที่จะสมัครได้เลย ซึ่งถือเป็นเป็นเรื่องดี ที่ Startup ไทยจะได้เติบโต เพราะได้ทั้งความรู้, Connection และโอกาสได้เงินทุน เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของตัวเองต่อไป”

มาสมัครเข้าร่วมโปรแกรมติดสปีดให้ธุรกิจ Startup กับ “Finno Efra Accelerator”  ได้ตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม – 15 กันยายน 2567 ทาง https://www.finnoefraaccelerator.com/


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ปกป้องความเป็นส่วนตัวด้วย Synthetic Data

โดย อลิส วูดเวิร์ด ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยของการ์ทเนอร์

ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งของการพัฒนา AI ในปัจจุบันคืออุปสรรคจากการรวบรวมข้อมูลของโลกความจริงและการติดป้ายกำกับให้กับข้อมูลนั้น ๆ ซึ่งในความเป็นจริงความพร้อมใช้งานของข้อมูลหรือ Data Availability เป็นหนึ่งในห้าอุปสรรคหลักในการนำ Generative AI มาใช้งาน จากผลการสำรวจของการ์ทเนอร์กับองค์กร 644 แห่ง ช่วงไตรมาสสี่ของปี 2566 ชี้ให้เห็นว่า ข้อมูลสังเคราะห์หรือ Synthetic Data สามารถช่วยแก้ปัญหานี้ได้ เนื่องจากมีความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัวน้อยกว่าข้อมูลจริงหลายเท่า และ Synthetic Data ยังเปิดโอกาสในด้านการฝึกโมเดลแมชชีนเลิร์นนิ่งและวิเคราะห์ข้อมูลอีกมากมายที่ไม่น่าทำได้ในกรณีที่มีข้อมูลจริงเพียงชุดเดียวให้เลือก

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่า Synthetic Data สามารถก้าวข้ามความท้าทายเรื่องความเป็นส่วนตัว การปฏิบัติตามข้อกำหนดและการไม่เปิดเผยข้อมูลได้อย่างไร รวมถึงปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการนำเอาไปใช้ในวงกว้าง

จัดการความท้าทายด้านความเป็นส่วนตัว

Synthetic Data ช่วยองค์กรจัดการความท้าทายด้านความเป็นส่วนตัว พร้อมฝึกอบรมโมเดล AI, ML หรือคอมพิวเตอร์วิชัน (CV)

Synthetic Data สามารถเชื่อมโยงข้อมูลภายในเข้าด้วยกัน โดยทำหน้าที่แทนข้อมูลจริงและไม่เปิดเผยข้อมูลที่ละเอียดอ่อน อาทิ ข้อมูลส่วนบุคคลและทรัพย์สินทางปัญญา เนื่องจากชุดข้อมูลสังเคราะห์ยังคงคุณสมบัติทางสถิติที่ใกล้เคียงกับข้อมูลต้นฉบับ จึงสามารถสร้างข้อมูลฝึกอบรมและทดสอบที่แม่นยำ ที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาแบบจำลอง

การฝึกโมเดล Computer Vision ต้องใช้ชุดข้อมูลที่มีป้ายกำกับจำนวนมากและหลากหลาย เพื่อสร้างโมเดลที่มีความแม่นยำสูง ซึ่งการรับและการใช้ข้อมูลจริงเพื่อจุดประสงค์นี้อาจเป็นเรื่องท้าทาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเกี่ยวข้องกับข้อมูลที่ระบุตัวบุคคลได้หรือ Personally Identifiable Information (PII)

ยูสเคสการใช้งานโดยทั่วไปมี 2 กรณีที่ต้องใช้ข้อมูล PII ได้แก่ การยืนยันตัวตนและระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่อัตโนมัติ หรือ Automated Driver Assistance Systems (ADAS) ซึ่งคอยตรวจสอบการเคลื่อนไหวและการกระทำของผู้ขับขี่บนท้องถนน ซึ่งในสถานการณ์เหล่านี้ Synthetic Data อาจมีประโยชน์ในการสร้างการแสดงออกทางสีหน้า สีผิวและพื้นผิว รวมถึงองค์ประกอบอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น หมวก หน้ากาก และแว่นกันแดด นอกจากนี้ ADAS ยังต้องการฝึก AI ให้สามารถทำงานได้ในสภาพแสงน้อย เช่น การขับขี่ในที่มืด

ลดความท้าทายด้านการทำให้ข้อมูลไม่ระบุตัวตน

ความพยายามในการไม่ระบุตัวตนในข้อมูลและปลดข้อมูลประจำตัวของชุดข้อมูลแบบแมนนวล  (หรือการลบข้อมูลที่เชื่อมโยงฐานข้อมูลของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง) เป็นงานที่ต้องใช้เวลาและกำลังคนจำนวนมากและมีแนวโน้มเกิดข้อผิดพลาด โดยในท้ายที่สุดแนวทางนี้อาจทำให้โครงการเกิดความล่าช้าและต้องต่อเวลาของรอบการวนซ้ำในการพัฒนาอัลกอริทึมรวมถึงโมเดลแมชชีนเลิร์นนิ่ง (ML) ซึ่ง Synthetic Data สามารถจัดการกับปัญหาเหล่านี้ได้หลายประการ ด้วยการให้การเข้าถึงข้อมูลที่รวดเร็ว ค่าใช้จ่ายต่ำกว่าและง่ายกว่า โดยข้อมูลดังกล่าวจะคล้ายคลึงกับแหล่งที่มาของข้อมูลดั้งเดิม เหมาะสมต่อการใช้งาน และปกป้องความเป็นส่วนตัว

นอกจากนี้ หากเกิดกรณีข้อมูลที่ไม่ระบุตัวตนไปรวมกับแหล่งข้อมูลสาธารณะอื่น ๆ ก็จะเกิดความเสี่ยงที่ข้อมูลถูกเปิดเผยโดยไม่ตั้งใจ และอาจนำไปสู่การระบุข้อมูลที่ซ้ำซ้อนและละเมิดความเป็นส่วนตัวของข้อมูลได้ ผู้บริหารสามารถใช้เทคนิคต่าง ๆ เช่น ตั้งค่าความเป็นส่วนตัวที่แตกต่างกัน เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลสังเคราะห์ใด ๆ ที่สร้างจากข้อมูลจริงนั้นมีความเสี่ยงต่ำมากเมื่อมีการทำให้ไม่ระบุตัวตน

ความท้าทายที่ขวางการนำไปใช้อย่างแพร่หลาย

การสร้างชุดข้อมูลแบบตารางสังเคราะห์เกี่ยวข้องกับการรักษาสมดุลระหว่างความเป็นส่วนตัวและการนำไปใช้ประโยชน์เพื่อให้แน่ใจว่าข้อมูลยังมีประโยชน์และตรงกับชุดข้อมูลดั้งเดิมอย่างถูกต้อง หากเน้นการใช้ประโยชน์สูงเกินไป ความเป็นส่วนตัวอาจได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลที่มีลักษณะเฉพาะไม่เหมือนใคร เนื่องจากชุดข้อมูลสังเคราะห์อาจจับคู่กับแหล่งข้อมูลอื่นได้ แต่ในทางกลับกัน วิธีการเพิ่มความเป็นส่วนตัว เช่น การตัดการเชื่อมต่อคุณลักษณะบางอย่างหรือการแนะนำ “สัญญาณรบกวน” ผ่านความเป็นส่วนตัวที่แตกต่างกัน อาจทำให้ประโยชน์ของชุดข้อมูลลดลงโดยปริยาย

ช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมาทั้งการจัดการข้อมูลและคุณภาพข้อมูลธุรกรรมที่ต่ำเป็นความท้าทายที่เกิดขึ้นต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น เจ้าหน้าที่ Call Center ที่อาจไม่สามารถกรอกข้อมูลที่อยู่หรือข้อมูลลูกค้าให้ครบถ้วนได้ โดยข้อมูลที่ขาดหายไปนี้เป็นอุปสรรคต่อการวิเคราะห์ ดังนั้นเพื่อแก้ไขปัญหานี้ องค์กรไอทีจำเป็นต้องให้ความรู้แก่ผู้ใช้บริการฝั่งธุรกิจทำความเข้าใจถึงความสำคัญของคุณภาพข้อมูลที่ดีทั้งเพื่อการสมัครใช้และนำมาวิเคราะห์ ซึ่งการใส่ข้อมูลขยะเข้าสู่ระบบจะนำมาสู่ผลลัพธ์ที่เป็นขยะ หรือที่เรียกว่า “Garbage In Garbage Out” ซึ่งเป็นหลักการที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วไป อย่างไรก็ตาม ณ ปัจจุบัน เรื่องนี้ส่งผลต่อทัศนคติของผู้คนที่มีต่อ Synthetic Data เนื่องจากพวกเขาเชื่อว่าข้อมูลนั้นด้อยกว่า เพราะมันไม่ใช่ข้อมูลจริง ๆ ซึ่งทำให้การนำไปใช้งานล่าช้า ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ข้อมูลสังเคราะห์อาจดีกว่าข้อมูลจริงก็ได้ ไม่ใช่ในแง่ที่ว่ามันสะท้อนความจริงในปัจจุบัน แต่คือในแง่ที่ว่ามันสามารถฝึกโมเดล AI ให้ทำงานกับโลกในอุดมคติหรือโลกในอนาคตได้อย่างไรต่างหาก

ชุดข้อมูลสังเคราะห์คือภาพสะท้อนของชุดข้อมูลดั้งเดิม ดังนั้นหากชุดข้อมูลเดิมไม่มีปัญหาในการโปรแกรมคอมพิวเตอร์ หรือมีความผิดปกติที่เรียกว่า “Edge Cases” เหตุการณ์เหล่านี้จะไม่ปรากฏในชุดข้อมูลสังเคราะห์เช่นกัน ดังนั้นข้อมูลสังเคราะห์ที่เป็นภาพและวิดีโอ อาทิ การขับขี่อัตโนมัติ ซึ่งใช้ภาพการขับรถหลายชั่วโมงในการฝึก AI จึงมีความสำคัญเฉพาะอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตามยังจำเป็นต้องสร้างสถานการณ์ที่ไม่ปกติ อาทิ รถฉุกเฉิน การขับรถบนหิมะ หรือเจอกับสัตว์บนท้องถนน

เกี่ยวกับผู้เขียน

อลิส วูดเวิร์ด เป็นผู้อำนวยการอาวุโสของการ์ทเนอร์ ในกลุ่ม CIO research มีหน้าที่ให้คำปรึกษาในเรื่อง AI, Synthetic Data, Augmented Analytics, Analytic Platforms, Decision Intelligence, Data Fabric แก่ CIO ในองค์กรขนาดกลาง

เกี่ยวกับการ์ทเนอร์ 

บริษัท การ์ทเนอร์ (Gartner, Inc.) (NYSE: IT) คือบริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาชั้นนำของโลก มอบข้อมูลเชิงลึก คำแนะนำ และเครื่องมือต่าง ๆ แก่ผู้บริหารองค์กรธุรกิจ เพื่อรองรับการดำเนินภารกิจสำคัญที่มีอยู่ในปัจจุบันและสร้างองค์กรให้ประสบความสำเร็จในอนาคต ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแนวทางของการ์ทเนอร์ในการช่วยให้ผู้บริหารตัดสินใจอย่างถูกต้องเพื่อขับเคลื่อนอนาคตของธุรกิจได้ที่ gartner.com

Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

MCC ร่วมมือกับ IBM จัดงาน Elevate Your Business with IBM Product Insights and Strategies

บริษัท เมโทรคอนเนค จำกัด ร่วมกับ บริษัท ไอบีเอ็ม (ประเทศไทย) จำกัด จัดงานสัมมนาในหัวข้อ “Elevate Your Business with IBM Product Insights and Strategies”  ในวันที่ 27 มิถุนายน 2567 ณ.โรงแรม Bangkok Marriott Marquis Queen’s Park  โดย คุณวรัชญ์ รัตนธรรมมา  Assistant Vice President  บริษัท เมโทรคอนเนค จำกัด ให้เกียรติกล่าวเปิดงาน และมีผู้เชี่ยวชาญร่วมบรรยายโซลูชั่นต่างๆ ดังต่อไปนี้

คุณนรวีร์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา (Partner Technical Specialist) บริษัท ไอบีเอ็ม (ประเทศไทย) จำกัด บรรยายในห้วข้อ Empowering Your Business with Secured by IBM Storage Technology Flash System 5300 โดยกล่าวถึงคุณสมบัติสำคัญ ดังนี้

  • เทคโนโลยีการใช้ Flash Module ช่วยให้การเข้าถึงข้อมูลรวดเร็วขึ้นและมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น
  • Data Reduction Pools (DRP) ช่วยลดพื้นที่การจัดเก็บที่ต้องการ ทำให้ใช้พื้นที่การจัดเก็บข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • IBM Spectrum Virtualize เพิ่มความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพในการจัดเก็บข้อมูล
  • Encryption and Security ช่วยปกป้องข้อมูลที่สำคัญจากการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต
  • High Availability and Disaster Recovery การสำรองข้อมูลแบบ Global Mirror และ Metro Mirror สำหรับการสำรองข้อมูลระยะไกล
  • Non-Volatile Memory Express (NVMe) เพิ่มความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลและลดเวลาในการตอบสนองของระบบ
  • Multi-Cloud Support รองรับการทำงานร่วมกับคลาวด์หลายตัว เช่น IBM Cloud, AWS และ Microsoft Azure
  • Easy Management Interface ช่วยลดความซับซ้อนในการดูแลรักษาระบบและประหยัดเวลาในการจัดการ

คุณตฤณภพ ประทีป (Partner Technical Specialist) บริษัท ไอบีเอ็ม (ประเทศไทย) จำกัด บรรยายในหัวข้อ Ensure the Performance of Applications and Proactive Detection of Issues with IBM Instana – A Real Time Observability Solution โดยพูดถึง Product Instana Observability (Instana) โซลูชั่นชั้นนำด้าน Application Performance Monitoring ที่ออกแบบมาเพื่อตอบรับความท้าทายในการจัดการแอปพลิเคชั่นสมัยใหม่อย่างเช่น Micro Services และ Cloud Native เป็นต้น โดย Instana มีความสามารถในการสังเกตการณ์ (Observability) แอปพลิเคชั่นและระบบต่างๆได้อย่างอัตโนมัติ ช่วยให้สามารถจัดการกับปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นกับแอปพลิเคชั่นได้ทันท่วงที

คุณประพัฒน์ เอื้อน้อมจิตต์กุล (Technical Support ) บริษัท เมโทรคอนเนค จำกัด บรรยายในห้วข้อ Unlocking Value-Driven & Seamless Infrastructure with MCC Service ซึ่งให้การแนะนำถึงการให้บริการในเรื่องการติดตั้งและดูแลระบบของลูกค้าของทุกท่านอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าถึงประสบการณ์ในการให้บริการในด้านไอทีโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ไอบีเอ็ม มากกว่าสิบห้าปี

ทั้งนี้ บริษัท เมโทรคอนเนค จำกัด เป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ IBM ได้รับความไว้วางใจให้เป็นส่วนหนึ่งในการขยายตลาดสู่บริษัทคู่ค้า เพื่อตอบสนองความต้องการทางด้านเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว รวมถึงการช่วยเหลือและส่งต่อความรู้ความชำนาญให้แก่บริษัทคู่ค้า เพื่อพัฒนาและต่อยอดโซลูชันที่ตอบโจทย์กับความต้องการของตลาดในปัจจุบัน

สอบถามข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมติดต่อฝ่ายการตลาด โทร.02-0894880 อีเมล์: mktmcc@metroconnect.co.th Website: https://www.metroconnect.co.th/


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

แอดไวซ์เดินหน้าลุย MEGA CAMPAIGN, Advice IT Expo ชูธงสินค้าไอที สมาร์ทโฟน ทุกสาขาทั่วประเทศ

9 กรกฎาคม 2567 – บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด (มหาชน) เดินหน้าจัดงาน Advice IT Expo ซีซั่น 2 ต่อยอดความสำเร็จจากการจัดงานครั้งแรกในต้นปีที่ผ่านมา ยกขบวนสินค้าไอที สมาร์ทโฟน ไปจนถึงสินค้าที่กำลังอยู่ในกระแสซึ่งคือ AI ให้ลูกค้าได้เลือกซื้อได้ทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงเทคโนโลยีให้กับผู้บริโภคทุกกลุ่มทั่วประเทศ ด้วยโปรโมชั่นลดหนัก จัดเต็ม พร้อมกิจกรรมพิเศษอีกมากมาย

จากจุดเริ่มต้นงาน Advice IT Expo ครั้งแรกในเดือนมีนาคม 2567 ที่ผ่านมา แอดไวซ์นำส่งประสบการณ์ โอกาส และการเข้าถึงไปยังลูกค้าทั่วประเทศ ซึ่งงานดังกล่าวได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าเป็นอย่างมาก และตั้งตารอกับการกลับมาจัดงานอีกครั้ง อีกทั้งกระแสเรื่องเทคโนโลยี AI เริ่มมีบทบาทมากขึ้น (อ้างอิงจาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย) แอดไวซ์มุ่งหวังที่จะตอบสนองความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เริ่มสนใจในเทคโนโลยี AI ให้ได้รับประสบการณ์การใช้งานแบบสัมผัสได้จริง เพื่อพลิกโฉมการเรียนรู้และการทำงาน Advice จึงได้จัดทัพผลิตภัณฑ์หลากหลายที่ครอบคลุมความต้องการมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสินค้ากลุ่มไอทีคอมพิวเตอร์, ฮาร์ดแวร์, สมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต หรือจะผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมอย่างสินค้า Apple ไม่ว่าจะเป็น iPhone, iPad, Macbook, iMac และอุปกรณ์เสริมอีกมากมาย โดยมีความพร้อมในการให้บริการแบบครบวงจรทั้งจำหน่ายและซ่อม แก่ลูกค้าในทุกกลุ่มอาชีพ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขยายสัดส่วนเศรษฐกิจดิจิทัล พร้อมทั้งพัฒนาบุคลากรที่มีทักษะดิจิทัล รวมถึง การยกระดับความเชื่อมั่นใน AI

คุณณัฎฐ์ ณัฐนิธิการัชต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เรายังคงมุ่งมั่นส่งมอบโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง โดย Mega Campaign ครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้าที่ต้องการอุปกรณ์ไอที สมาร์ทโฟน หรือสินค้าเทคโนโลยีเพื่อการใช้งานในรูปแบบใด ๆ ก็ตาม ที่พิเศษยิ่งขึ้นในครั้งนี้เราพร้อมเสิร์ฟผลิตภัณฑ์ที่รองรับการใช้งาน AI ที่สามารถเข้ามาอำนวยความสะดวกสบายในการทำงานและใช้ชีวิต เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยพัฒนาและยกระดับความพร้อมของคนไทยไปกับเทคโนโลยีแห่งอนาคตนี้” 

นอกจากสินค้าทั้งหมดที่แอดไวซ์พร้อมเสิร์ฟกว่า 16,000 รายการแล้วนั้น ในงาน Advice  IT Expo ยังมีข้อเสนอและโปรโมชั่นพิเศษอีกมากมายที่พลาดไม่ได้ 

  • สินค้าราคาพิเศษตลอดทั้งงานลดต่ำกว่าทุนสูงสุด 30%
  • ผ่อน 0% นานสูงสุด 48 เดือน
  • สินค้า Apple รับส่วนลดสูงสุดถึง 14,000 บาท
  • คอมเซ็ตสุดคุ้มผ่อนเริ่มต้นเพียง 860 บาท/เดือน
  • ช้อป 10,000 แลกซื้อลำโพง Hi-end สุดคุ้ม ลดสูงสุด 5,000 บาท
  • บัตรประชาชนใบเดียวผ่อนได้ นานสูงสุด 48 เดือน
  • เก่าแลกใหม่ นำสินค้าไอทีชิ้นเก่าแลกส่วนลดสินค้าใหม่ที่แอดไวซ์ (นำสินค้าเก่าที่ไม่ใช้งานตั้งแต่ 1 – 5 ชิ้นมาแลกของใหม่ชิ้นโปรด) ยิ่งแลกมากยิ่งได้ส่วนลดมาก
  • Buy Back Guarantee ช้อปแอดไวซ์ยังไงก็คุ้ม รับซื้อคืนราคาดีให้ราคาเพิ่มสูงสุด 30%
  • Clearance ลดสูงสุด 80% สำหรับผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊ก คอมพิวเตอร์เดสก์ท็อป และ All-in-One 
  • บริการซ่อมคอมพิวเตอร์ มือถือ ฟรีค่าแรง!
  • กิจกรรมนาทีทองออนไลน์ ลดสูงสุด 99% ลงทะเบียนได้ที่หน้าสาขา
  • ช้อปเท่าไหร่ก็ได้สิทธิ์ลุ้นแลกซื้อสินค้าในราคา 50% ลุ้นได้ทุกวัน

แอดไวซ์ยังคงให้ความสำคัญกับประสบการณ์ที่ลูกค้าพึงจะได้รับจากหน้าร้านและออนไลน์ รวมถึงบริการหลังการขายที่ปรับปรุงให้รวดเร็ว ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เพื่อมัดใจลูกค้าทุกกลุ่มทั่วประเทศ

กิจกรรม Advice IT Expo ครั้งนี้แบ่งจัดกิจกรรมเป็น 2 เฟส ระหว่างวันที่ 11 – 15 กรกฎาคม 2567 (จำนวน 26 สาขาที่เข้าร่วมกิจกรรม) และวันที่ 18 – 22 กรกฏาคม 2567 (จำนวน 85 สาขาที่เข้าร่วมกิจกรรม) ในสาขาแอดไวซ์ที่ร่วมรายการทั่วประเทศและบนออนไลน์ที่ https://itexpo.advice.co.th/ ตั้งแต่วันที่ 11 – 14 กรกฏาคม 2567 สามารถดูรายละเอียดกิจกรรมและสาขาที่ร่วมกิจกรรมได้ที่ https://www.advice.co.th/Advice_IT_Expo_SS.2


Categories
ข่าวประชาสัมพันธ์

ทีมหุ่นยนต์ iRAP_Let’s go คว้ารางวัลชนะเลิศการแข่งขันหุ่นยนต์ ABU ปี’ 67

ทีมหุ่นยนต์ iRAP_Let’s go มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ (มจพ.) คว้ารางวัลชนะเลิศจากการแข่งขันหุ่นยนต์ ABU ชิงชนะเลิศประเทศไทย ประจำปี 2567 (THAILAND ABU ROBOCON CHAMPIONSHIP 2024)  พร้อมโล่รางวัลเกียรติยศ และเกียรติบัตรเหรียญทอง เมื่อวันที่ 7 กรฎาคม 2567 ณ วิทยาลัยเทคนิคกาญจนบุรี  ทั้้งนี้ทีมหุ่นยนต์ iRAP_Let’s go ได้เป็นตัวแทนประเทศไทย เข้าร่วมการแข่งขัน ABU Robocon 2024 ระหว่างวันที่ 23-27  สิงหาคม 2567 ณประเทศเวียดนาม

    นับเป็นความสำเร็จที่ยอดเยี่ยมจากหลาย ๆ เวทีของทีมหุ่นยนต์ iRAP_Let’s go ฝีมือล้วน ๆ บทพิสูจน์ของทีมเวิร์ค (Teamwork) ในความทุ่มเท เสียสละกว่า 6 เดือน เพื่อความพร้อมของการลงสู่สนามการแข่งขัน

คุ้มค่ากับความเหนื่อย พร้อมโชว์ศักยภาพแบบจัดเต็ม จนสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศการแข่งขันหุ่นยนต์ ABU ชิงชนะเลิศประเทศไทย  ประจำปี  2567  สำเร็จได้อย่างสมศักดิ์ศรี  ตัวตึงที่สุดของเวที สุดยอดไม่ธรรมดาเต็มคาราเบลจริงๆ

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือขอแสดงความชื่นชมและขอแสดงยินดีกับทีมหุ่นยนต์ iRAP_Let’s go และอาจารย์ที่ปรึกษาทุกคน

ขวัญฤทัย ข่าว


Exit mobile version